Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 66.1 เจ้าแมวอ้วนวิวัฒน์พลังขึ้นแล้ว (1)
- Home
- Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา
- บทที่ 66.1 เจ้าแมวอ้วนวิวัฒน์พลังขึ้นแล้ว (1)
เนื่องจากไพฑูรย์ตาแมวสองสีนั้นหายากมาก ดังนั้นจึงมีเพียงหลินเทียนอ้าวและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เท่านั้นที่รู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ แน่นอนว่าไม่มีคนอื่นสงสัยเกี่ยวกับมณียุทธ์ของโจวเหว่ยชิงเลย พวกเขาทั้งหมดคิดว่าทักษะธาตุสายฟ้าและทักษะธาตุมืดนั้นเป็นความสามารถของธนูศาสตรามณียุทธ์ของเขา
มีเพียงอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะเท่านั้นที่สามารถสร้างศาสตรามณียุทธ์ที่มีคุณสมบัติพิเศษเช่นนี้ขึ้นมาได้ นั่นจะต้องเป็นผลมาจากการเสียสละหลุมบรรจุมณีเพื่อใส่ทักษะต่างๆ ลงไปในตัวศาสตรามณียุทธ์อย่างถาวรแทน สิ่งนี้จะทำให้ศาสตรามณียุทธ์ที่ถูกปรับแต่งมีพลังมหาศาล แต่ทว่าผู้ใช้ก็ยังต้องสิ้นเปลืองพลังปราณสวรรค์จำนวนมากเพราะความแตกต่างระหว่างทักษะธาตุของตนเองและทักษะที่ฝังลงบนศาสตรามณียุทธ์ นอกจากนี้ ศาสตรามณียุทธ์ชนิดนี้ก็มีข้อเสียคือความหลากหลายของทักษะกักเก็บเมื่อเทียบกับศาสตรามณียุทธ์ที่มีหลุมบรรจุมณี เนื่องจากศาสตรามณียุทธ์ประเภทนี้จะมีทักษะเดียวให้ใช้งาน ดังนั้นจึงไม่ยืดหยุ่นเท่ากับความสามารถในการใส่ทักษะหลายๆ ชนิดลงในหลุมบรรจุมณี นอกจากนี้ พลังของมันก็จะอยู่คงที่ในระดับเดิมตลอดไป ไม่สามารถพัฒนาขึ้นเหมือนทักษะกักเก็บเมื่อระดับพลังปราณของผู้ใช้เพิ่มขึ้น ทว่าศาสตรามณียุทธ์ชนิดนี้ก็ยังถือว่าคุ้มค่าหากฝังทักษะที่ทรงพลังลงไป
กลุ่มนักรบจากอาณาจักรหลี่ทั้ง 8 คนเดินทางออกจากเมืองเฟยหลี่ภายใต้การนำของหลินเทียนอ้าว พวกเขาขึ้นเรือข้ามทะเลสาบเฟยหลี่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก
ขณะที่พวกเขากำลังล่องเรือ หลินเทียนอ้าวก็ได้อธิบายเกี่ยวกับกติกางานประลองมณีสวรรค์เพิ่มเติมเพื่อให้พวกเขาทราบเกี่ยวกับกิจกรรมทั้งหมดซึ่งจะจัดขึ้นในเมืองจงเทียน เมืองหลวงแห่งอาณาจักรจ้งเทียน
ดินแดนไร้ขอบเขตนั้นมีขนาดใหญ่มาก มีอาณาจักรหลายสิบแห่งตั้งกระจายอยู่จนทั่วทั้งอาณาจักรใหญ่และอาณาจักรเล็กๆ ความแข็งแกร่งของแต่ละอาณาจักรถูกจัดเป็นอันดับต่างๆ ในบรรดาอาณาจักรทั้งหมดมีเพียง 2 อาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นก็คืออาณาจักรวั่นโซ่วและอาณาจักรจ้งเทียน
อาณาจักรวั่นโซ่วครอบครองพื้นที่ทางตอนเหนือของดินแดนไร้ขอบเขตทั้งหมด อาณาจักรของพวกเขากินพื้นที่เกือบ 1 ใน 4 ในแผ่นดินแห่งนี้ สำหรับอาณาจักรจ้งเทียน พวกเขายึดครองพื้นที่ตอนกลางทั้งหมดของแผ่นดิน ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูก อาณาเขตของพวกเขามีขนาดใหญ่กว่าอาณาจักรวั่นโซ่วเสียอีก ด้วยเหตุนี้ เมื่อนำพื้นที่ของอาณาจักรทั้ง 2 แห่งมารวมกันเพียงอย่างเดียวก็มีขนาดประมาณ 4 ใน 7 ส่วนของแผ่นดินทั้งหมดแล้ว แม้แต่อาณาจักรที่มีขนาดใหญ่รองลงมาอย่างอาณาจักรเฟยหลี่และอาณาจักรป่ายต้า แม้จะนำทั้ง 2 อาณาจักรนี้มารวมกันก็ยังมีพื้นที่เทียบได้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งของอาณาจักรจ้งเทียนหรืออาณาจักรวั่นโซ่วเท่านั้น
อาณาจักรที่ถูกจัดอยู่ในลำดับต้นๆ เหมือนอาณาจักรเฟยหลี่ก็มีอยู่ถึง 5 อาณาจักรด้วยกัน นอกจากอาณาจักรเฟยหลี่และอาณาจักรป่ายต้าแล้ว ยังมีอาณาจักรตันตุ้นอยู่ทางตอนใต้ อาณาจักรเป่าโปและอาณาจักรเก่อลี่ถีโม่ทางทิศตะวันออก เมื่อรวมดินแดนทั้งหมดของอาณาจักรอันดับที่ ‘2’ ทั้ง 5 อาณาจักรนี้พร้อมด้วยอาณาจักรอันดับ 1 ทั้ง 2 แห่งเข้าด้วยกันก็จะมีพื้นที่มากกว่า 9 ใน 10 ของผืนดินทั้งหมดในดินแดนไร้ขอบเขตแล้ว ดังนั้นพื้นที่ส่วนที่เหลืออีก 1 ส่วนจึงประกอบไปด้วยอาณาจักรเล็กๆ อีก 20 อาณาจักร แน่นอนว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของโจวเหว่ยชิงก็เป็นหนึ่งในอาณาจักรที่เล็กๆ ที่ไม่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ งานการประลองมณีสวรรค์จึงเป็นเพียงสนามประลองของอาณาจักรทั้ง 7 เท่านั้น แม้ว่าอาณาจักรเล็กๆอาจมีผู้ทรงพลังถือกำเนิดขึ้นบ้างคนสองคน แต่นั่นก็เกิดขึ้นได้ยาก ทั้งยังมีน้อยและอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย ดังนั้นอาณาจักรเล็กๆ เหล่านั้นจึงไม่มีผลต่ออันดับที่มั่นคงของอาณาจักรใหญ่ทั้ง 7 แห่ง
ในการประลองมณีสวรรค์ครั้งล่าสุด กลุ่มนักรบอาณาจักรเฟยหลี่ทำคะแนนได้ค่อนข้างดี พวกเขาไต่ไปจนถึงอันดับที่ 5 แล้ว เพียงนิดเดียวก็จะสามารถเป็นหนึ่งใน 4 อันดับแรกได้ น่าเสียดายที่มันยากจะทำให้สำเร็จ ครั้งนี้ในบรรดานักเรียน 5 คนที่เป็นสมาชิกในหลุ่มหลัก มีเพียงหลินเทียนอ้าวเท่านั้นที่เคยเข้าร่วมการแข่งขันเมื่อ 3 ปีที่แล้ว
หลังจากล่องเรือผ่านทะเลสาบเฟยหลี่ หลินเทียนอ้าวก็ซื้อม้าเร็วมาทั้งหมด 8 ตัว ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดจึงขี่ม้าเพื่อเดินทางต่อไป ตามแผนของหลินเทียนอ้าว ยิ่งพวกเขาไปถึงเมืองจ้งเทียนเร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งดีเท่านั้น ประการแรกคือพวกเขาจะสามารถพักผ่อนและฟื้นฟูกำลังเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้และยังช่วยให้พวกเขามีเวลาคิดแผนการรบด้วย
ในบรรดาคนทั้ง 8 โจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และอู่หยาไม่เคยขี่ม้ามาก่อน นั่นเป็นเพราะในอดีตขณะที่พวกเขาอยู่ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์พวกเขามักจะมุ่งหน้าไปทำภารกิจในรถม้าหรูหราของหัวเฟิง ตอนนี้เมื่อพวกเขาต้องควบขี่ม้า ทั้งคู่จึงรู้สึกว่านี่เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่มาก แต่อย่างไรพวกเขาก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีร่างกายยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ดังนั้นภายใต้ชี้แนะของหลินเทียนอ้าวและคนอื่นๆ ไม่นานพวกเขาทั้งคู่ก็สามารถเรียนรู้เคล็ดลับในการขี่ม้าได้อย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้ เวลานี้คนเดียวที่ยังมีปัญหาอยู่ก็คืออู่หยา และนั่นทำให้เธอรู้สึกค่อนข้างมืดมนเป็นอย่างยิ่ง ในระยะเวลา 5 วันที่ทุกคนออกต้องเดินทางด้วยม้าไปยังพรมแดนอาณาจักรจ้งเทียน อู่หยาต้องเปลี่ยนม้าถึง 6 ตัว โดยที่ม้าแต่ละตัวแทบจะทนอยู่ได้ไม่ครบวัน เหตุผลก็ง่ายมาก เพราะน้ำหนักของหญิงสาวคนนี้มีมากเกินไปจนน่าตกใจ! แม้แต่ม้าตัวที่บึกบึนที่สุดก็ทนแบกเธอได้ไม่ถึงวันก่อนจะพ่นฟองออกมาเต็มปากและสิ้นใจตาย
“พี่ใหญ่อู่หยา…ท่านช่างกระตือรือร้นเหลือเกิน…ถึงกับเปลี่ยนม้าอีกครั้งแล้ว…” โจวเหว่ยชิงพูดกับอู่หยาที่กำลังจ้องมองม้าน้ำลายฟูมปากของตนอย่างหมดอาลัยตายอยาก
อู่หยาแค่นเสียงและพูดว่า “ข้าแค่หนักเกินไปนิดหน่อยเท่านั้น ม้าน้อยๆ พวกนี้ช่างอ่อนแอเสียจริง”
โจวเหว่ยชิงเอ่ยถามอย่างสงสัย “ข้าขอพูดตามตรง แม้ว่าท่านจะตัวใหญ่กว่าข้าและหัวหน้าหลินเล็กน้อย แต่ท่านก็ไม่น่าจะมีน้ำหนักมากกว่าพวกเราขนาดนั้นนี่นา? ทำไมม้าของท่านถึงได้ทนไม่ไหวทุกตัวเลยเล่า?”
อู่หยาเหลือบมองเขาและถามว่า “เจ้าหนักเท่าไหร่?”
โจวเหว่ยชิงตอบว่า “ข้าคิดว่าน้อยกว่า 200 จินนะ” เขาสูง 1.9 เมตรและมีกล้ามเนื้อตึงแน่นไปทั้งตัว น้ำหนักดังกล่าวจึงถือว่าดีต่อสุขภาพแล้ว หากเทียบกับร่างกายของมนุษย์ทั่วไป ร่างกายของเขาก็ถือว่าใหญ่โตแล้ว
อู่หยามองไปที่หลินเทียนอ้าวและถามว่า “หัวหน้า แล้วท่านล่ะ?”
หลินเทียนอ้าวมีรูปร่างใหญ่โตและมีกล้ามเนื้อมากกว่าโจวเหว่ยชิงเสียอีก เขารีบตอบว่า “น่าจะประมาณ 230 จิน หรือมากกว่านั้น”
อู่หยายิ้มและพูดว่า “น้ำหนักของพวกท่าน 2 คนรวมกันก็ยังเบากว่าข้า”
“หาาาาาา?” คราวนี้ทุกคนสะดุ้งขึ้นมาพร้อมเพรียงกัน โจวเหว่ยชิงและหลินเทียนอ้าวหนักรวมกันมากกว่า 400 จินด้วยซ้ำ! แม้ว่าอู่หยาจะดูรูปร่างใหญ่โตกว่าพวกเขา แต่เธอก็ไม่น่าจะหนักเกิน 400 จินไปได้!
อู่หยากล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าจะบอกความลับให้ฟัง ข้ามาจากชนเผ่าที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดนทางตอนเหนือของอาณาจักรเฟยหลี่ ชื่อว่าเผ่าอีกาทอง พวกเราเกิดมาพร้อมกับโครงสร้างกระดูกและมวลกล้ามเนื้อที่หนาแน่นมาก อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งทางกายภาพสูง หึ ข้าหนักประมาณ 600 จินต่างหาก!”
“ห๊าาาาาาาาา!” นอกเหนือจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์และหลินเทียนอ้าวผู้หนักแน่นดังขุนเขาแล้ว ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา
600 จิน? นี่ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่?
ขี้เมาเป่าพึมพำออกมาเบาๆ “มิน่าล่ะ พลังของเจ้าถึงได้น่ากลัวขนาดนี้ เจ้ามาจากเผ่าอีกาทองนั่นเอง! เผ่าอีกาทองนั้นเป็นรู้จักกันในนามเผ่าบ้าดีเดือด! ในช่วงขาขึ้นของพวกเขา ในเผ่ามีสมาชิกมากกว่าแสนคน อีกทั้งพวกเขายังมีกองกำลังที่โด่งดังอย่าง ‘กลุ่มนักรบขวานอีกาทอง’ ที่แข็งแกร่งจำนวน 5,000 นาย ว่ากันว่าพวกเขาไม่เคยรบแพ้มาก่อน เมื่อชื่อเสียงของพวกเขาโด่งดังขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด นั่นก็เป็นเวลาที่พวกเขามีฐานะเทียบเคียงกับเผ่าเขี้ยวหมาป่าของอาณาจักรวั่นโซ่ว ทั้ง 2 เผ่าถือว่าเป็นหนึ่งในกองทหารราบที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จู่ๆจำนวนประชากรในเผ่าอีกาทองเริ่มลดน้อยลง ในที่สุดเผ่าของพวกเขาก็สูญเสียอำนาจในมือไป ทว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อใดก็ตามที่สมาชิกของเผ่าอีกาทองเข้าร่วมกับกองทัพ พลังของพวกเขาจะยังคงอยู่ในลำดับต้นๆ และมักจะได้รับตำแหน่งระดับสูงในกองทัพ เวลาอยู่ในสนามรบ สมาชิกเผ่าอีกาทองก็จะเปรียบเสมือนเครื่องจักรสังหาร”
โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตั้งใจฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็น อย่างไรคนที่เหลือในกลุ่มก็มาจากอาณาจักรเฟยหลี่และพวกเขาก็รู้เกี่ยวกับเผ่าอีกาทองอยู่แล้วไม่มากก็น้อย เห็นได้ชัดจากการที่พวกเขาพยักหน้าเห็นด้วยอยู่เป็น ระยะๆ ตลอดเวลา
สี่น้อยถามขึ้นมาอย่างสงสัย “แต่เท่าที่ข้ารู้ นักรบเผ่าอีกาทองจะเป็นจ้าวมณียุทธ์เสียส่วนใหญ่นี่นา ข้าไม่เคยได้ยินว่าเผ่าของพวกเขามีจ้าวมณีสวรรค์มาก่อน แต่อู่หยา เจ้ากลับเป็นคนผู้นั้น!”
สีหน้าของอู่หยาดูหดหู่ลงเล็กน้อย เธอพูดขึ้นมาช้าๆ “ อันที่จริงสมาชิกเผ่าอีกาทองของเราล้วนเกิดมาพร้อมกับพลังทางกายภาพที่ยิ่งใหญ่ แม้แต่คนที่ไม่มีมณีพลังก็อาจกล่าวได้ว่าไม่มีใครเทียบได้ในแง่ของพละกำลังและความแข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้เอง สมาชิกเผ่าอีกาทองที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงจะมีน้ำหนักอย่างน้อย 500 จิน นอกจากนี้ผิวหนังและกล้ามเนื้อของเรายังแข็งมาก เรียกได้ว่าพวกเรามี ‘เกราะ’ ป้องกันตามธรรมชาติเป็นของตนเอง ดังนั้นนักรบกลุ่มขวานอีกาทองจึงสามารถต่อสู้กับจ้าวมณีทั่วไปได้อย่างสูสีเลยทีเดียว”
“น่าเสียดายที่วันหนึ่งเผ่าอีกาทองของเราเริ่มมีปัญหาในการสืบตระกูล ไม่มีใครรู้สาเหตุและมันก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่มีสมาชิกคนใดในเผ่าที่สามารถตั้งครรภ์ได้เมื่อจับคู่กับคนในเผ่าด้วยกันเอง เนื่องจากไม่มีทางเลือก พวกเราจึงต้องพยายามหาคนรักนอกเผ่ามาครองคู่ อนิจจา แม้ว่าจะเป็นทารกในครรภ์ น้ำหนักของเราก็ยังมากผิดมนุษย์เกินไปอยู่ดี ดังนั้นผู้ชายในเผ่าของเราจึงไม่สามารถหาคู่ครองนอกเผ่าได้ มิฉะนั้นผู้หญิงที่เป็นมนุษย์ธรรมดาจะถูกฆ่าตายเพราะทารกในครรภ์หนักเกินไปจนสามารถทะลุมดลูกออกมา มีเพียงผู้หญิงในเผ่าของเราเท่านั้นที่จะสามารถหาคู่ครองนอกเผ่าได้ แต่ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็น่าจะเดาได้ว่าคนในเผ่าของข้าหน้าตาเป็นอย่างไร…ดังนั้นในเผ่าอีกาทองตอนนี้ ข้าถือว่างดงามที่สุดแล้ว ส่วนสมาชิกหญิงคนอื่นๆ แม้คนที่เตี้ยที่สุดก็ยังสูงอย่างน้อย 2 เมตร ด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้จะมีมนุษย์ธรรมดาคนไหนเต็มใจแต่งงานกับพวกเราบ้าง? แน่นอนว่านั่นจึงทำให้จำนวนคนในเผ่าของเราลดลงอย่างมาก ความจริงแเหตุผลที่ข้ามาเมืองเฟยหลี่และเข้าเรียนที่โรงเรียนเจ้ามณีก็เพื่อตามหาคู่หมั้นของข้า ไอ้เจ้างั่งนั่น…พอเห็นว่าข้าหน้าตาเป็นอย่างไร เขาก็ถึงกับหนีออกจากบ้านไปจริงๆ! ข้าได้ยินมาว่าเขามาที่เมืองเฟยลี่ ข้าจึงมาที่นี่เพื่อตามหาเขา…แต่จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังหาเขาไม่พบ”
“ตัวข้าเองก็เป็นผลมาจากการแต่งงานกับคนนอกเผ่า ท่านแม่ของข้าเป็นหัวหน้าเผ่าอีกาทองคนปัจจุบัน ส่วนท่านพ่อของข้าเป็นหัวหน้าเผ่าคนเถื่อนจากอาณาจักรวั่นโซ่ว หลายปีก่อนท่านพ่อของข้าประสบปัญหาขณะออกท่องโลกและได้ท่านแม่ช่วยเหลือเอาไว้ หลังจากนั้นพวกก็ให้กำเนิดข้าขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่ได้มีสายเลือดของเผ่าอีกาทองแบบบริสุทธิ์เต็มร้อย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงเป็นจ้าวมณีสวรรค์ได้”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของอู่หยา ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง นี่เป็นเรื่องเศร้าของคนทั้งเผ่าโดยแท้!
โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างสำนึกผิด “ข้าต้องขอโทษด้วย พี่ใหญ่อู่หยา ข้าไม่รู้ว่าน้ำหนักของท่านเป็นผลมาจากกรรมพันธุ์ที่สืบทอดทางสายเลือด”
อู่หยาส่ายหัวและพูดว่า “ไม่เป็นไร ใครขอให้น้ำหนักของข้าเยอะผิดมนุษย์มนาเช่นนี้ล่ะ จะว่าไปแล้ว…น้องโจว กล้ามเนื้อของเจ้าก็ดูบึกบึนแข็งแรงดีเช่นกัน…มณียุทธ์ของเจ้ามีคุณสมบัติประเภทความแข็งแกร่งใช่ไหม? ทำไมเจ้าไม่มาที่เผ่าอีกาทองของเราล่ะ เจ้าไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับใครเลย แค่ฝากเมล็ดพันธุ์ของเจ้าไว้กับพวกเราก็พอแล้ว”
โจวเหว่ยชิงตกใจจนเกือบหงายหลังตกม้า เขามองอู่หยาด้วยสีหน้าหวั่นวิตก “ไม่ ไม่ ได้โปรดเถอะ! พี่ใหญ่ ปล่อยข้าไปเถิด! ร่างน้อยๆ ของข้าจะแบกรับน้ำหนัก 600 จินได้ยังไง!!”
อู่หยามองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างเจ้าเล่ห์ เธอยิ้มและพูดว่า “เจ้าก็อยู่ข้างบนไปสิ!”
นอกจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำแล้ว ทุกคนต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเนื่องจากเป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นโจวเหว่ยชิงมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้
ขณะนี้พวกเขาทั้ง 8 คนกำลังขี่ม้าเลียบไปตามถนนหลักของจักรวรรดิจ้งเทียน แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับอาณาจักรอันดับ 1 ของโลกใบนี้มากนัก แต่เขาก็ยังสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้มากมายจากถนนหลักที่มีอาณาเขตกว้างขวางเส้นนี้
ไม่ต้องพูดถึงอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เลยด้วยซ้ำ แม้แต่ถนนหลักของของอาณาจักรเฟยหลี่ที่กว้างเกือบ 20 เมตรและถือว่าเป็นถนนชั้นนำแห่งหนึ่งก็ยังแคบกว่าถนนเส้นนี้ ถนนหลักของอาณาจักรจ้งเทียนมีความกว้างมากกว่า 30 เมตร มีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นอย่างเป็นระเบียบให้ความร่มรื่นไปตลอดทาง และถนนทั้งสายก็ดูราวกับเป็นตัวแทนแสดงให้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรใหญ่แห่งนี้
เมืองหลวงเฟยหลี่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอาณาจักรเฟยหลี่ในขณะที่เมืองหลวงจ้งเทียนตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอาณาจักรจ้งเทียน เนื่องจากพรมแดนด้านตะวันออกของอาณาจักรเฟยหลี่อยู่ติดกับพรมแดนทางตะวันตกของอาณาจักรจ้งเทียน ระยะทางจากเมืองหลวงเฟยหลี่ไปเมืองหลวงจ้งเทียนจึงไม่ไกลกันมากนัก ด้วยการควบขี่ม้าไปเช่นนี้ พวกเขาควรจะไปถึงที่นั่นภายในระยะเวลาสิบกว่าวัน และถึงตอนนี้พวกเขาก็เดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว