Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 121 ชุดเอี๊ยมชั้นใน! (1)
การประลองในสนามระดับเริ่มต้นยังคงดำเนินต่อไป มีการแข่งขันจำนวนนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นที่นี่ทุกวัน และแม้ว่าการต่อสู้ของโจวเหว่ยชิงกับหมาป่าเขียวจะน่าตื่นเต้น ทว่ามันก็ยังไม่เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของทุกคนได้เป็นเวลานานนัก เสียงร้องโหวกเหวกโวยวายของเหล่านักสู้และเสียงโห่ร้องของผู้ชมยังคงดังก้องไปทั่วสนามอย่างต่อเนื่อง
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์กำลังยืนอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิง หญิงสาวหยิกเอวเขาพลางเอ่ยเบาๆ ว่า “ทำไมเจ้าต้องทำแบบนั้นด้วย? เหตุใดถึงไม่เปิดเผยพลังของตัวเองออกมาล่ะ? เจ้าไม่ได้บอกข้าหรือว่าไม่มีเวลาเหลือแล้ว?”
โจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดกะทันหันที่บั้นเอว ก่อนจะเผยสีหน้าขมขื่นออกมาขณะกล่าวว่า “เราเพิ่งจะมาถึงที่นี่และไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ภายในนัก จะดีกว่าหากลงมือไปทีละขั้น เรียนรู้ทุกอย่างให้กระจ่างมากกว่านี้ก่อนจะเริ่มทำตามแผน บางครั้ง หากเจ้าขึ้นไปยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงเกินไปทันที เจ้าก็อาจจะพลาดหลายๆ สิ่งไปได้ ตัวอย่างเช่น กองพันนักเลงที่หมาป่าเขียวสังกัดอยู่…นั่นเป็นสถานที่แบบใดกันแน่? เป็นสิ่งที่ควรมีอยู่ในกองทัพหรือ?”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์กล่าวว่า “ข้าจะรู้ได้ยังไงล่ะ? ยังไงก็เถอะ ข้าคันไม้คันมืออยากสู้จะตายอยู่แล้วนะ หากเจ้าไม่ให้ข้าลงมือที่นี่ งั้นคืนนี้เจ้าก็ต้องเป็นของข้า”
หากผู้ชายคนอื่นได้ยินซ่างกวนเฟยเอ๋อร์บอกประโยคนี้กับตน นั่นก็คงจะทำให้หัวใจของคนๆ นั้นต้องลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน อนิจจา เมื่อโจวเหว่ยชิงผู้น่าสงสารได้ยินคำพูดเหล่านั้น ปฏิกิริยาแรกของเขากลับเป็นการก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะเอ่ยวิงวอนอย่างเศร้าสร้อย “ท่านวีรสตรีผู้ยิ่งใหญ่…ได้โปรดปล่อยข้าน้อยไปเถิด!”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์กล่าวอย่างใจกว้าง “ก็แล้วแต่เจ้าสิ แต่หากไม่อาจทำให้ข้าพอใจได้ที่นี่ คืนนี้ข้าจะสอนบทเรียนพิเศษให้เจ้าเป็นการส่วนตัว!”
โจวเหว่ยชิงแค่นเสียงในลำคอและพูดว่า “ถ้าเจ้ากล้านักอย่าใช้ก็อย่าใช้ศาสตรามณียุทธ์สิ!”
จุดแข็งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์คือทักษะการต่อสู้ระยะประชิดซึ่งมาพร้อมกับชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานที่ทรงพลังถึง 4 ชิ้น ในขณะที่จุดแข็งของโจวเหว่ยชิงคือทักษะอันทรงพลังจำนวนมากและความสามารถในการสับเปลี่ยนเปลี่ยนนำพวกมันออกมาใช้งานได้อย่างหลากหลาย หากซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ไม่ได้ใช้ศาสตรามณียุทธ์ของตนเอง เขาก็อาจจะยังมีโอกาสเอาชนะได้
น่าเสียดาย มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลอกล่อหญิงสาวจอมเจ้าเล่ห์ผู้นี้ และเธอก็ทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองเขาก่อนจะทำท่าทีไม่สนใจอีก
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปและบรรยากาศในโดมท้าประลองก็ยังคงเต็มไปด้วยชีวิตชีวาดังเดิม รอไม่นาน โจว เหว่ยชิงก็เห็นใครบางคนเดินขึ้นไปบนเวทีหลักที่ว่างเปล่าตรงกลางสนาม เขาเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการกองร้อยคนก่อนหน้านี้นั่นเอง
“พี่น้องกรมทหารที่ 16 ทุกคนจงฟัง! เมื่อการต่อสู้รอบนี้จบลง สนามประลองระดับเริ่มต้นจะต้องหยุดพักชั่วขณะ” เสียงของชายหนุ่มได้รับการปรับปรุงให้ดังชัดขึ้นด้วยพลังปราณสวรรค์ของเขาและมันก็แผ่กระจายออกไปได้กว้างไกลทั่วทุกมุมเพื่อขัดจังหวะเสียงจอแจในอาคาร ทำให้แม้แต่ผู้ฟังที่อยู่ไกลที่สุดก็ยังสามารถได้ยินเสียงของเขาได้
ภายในอาคารที่แต่เดิมคึกคักมีชีวิตชีวาก็พลันเงียบกริบลงในทันที และทุกคนก็หันไปมองผู้บัญชาการกองร้อยที่ยืนอยู่ตรงกลางเวทีด้วยความสงสัย
ผู้บัญชาการกองร้อยยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “เร็วๆ นี้จะมีการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นเกิดขึ้นในสนามประลองระดับกลางแห่งนี้ ผู้ท้าชิงของเราเป็นทหารใหม่ เขาคือพี่น้องที่เพิ่งเข้าร่วมกับกรมทหารที่ 16 ของเรา ชื่อของเขาคืออ้วนน้อยโจว คู่ต่อสู้ของเขาซึ่งได้รับเลือกจากการจับฉลากคือหมีทรราชของพวกเรา ทุกท่านควรจะรู้จักหมีทรราชดีอยู่แล้ว เขาเป็นผู้บัญชาการกองร้อยเหมือนกับข้า และข้าก็เคยได้ยินข่าวลือว่าสหายคนนี้เคยฉีกร่างหมีขั้วโลกด้วยมือเปล่ามากแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับฉายาหมีทรราชมาครอบครอง ยิ่งไปกว่านั้น หมีทรราชยังเป็นจ้าวมณียุทธ์ระดับ 6 ชุด พลังยุทธ์ประเภทความแข็ง แกร่งและความเร็ว ในบรรดาผู้คุมสังเวียนระดับกลาง 20 คนของกรมทหารที่ 16 ของเรา เขาถือเป็น 1 ใน 5 อันดับแรก มาตั้งตารอคอยการต่อสู้อันน่าตื่นเต้นนี้และสนุกไปด้วยกันเถอะ!”
คำพูดของเขายังไม่จบดี เสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งพื้นที่ การท้าสู้ผู้คุมสังเวียนระดับกลางนั้นน่าตื่นเต้นกว่าการแข่งขันระดับเริ่มต้นเป็นไหนๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหมีทรราชมีชื่อเสียงโด่งดังในกรมทหารที่ 16 เป็นอย่างมาก ท่ามกลางสงครามพุ่งรบกับอาณาจักรวั่นโซ่ว เขาได้สังหารยอดฝีมือฝ่ายศัตรูไปกว่า 50 นาย และเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ค่อยๆ เลื่อนยศขึ้นไปด้วยความสามารถในการสู้รบของตนเอง หากไม่ใช่เพราะทักษะความเป็นผู้นำของเขาไม่ได้ก้าวเคียงคู่ไปพร้อมๆ กับความสามารถในการต่อสู้ ด้วยพรสวรรค์และสถานะในโดมท้าประลอง เขาก็อาจอยู่ในระดับผู้บัญชาการกองพันไปแล้ว
หลังจากประกาศเกี่ยวกับการแข่งขันที่กำลังจะมาถึงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้บัญชาการกองร้อยอีกคนที่จากไปในเวลาเดียวกันก็กลับมาหาโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนเฟยเอ๋อร์อีกครั้ง
“น้องชาย โชคของเจ้าไม่ดีจริงๆ! วันนี้มีผู้คุมสังเวียนระดับกลางตั้ง 7 คนอยู่ที่นี่ แต่เจ้ากลับจับฉลากได้หมีทรราชเสียอย่างนั้น สหายคนนี้ไม่ได้มีความอ่อนโยนใดๆ และมีชื่อเสียงในด้านความแข็งแกร่งทางกายภาพเช่นกัน ร่ำลือกันว่าเขามีสายเลือดของหมีอสูรสวรรค์อยู่ในตัวด้วย หลังจากนี้เจ้าควรระมัดระวังให้มาก หากรู้สึกว่ารับมือไม่ไหวอีกต่อไป เจ้าก็แค่ยกมือขอยอมแพ้ อย่าฝืนตัวเองนักล่ะ”
“ขอบคุณผู้บัญชาการกองร้อยสำหรับคำแนะนำของท่าน” โจวเหว่ยชิงกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจก่อนที่จะพูดว่า “เช่นนั้น นี่หมายความว่าการต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้นหรือ?”
ผู้บัญชาการกองร้อยมองไปที่โจวเหว่ยชิง ทว่ากลับเห็นเพียงใบหน้าที่ไร้เดียงสาและซื่อสัตย์ของคนตรงหน้าเท่านั้น ในที่สุดเขาก็พยักหน้าและกล่าวว่า “เมื่อการต่อสู้ระดับเริ่มต้นทั้งหมดในปัจจุบันสิ้นสุดลง การต่อสู้ระดับกลางของเจ้ากับหมีทรราชก็จะเริ่มขึ้น สำหรับการต่อสู้ระดับกลาง ทุกชัยชนะจะมีรางวัล 1 เหรียญทอง หากเจ้าสามารถเอาชนะหมีทรราชและชนะติดต่อกันอีกสองสามครั้ง เจ้าก็จะสามารถขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองร้อยได้”
บางทีอาจเป็นเพราะการต่อสู้ระดับกลางกำลังจะเกิดขึ้น การต่อสู้ระดับเริ่มต้นที่เหลืออยู่ทั้งหมดจึงจบลงอย่างรวดเร็ว โจวเหว่ยชิงรีบร้อนขึ้นไปบนเวทีกลางโดยมีผู้บัญชาการกองร้อยข้างๆ เขาเป็นผู้นำขึ้นไป
เมื่อเทียบกับเวทีงานประลองมณีสวรรค์แล้ว สถานที่แห่งนี้มีขนาดเล็ก เรียบง่าย และสร้างขึ้นอย่างหยาบๆ อย่าง ไรก็ตาม ทันทีที่เขาเข้าสู่เวที ความรู้สึกที่ถูกผู้ชมนับพันจับตามอง การกลายเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องระงมจากทุกทิศทาง ความเร่าร้อนก็จุดขึ้นมาภายในตัวของโจวเหว่ยชิง ขณะยืดเส้นยืดสาย เขาก็รู้สึกราวกับว่าถูกเติมเต็มไปด้วยพลังงานอันไร้ที่สิ้นสุด
ผู้บัญชาการกองร้อยที่ขึ้นไปบนเวทีกลางเพื่อป่าวประกาศเกี่ยวกับการแข่งขันพลันรับหน้าที่เป็นผู้ตัดสิน ชายหนุ่มตะโกนออกมาเสียงดังกึกก้อง “เอาล่ะทุกคน การแข่งขันระดับกลางกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ก่อนอื่นขอแนะนำตัวอย่างเร็วๆ ชายหนุ่มผู้นี้คือคนที่ข้าพูดถึงก่อนหน้า อ้วนน้อยโจว เขาเป็นทหารใหม่ของเรา อย่าดูถูกหนุ่มน้อยคนนี้เพียงเพราะเขาเป็นน้องใหม่ ก่อนหน้านี้อ้วนน้อยโจวเพิ่งต่อสู้ในสนามประลองระดับเริ่มต้น 3 รอบและเอาชนะคู่ต่อสู้ทั้งหมดไปได้ในพริบตา นอกจากนี้ 1 ใน 3 ของฝ่ายตรงข้ามคือหมาป่าเขียวจากกองพันนักเลง! เป็นเพราะชัยชนะเหล่านั้นทำให้เขาได้รับโอกาสในการต่อสู้บนเวทีระดับกลาง ความสามารถพิเศษของอ้วนน้อยโจวก็เป็นความแข็งแกร่งเช่นกัน ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เราจะได้เห็นว่าใครจะแข็งแกร่งมากกว่า เขาหรือหมีทรราช?! เอาล่ะ ต่อไปนี้คือผู้คุมสังเวียนระดับกลางผู้ทรงเกียรติของเรา ขอเชิญหมีทรราช!”
*ตึง!* ก่อนที่คำพูดของเขาจะสิ้นสุดลง ร่างขนาดใหญ่ก็กระโดดขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับเสียงสะท้อนที่ดังกึกก้อง
ร่างของหมีทรราชนั้นไม่ได้ใหญ่ยักษ์เหมือนหมาป่าเขียวก่อนหน้านี้ เขาสูงประมาณ 1.8 เมตรหรือเตี้ยกว่าโจว เหว่ยชิงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ไหล่ของชายผู้นี้กลับกว้างและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อตึงแน่น สิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดคือแขน เครื่องแบบทหารของเขาเป็นแบบแขนกุด เผยให้เห็นแขนอันทรงพลังสองข้างที่หนาพอๆ กับต้นขาของคนส่วนใหญ่ ทั้งยังปกคลุมไปด้วยเส้นขนสีดำ ดวงตาสีเหลืองของหมีทรราชจ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิง เต็มไปด้วยกลิ่นอายกระหายเลือดขณะที่แลบเลียริมฝีปาก “อ้วนน้อยโจวใช่หรือไม่? ระวังตัวให้ดี มิฉะนั้นเราบิดาคนนี้ทำลายความหยิ่งผยองของเจ้าเอง หึๆๆๆๆ!!” หมีทรราชพูดกับโจวเหว่ยชิงขณะที่กวัดแกว่งแขนอันทรงพลังของตน
เมื่อเห็นหมีทรราช โจวเหว่ยชิงก็จำได้ทันที ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เขาเพิ่งเข้าร่วมกองทัพอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์และบังเอิญปะทะกับอาณาจักรคาลิเซที่ซุ่มโจมตีซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เวลานั้น ในบรรดาจ้าวมณีอาณาจักรคาลิเซที่เป็นบุกผู้โจมตีพวกเขา มีจ้าวมณียุทธ์ระดับ 5 ดวงผู้หนึ่งที่ใช้ค้อนสงคราม 2 อันและรูปร่างของเขาคล้ายกับหมีทรราชคนนี้มาก แน่นอน เห็นได้ชัดว่าหมีทรราชคนนี้มีพลังมากกว่าเนื่องจากอีกฝ่ายอยู่ในระดับมณี 6 ดวง อย่างไรก็ตาม เวลานี้โจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้อ่อนแอเหมือนกับอ้วนน้อยโจวคนนั้นอีกต่อไปแล้ว
เมื่อเผชิญหน้ากับการยั่วยุของฝ่ายตรงข้าม โจวเหว่ยชิงทำเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “พี่ใหญ่ แขนล่ำๆ ของท่านดูดีเหลือเกิน หากเราถอนขนและเลาะหนังออกทั้งหมด ย่างด้วยเกลือและเครื่องเทศ ข้าแน่ใจว่ารสชาติจะต้องออกมาดีมาก สงสัยนักว่ามันจะเทียบกับอุ้งตีนหมีได้หรือไม่?”
ผู้บัญชาการกองร้อยซึ่งเป็นผู้ตัดสินที่ยืนอยู่ด้านข้างพลันตกตะลึงกับคำพูดเหล่านั้น ในสายตาของเขา อ้วนน้อยโจวเป็นชายหนุ่มที่ดูไร้เดียงสาและใสซื่อมาก แต่คำพูดของเขาในปัจจุบันกลับไม่เหมือนสิ่งที่แสดงออกมาแม้แต่น้อย เพราะเวลานี้เด็กหนุ่มไม่เพียงวางท่าหยิ่งผยอง แต่กลับพูดจายั่วยุอีกด้วย
เมื่อหมีทรราชได้ยินว่าโจวเหว่ยชิงเอาชนะหมาป่าเขียวได้อย่างง่ายดาย เขาก็ระมัดระวังตัวเป็นอย่างดีผิดกับลักษณะภายนอก ชายหนุ่มไม่ใช่คนที่ประมาทหรือดื้อด้าน เขายอมรับว่าตนเองไม่อาจเอาชนะหมาป่าเขียวได้หากปราศจากพลังปราณสวรรค์ และก่อนที่จะขึ้นไปบนเวที เขาก็ยังคงหวังว่าสหายตัวน้อยที่อยู่ข้างบนนั้นจะไม่ใช่จ้าวมณี คำพูดยั่วยุที่เขาเอ่ยก่อนหน้าฟังดูคล้ายจะพยายามถากถางโจวเหว่ยชิง แต่ใครจะรู้ว่าตนเองจะไม่สามารถทำให้เด็กหนุ่มโกรธได้สำเร็จและยังกลับกลายเป็นคนที่โมโหขึ้นมาแทนเสียด้วย
หลังตะโกนก้องอย่างดุร้าย หมีทรราชก็พุ่งเข้าหาโจวเหว่ยชิงทันที อย่างไรก็ตาม แม้จะกรุ่นโกรธแต่เขาก็ยังไม่ได้สิ้นสติไปเสียทั้งหมด ชายหนุ่มพลันปลดปล่อยมณียุทธ์ของตนออกมาเป็นครั้งแรก
มองเพียงปราดเดียว โจวเหว่ยชิงก็สามารถบอกได้ว่าในโลกของจ้าวมณี มณียุทธ์ของหมีทรราชนี้ถือเป็นพลังยุทธ์ที่ลงตัวเนื่องจากพวกมันจะเพิ่มความแข็งแกร่ง 7 ส่วนและความเร็ว 3 ส่วน มณียุทธ์ทั้ง 6 ของเขาพลันเปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นมา และในพริบตาเดียว ชายหนุ่มก็มาอยู่ตรงหน้าโจวเหว่ยชิงแล้ว แขนขนาดใหญ่ง้างขึ้นทุบลงบนศีรษะของโจวเหว่ยชิง
ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเด็กหนุ่มนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง เนื่องจากมันเป็นหนึ่งในพลังที่แข็งแกร่งที่สุดที่สายเลือดพยัคฆ์เทพอสูรมืดมอบให้เขา นอกจากนี้ โจวเหว่ยชิงยังได้ผ่านการวิวัฒน์พลังมาแล้ว 2 ครั้ง ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด เด็กหนุ่มสามารถรับการโจมตีของจ้าวมณีธรรมดาโดยอาศัยเพียงแค่ขาขวาได้อย่างสบายๆ แม้จะไม่ได้ปลดปล่อยมณีสวรรค์ก็ตาม แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่กล้าปะทะกับจ้าวมณียุทธ์ระดับ 6 ดวงด้วยร่างกายของตนเองเพียงอย่างเดียว
พลังของจ้าวมณีจะเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณในมณีทุกๆ ดวงที่ครอบครอง และแค่เผชิญหน้ากับหมาป่าเขียวระดับ 4 มณีก่อนหน้านี้ด้วยร่างกายเพียงอย่างเดียว โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกว่ายากลำบากมากพอแล้ว หากเด็กหนุ่มประเมินพลังของหมีทรราชต่ำเกินไปและพยายามใช้เพียงร่างกายของเขาเข้ารับการโจมตีนี้ เขาก็จะไม่มีโอกาสชนะอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
ท่ามกลางไอหมอกที่หมุนวนอย่างเย็นยะเยือก หยกน้ำแข็งบริสุทธิ์ 4 ดวงพลันปรากฏขึ้นรอบข้อมือขวาของโจวเหว่ยชิง ส่วนรอบข้อมือซ้ายของเขาก็มีทุรมาลินสีแดง 4 ดวงแสดงให้เห็นถึงทักษะยุทธ์ประเภทความแข็งแกร่งและทักษะธาตุลมของจ้าวมณีสวรรค์ตามลำดับ แน่นอนว่านั่นเป็นผลมาจากแหวนปกปิดตัวตนของโจวเหว่ยชิง
หลังจากพิจารณาอยู่ระยะหนึ่ง โจวเหว่ยชิงก็ได้ตัดสินใจเปิดเผยมณีธาตุของเขาในฐานะธาตุลม เนื่องจากในบรรดาทักษะธาตุทั้ง 6 ของเขา ทักษะธาตุลมน่าจะดู ‘ธรรมดา’ ที่สุดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะธาตุลมทั้ง 4 ของเขายังถือได้ว่ายอดเยี่ยม ที่สำคัญกว่านั้นคือมันเป็นทักษะที่ครอบคลุมมากที่สุด อาจกล่าวได้ว่าไม่ว่าจะเป็นทักษะสนับสนุน ทักษะควบคุม หรือทักษะโจมตี ทักษะธาตุลมของเขาก็มีในครอบครองทั้งหมด และด้วยสิ่งเหล่านั้น โจวเหว่ยชิงก็น่าจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ส่วนใหญ่ได้แล้ว
เมื่อปลดปล่อยมณีสวรรค์ออกมา ความแข็งแกร่งของโจวเหว่ยชิงก็ยิ่งทวีคูณขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อหมีทรราชเห็นมณียุทธ์หยกน้ำแข็งบริสุทธิ์รอบข้อมือของเด็กหนุ่ม หัวใจของเขาก็พลันรู้สึกหนักอึ้ง