Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 58.1 ตราประทับธาตุมืด (1)
หลังจากร้องไห้ได้สักพัก ในที่สุดหยุนลี่ก็เงียบเสียงลง ขณะที่เขาเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นโจวเหว่ยชิงนั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม มองเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เฮ้อ แพ้ก็คือแพ้ ไปหาที่เหมาะๆ เพื่อประทับตรากันเถอะ” หยุนลี่พูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกก่อนจะเก็บแบบร่างของตัวเองกลับไป
โจวเหว่ยชิงยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “พี่หยุนลี่ ข้ารู้ว่าท่านสับสนและโกรธเคืองอยู่ในใจ บางทีอาจจะไม่เต็มใจอย่างยิ่ง แต่หลังจากนี้ข้าจะให้โอกาสท่านอีก 2 ครั้งเพื่อหลบหนีชะตากรรมของตนเอง หากท่านสามารถบรรลุบางข้อได้ ข้าจะยกเลิกข้อตกลงของเราและทำลายตราประทับทิ้ง…”
หยุนลี่ชะงักไป ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความระมัดระวังขณะที่เอ่ยถาม “เจ้าต้องการอะไรอีก? ข้าสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างให้เจ้าไปหมดแล้ว นั่นยังไม่พออีกหรือ?”
โจวเหว่ยชิงยักไหล่และพูดว่า “ก็อย่างที่ท่านว่า หลังจากนี้ อย่างไรท่านก็ต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างให้ข้าอยู่แล้ว ดังนั้นท่านจะยังเหลืออะไรเสียอีกเล่า? สิ่งที่ข้าอยากจะบอกก็คือหลังจากประทับตราแล้ว หากท่านสามารถทำให้ระดับพลังปราณของตนเพิ่มขึ้นมากกว่าข้าได้ 12 ระดับ ข้าจะทำลายตราประทับทันที ส่วนอีกทางหนึ่งคือหากท่านสามารถไปถึงระดับเทพเจ้าได้ก่อนข้า ข้าจะทำลายตราประทับเช่นกัน สัญญาเช่นนี้ฟังดูเป็นอย่างไรบ้าง?”
สายตาระแวดระวังของหยุนลี่เปลี่ยนไปเป็นประหลาดใจ เขาเผลอจ้องโจวเหว่ยชิงอยู่ชั่วขณะ “…ทำไม? เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น การเดิมพันของข้ากับเจ้าคือการเป็นผู้ติดตามตลอดชีพของอีกฝ่าย อย่างไรข้าก็ยอมรับการพ่ายแพ้ของตัวเองไปแล้ว ข้าย่อมไม่กลับคำ…”
โจวเหว่ยชิงลุกขึ้นยืนและเดินไปหาหยุนลี่ เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดีขณะที่เอ่ยว่า “สิ่งที่ข้าต้องการคือผู้ติดตามที่มีความสามารถโดดเด่นและผู้ที่อาจกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าได้ ข้าไม่ต้องการคนที่สูญเสียจิตวิญญาณความมุ่งมั่นไปเพียงเพราะเขาแพ้การเดิมพัน เป็นเศษสวะที่ยอมอ่อนข้อให้กับโชคชะตา ถ้าข้าไม่ให้ความหวังท่านเลย ท่านจะเคี่ยวกรำตนเองอย่างหนักต่อไปได้อย่างไร? แต่ก็อย่าได้คิดว่าเงื่อนไขทั้ง 2 ข้อนี้เป็นเรื่องง่ายเชียวล่ะ”
หยุนลี่รู้สึกมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่และพูดว่า “แม้เจ้าจะอายุน้อยกว่าข้ามาก แต่สติปัญญาและวิสัยทัศน์ของเจ้ากลับเหนือกว่าข้านัก ได้ ข้ายอมรับข้อเสนอของเจ้า การจะมีระดับพลังปราณเหนือกว่าเจ้าไป 12 ระดับนั้นอาจเหนือบ่ากว่าแรงข้าไปเสียหน่อย แต่ข้าจะทุ่มเทฝึกฝนให้หนักและกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าก่อนหน้าเจ้าให้ได้อย่างแน่นอน! อย่าลืมว่าข้าเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงแล้ว ตอนนี้ข้าก้าวขานำหน้าเจ้าอยู่หนึ่งก้าว ดังนั้นข้อได้เปรียบจึงตกเป็นของข้า”
โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “ข้าหวังว่าท่านจะสามารถขึ้นเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าได้โดยเร็วที่สุด ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าท่านจะไม่ใช่ผู้ติดตามของข้าแล้ว แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ ข้า โจวเหว่ยชิง ขอสาบานด้วยมณีของข้า ถ้าในอนาคตหยุนลี่กลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าก่อนข้า ข้าก็จะปลดผนึกตราประทับให้เขา ถ้าข้าผิดคำพูดของตัวเอง ขอให้มณีของข้าระเบิดและทำลายล้างตัวเอง…”
อารมณ์ของหยุนลี่ค่อยๆ สงบลง สายตาของเขาแน่วแน่ขึ้น เขาตัดสินใจแล้วว่าจะฝึกฝนอย่างหนักเพื่อไปให้ถึงระดับเทพเจ้าก่อนโจวเหว่ยชิง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อหวนคืนสู่อิสรภาพของตนเอง
โจวเหว่ยชิงยกมือซ้ายขึ้น ยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “เอาล่ะ ข้าได้ให้สัญญากับท่านแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่ท่านจะต้องทำส่วนของตนเองบ้าง ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มประทับตรากันเลย ข้าต้องการความร่วมมือจากท่านอย่างเต็มที่”
“ประทับตรา?” หยุนลี่จ้องไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยความตกตะลึง “เจ้ากำลังบอกว่าสามารถประทับตราข้าได้ด้วยตัวเอง? กำลังบอกว่าตนเองมีทักษะกักเก็บที่ใช้สำหรับประทับตรางั้นหรือ? นั่นเป็นไปไม่ได้! แม้จะมีข่าวลือว่าทักษะธาตุมิติของเรามีทักษะที่สามารถประทับตราได้ แต่นั่นก็หายากมาก นอกจากนี้ทักษะกักเก็บของพวกเราแต่ละคนก็มีความสำคัญมาก นอกเหนือจากทักษะธาตุมืดที่ส่วนใหญ่สามารถประทับตราได้แล้ว ใครจะยอมเสียโอกาสไม่กักเก็บทักษะชนิดอื่นแทนล่ะ?
โจวเหว่ยชิงยิ้มจางๆ พลางโบกมือซ้ายไปข้างหน้าหยุนลี่และพูดอย่างระมัดระวัง “ดูให้ชัดๆ เจ้าไม่ต้องเสียใจไปหรอกที่พ่ายแพ้ให้แก่คนเช่นข้า”
ในขณะที่พูดเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงก็หมุนเวียนพลังปรานสวรรค์ออกมาทันที แสงสีดำมืดส่องออกมาจากแหวนปกปิดตัวตนที่มือซ้าย เปล่งประกายอยู่เหนือมณีธาตุของเขา ทันใดนั้นพวกมันก็เปลี่ยนกลับสู่ร่างเดิม แม้ว่าจะยังคงเป็นไพฑูรย์ตาแมว แต่ในห้องที่มีแสงสลัวเช่นนี้มณีของเขากลับเปลี่ยนเป็นสีแดงกุหลาบของไพฑูรย์ตาแมวสองสี
“นี่มัน…นี่มันอะไร?”
แสงสีดำส่องสว่างอยู่เหนือมือซ้ายของโจวเหว่ยชิง นิ้วชี้ของเขากลายเป็นสีดำในขณะที่ปลายนิ้วมีแสงสีแดงเลือดเรืองรองออกมาจากภายใน
“…ไพฑูรย์ตาแมวสองสี?” จู่ๆ หยุนลี่ก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองโจวเหว่ยชิงด้วยความตกใจ
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่แล้ว มาสิ มาให้ข้าประทับตราให้เสร็จสมบูรณ์ นี่คือทักษะ ‘พิธีเลือด ตราประทับธาตุมืด’ ตอนนี้ท่านก็เชื่อได้แล้วว่าถ้าพลังปรานสวรรค์ของท่านเหนือกว่าข้าไป 12 ระดับ ตราประทับนี้ก็จะสลายไปเอง”
หลังจากมาถึงเมืองเฟยหลี่ โจวเหว่ยชิงก็ได้กักเก็บทักษะธาตุมืดที่ 2 ของเขาจากสำนักกักเก็บทักษะ เขาเลือกที่จะกักเก็บพิธีเลือด ตราประทับธาตุมืดนี้ นี่คือหนึ่งในทักษะธาตุมืดที่เจาะจงทำให้เป้าหมายกลายเป็นคนรับใช้หรือทาสโดยเฉพาะ เมื่อผู้ประทับตราเสียชีวิตลง ทาสรับใช้ที่ถูกประทับตราก็จะตกตายไปด้วยกัน สิ่งเดียวที่จะหลีกหนีจากสิ่งนั้นได้ก็คือสิ่งที่โจวเหว่ยชิงสัญญากับหยุนลี่ สัญญารอง
พิธีเลือด ตราประทับธาตุมืดไม่ใช่ตราประทับที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาทักษะปิดผนึกธาตุมืด แต่ทักษะนี้กลับเป็นทักษะหนึ่งที่ให้ผลผูกมัดแข็งแกร่งที่สุด หากทาสรับใช้ไม่ยอมเชื่อฟังเจ้านาย แค่เจ้านายส่งความคิดออกไปก็อาจสร้างความเจ็บปวดเหนือพรรณนาให้กับทาสรับใช้ได้ นี่จึงถือว่าเป็นหนึ่งในทักษะปิดผนึกที่โหดเหี้ยมที่สุด ในเวลาเดียวกันมันก็ยังเป็นหนึ่งในตราประทับธาตุมืดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมาก
หยุนหลี่พยักหน้าให้อย่างทื่อๆ พลางหลับตาลง ในช่วงเวลาต่อมา มือซ้ายของโจวเหว่ยชิงก็เอื้อมไปที่หน้าผากของเขาแล้วกดนิ้วชี้ลงที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของหยุนลี่
วินาทีนั้นม่านแสงสีแดงเลือดก็แผ่ออกมาปกคลุมทั้งคู่เอาไว้ แม้ว่าตราประทับนี้จะทรงพลังเป็นอย่างมาก แต่ก็มีข้อจำกัดที่รุนแรงมากเช่นกัน บุคคลที่ถูกประทับตราจะต้องยอมรับการประทับตราด้วยเจตจำนงเสรีของตนเอง หากเกิดการต่อต้านในขณะที่กำลังร่ายพลัง นั่นจะทำลายผลของทักษะนี้ทันที
เมื่อม่านแสงสีแดงเลือดค่อยๆก่อตัวขึ้นจนกลายเป็นหมอกหนา ดวงตาของโจวเหว่ยชิงก็เกิดประกายสีแดงวาบผ่านไปด้วย นอกจากนี้แสงสีแดงเลือดจากนิ้วของเขาก็พลันเจิดจ้าขึ้นเช่นกัน
หยุนลี่คำรามออกมาโดยไม่รู้ตัว ร่างทั้งร่างของเขากระตุกอย่างรุนแรงขณะแสงสีแดงเข้มค่อยๆ ซึมหายเข้าไปในร่างกายของเขา แสงเข้มข้นเหล่านั้นเลือนหายไปจากร่างของโจวเหว่ยชิงและซึมเข้าสู่ร่างของหยุนลี่ช้าๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่โจวเหว่ยชิงใช้พิธีเลือด ตราประทับธาตุมืด เขารู้สึกราวกับว่าพลังปราณสวรรค์มากกว่า 1 ใน 3 ของตนเพิ่งถูกระบายออกไปจากร่าง แสดงให้เห็นว่าตราประทับนี้ต้องใช้พลังปราณสวรรค์ไปมากเพียงใด เมื่อแสงสีแดงเข้มข้นทะลักเข้าสู่ร่างกายของหยุนลี่ทั้งหมดแล้ว โจวเหว่ยชิงก็พลันรู้สึกถึงจุดเชื่อมโยงบางอย่างภายในจิตใจของเขาอย่างคลุมเครือ ราวกับนั่นคือเชือกที่เชื่อมโยงจิตของเขากับชีวิตของหยุนลี่
แม้ว่าตราประทับนี้จะไม่ได้ทำให้พวกเขาสื่อสารกันทางจิตได้ แต่โจวเหว่ยชิงก็ยังรู้สึกถึงชีวิตอันเปราะบางของ หยุนลี่ในกำมือของตนได้…นี่แสดงให้เห็นถึงอำนาจของผู้ประทับตราในพิธีเลือด
โจวเหว่ยชิงยกมือซ้ายขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นเลือดหยดเล็กๆ บนปลายนิ้วชี้ของเขา นั่นคือเลือดของหยุนลี่และยังเป็นสื่อกลางสำหรับพิธีเลือด ในขณะที่หยดเลือดค่อยๆซึมหายเข้าไปในมือของโจวเหว่ยชิงและเลือนหายเข้าไปในร่างกายของเขา สัญลักษณ์แปลกๆ ที่มีสีแดงเข้มก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของหยุนลี่
กลิ่นอายความมืดภายในห้องค่อยๆสลายหายไปอย่างช้าๆ ในที่สุดหยุนลี่ก็ลืมตาขึ้น ร่างกายของเขาไม่สั่นเทาอีกต่อไป ทุกอย่างดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติดังเดิม แม้กระทั่งสัญลักษณ์สีแดงเข้มที่สลักลงไปในผิวหนังของเขาก็ถูกซ่อนเอาไว้จากสายตาผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ทั้งเขาและโจวเหว่ยชิงต่างก็รู้ดีว่าสิ่งนี้จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต เว้นแต่เขาจะสามารถบรรลุเงื่อนไขที่เขา และโจวเหว่ยชิงได้ทำเอาไว้ร่วมกัน เช่นนั้นมันก็จะสลายหายไปเอง
หยุนลี่ลุกขึ้นยืน แม้ว่าเขาจะยังไม่คุ้นชินนัก แต่ก็ยังหันไปหาโจวเหว่ยชิงและโค้งคำนับอย่างเคารพ “นายท่าน…”
โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “เจ้าเป็นคนแรกที่ข้าใช้พิธีเลือด ตราประทับธาตุมืดด้วย ข้าไม่เคยคาดคิดว่าตัวเองจะโชคดีขนาดนี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่านายท่าน เจ้าสามารถเรียกข้าด้วยชื่อได้ ข้าไม่เคยคิดจะปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนทาสหรือคนรับใช้ ข้าหวังว่าเราจะเป็นสหายกันมากกว่า พวกเราสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเรียนรู้เกี่ยวกับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ร่วมกันได้”
หยุนหลี่ส่งเสียงในลำคอและพูดว่า “สหาย? ถ้าเจ้าอยากเป็นสหายกับข้า ทำไมถึงต้องใช้การเดิมพันมาเล่นงานข้าเช่นนี้!? หึ! ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้ามีหน้าที่จัดหาอาหาร เครื่องดื่ม ที่พัก และค่าใช้จ่ายทั้งหมดของข้า รวมถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับวัตถุดิบในการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูง เจ้าก็ต้องจ่ายด้วยเช่น กัน…”
โจวเหว่ยชิงชะงักเล็กน้อยก่อนจะพูดอย่างเคืองๆ “ทำไมฟังดูเหมือนข้ากลายเป็นคนที่ถูกกดขี่รังแกแทนล่ะ…”
“โอ้ใช่แล้ว หยุนลี่ เมื่อเราออกไปแล้วอย่าบอกใครว่าเจ้าพ่ายแพ้ให้แก่ข้า เพียงแค่บอกว่าเราเสมอกันและไม่ได้มีใครกลายเป็นผู้ติดตามของอีกฝ่าย”
หยุนลี่ถามอย่างสงสัย “ ทำไมล่ะ?”
โจวเหว่ยชิงแสยะยิ้มและกล่าวว่า “ข้าไม่อยากทำตัวโดดเด่น เข้าใจหรือไม่? ถ้ามีข่าวลือออกไปว่าเจ้ากลายเป็นผู้ติดตามของข้า ชีวิตข้าต่อจากนี้คงจะไม่มีช่วงเวลาที่สงบสุขอีกเลย…
“หา! เจ้าเนี่ยนะไม่อยากทำตัวโดดเด่น? ท้าให้ข้าประลองด้วยต่อหน้าผู้คนจำนวนมากเช่นนี้ เจ้าจะไม่ทำตัวโดดเด่นได้อย่างไร?” หยุนเล่อถึงกับพูดไม่ออก
โจวเหว่ยชิงตบไหล่เขาแล้วพูดว่า “ถ้าข้าไม่ทำเช่นนั้น แล้วจะล่อให้เจ้าติดเบ็ดได้อย่างไร! ความจริงแล้วข้าเป็นคนชอบเก็บเนื้อเก็บตัวมาก ฮิๆ! ไปกันเถอะ ข้าแน่ใจว่าทุกคนกำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียว”
ตั้งแต่เขาเข้ามาในเมืองเฟยหลี่ นอกจากช่วงเวลาที่ได้กลับมาพบกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์อีกครั้ง นี่อาจเป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตของโจวเหว่ยชิงอีกวันเลยก็ว่าได้ ขณะนี้เมื่อรวมตัวเขาเข้าไปอีกคน อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ก็มีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์เพิ่มขึ้นเป็น 2 คนแล้ว! นอกจากนี้ทั้ง 2 คนยังเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์และครอบครองชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานอีกด้วย!
…
ด้านนอกประตู ฉินเฟิงรู้สึกสับสนเล็กน้อยว่าทำไมซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่เคยวิตกกังวลถึงดูผ่อนคลายขึ้นมาก ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก ทั้งโจวเหว่ยชิงและหยุนลี่ก็เดินออกมาจากภายใน
ฉินเฟิงถามอย่างสงสัย “อาจารย์ทั้งสอง การต่อสู้ของพวกท่านจบลงแล้วหรือ? ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าใครเป็นผู้ชนะ?”
โจวเหว่ยชิงหัวเราะและกล่าวว่า “อาจารย์หยุนหลี่นั้นเก่งกาจมาก ข้าพยายามแทบตายกว่าจะลากการประลองในรอบที่ 2 ให้เสมอกัน เฮ้อ น่าเสียดายที่ข้าแพ้ในรอบที่ 3 ดังนั้นผลการประลองของพวกเราจึงถือว่าเสมอกันทั้งหมด ดูเหมือนว่าแม้แต่สวรรค์ก็ไม่ต้องการให้เรากลายเป็นผู้ติดตามของกันและกัน เฮ้อ พวกเราจะทำเช่นไรดี?”
………………………