Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 66.2 เจ้าแมวอ้วนวิวัฒน์พลังขึ้นแล้ว (2)
- Home
- Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา
- บทที่ 66.2 เจ้าแมวอ้วนวิวัฒน์พลังขึ้นแล้ว (2)
ในขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังรู้สึกประหม่าเพราะถูกอู่หยาจ้องมองอย่างสำรวจ ฉับพลันนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างกระตุกและดิ้นไปมาในอกเสื้อของตน เกือบจะในเวลาเดียวกัน เสียงขู่ต่ำๆ ก็ดังขึ้น และเสือขาวตัวน้อยหรือเจ้าแมวอ้วนก็พุ่งกระโจนออกมาจากอ้อมแขนของเขา
มันมักจะถูกโจวเหว่ยชิงหิ้วตัวพาไปไหนมาไหนด้วยทุกๆ วัน โดยธรรมชาติแล้วทุกคนจึงเคยเห็นเจ้าแมวอ้วนมาก่อน ในสายตาของพวกเขา ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ของมันจะดูแปลกตาไปบ้าง แต่มันก็ดูเด็กมากและดูเหมือนจะเป็นเพียงสัตว์อสูรตัวน้อยธรรมดาๆ ดังนั้นทุกคนจึงไม่มีใครให้ความสนใจมันมากนัก
ทันทีที่แมวอ้วนกระโจนออกมาจากอกเสื้อของเขา โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติไป นั่นเป็นเพราะเมื่อมันกระโจนออกมาข้างนอก ร่างของมันก็ร่วงแหมะลงบนแผงคอม้า เส้นขนพลันตั้งชัน ลำตัวสั่นเทาอย่างรุนแรงราวกับว่ากำลังได้รับความเจ็บปวดทรมาณ เส้นขนสีน้ำเงินเข้มดูเหมือนจะบิดเบี้ยวและเปลี่ยนรูปร่างไปมาอย่างแปลกประหลาด ราวกับว่าพวกมันเป็นปรสิตเรืองแสงที่มีชีวิตและน่าขนลุก
เมื่อเห็นลวดลายที่เกิดขึ้นบนร่างของเสือขาวตัวน้อย โจวเหว่ยชิงก็นึกย้อนไปถึงลายเสือดำที่เกิดบนผิวหนังของเขาเมื่อเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง แต่ถึงกระนั้นกลิ่นอายรอบตัวของเจ้าแมวอ้วนก็แตกต่างจากเขามาก โจวเหว่ยชิงไม่รู้สึกถึงไอความชั่วร้ายหรือทักษะธาตุปีศาจเลย ในทางตรงกันข้าม ร่างของแมวอ้วนกลับมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ขณะเดียวกันโจวเหว่ยชิงก็ยังได้ยินเสียงกระดูกกำลังเสียดสีกันจนแตกละเอียด
*กรรรรร* เสียงคำรามดังออกมาจากลำคอของแมวอ้วนเบาๆ
ม้าเร็วทั้ง 8 ตัวที่แบกคนในกลุ่มพลันทรุดฮวบลงกับพื้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้องของเสือขาวตัวน้อย ทุกตัวนอนนิ่งบนพื้นโดยไม่ส่งเสียงออกมาสักแอะ ปากของพวกมันเต็มไปด้วยฟองน้ำลายผสมกับคาวเลือด
โชคดีที่พวกเขาทั้งหมดเป็นจ้าวมณีสวรรค์ แม้ว่าพวกเขาจะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พวกเขาก็ยังสามารถกระโดดหนีจากม้าได้ทันเวลา ไม่นานทุกคนก็จ้องมองกันและกันด้วยสีหน้าสับสน
โจวเหว่ยชิงรีบช้อนตัวเจ้าแมวอ้วนเข้ามาในอ้อมแขนของเขาอีกครั้งด้วยสีหน้าวิตกกังวล แม้ว่าปกติแล้วเขาจะชอบกลั่นแกล้งมัน แต่พวกเขาก็อยู่ด้วยกันมานานกว่า 2 ปีแล้ว อาจกล่าวได้อยู่ด้วยกันมานานจนไม่อาจแยกจากกันได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังช่วยชีวิตเขามาหลายครั้งและโจวเหว่ยชิงก็ปฏิบัติกับมันเหมือนคนในครอบครัว เมื่อเกิดเหตุการณ์กะทันหันเช่นนี้ เขาจะไม่รู้สึกว้าวุ่นใจได้อย่างไร?
ขณะที่โจวเหว่ยชิงกอดเสือขาวตัวน้อยเอาไว้ในอ้อมอก เขาก็รับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าดวงตาของเจ้าแมวอ้วนกำลังปิดแน่นขณะที่ร่างกายกำลังสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ แม้ว่ามันจะไม่ได้ปลดปล่อยพลังใดๆ ออกมา แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงขุมพลังยิ่งใหญ่ที่กำลังหมุนวนอยู่ใต้ผิวหนังของมัน
“แมวอ้วน แมวอ้วน เกิดอะไรขึ้น? เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? อย่าทำให้ข้าตกใจสิ!” โจวเหว่ยชิงร้องอย่างตื่นตระหนก
เสียงเคร่งขรึมของหลินเทียนอ้าวดังแทรกขึ้นมา “ดูเหมือนว่ามันกำลังจะทะลวงผ่านไปอีกระดับขั้นและวิวัฒน์พลังขึ้น เหว่ยชิงดูเหมือนว่าอสูรสวรรค์ตัวนี้จะมีระดับสูงมากทีเดียว การที่เสียงร้องมันสามารถทำให้ม้าที่แข็งแรง 8 ตัวนี้ตายได้ เมื่อโตขึ้นมันจะต้องมีพลังมหาศาลแน่นอน”
โจวเหว่ยชิงมองเขาอย่างทำอะไรไม่ถูก “แล้วตอนนี้ข้าจะทำยังไงดี?”
หลินเทียนอ้าวขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เมื่อถึงเวลาที่อสูรสวรรค์จะวิวัฒน์ขึ้นอีกระดับ พวกมันจะต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น มนุษย์อย่างพวกเราย่อมไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ แต่ถึงอย่างไรเวลานี้ก็เป็นช่วงที่พวกมันอ่อนแอที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกมันยังจะปลดปล่อยกลิ่นอายที่แปลกประหลาดออกมาด้วย กลิ่นนั้นจะสามารถล่อลวงอสูรสวรรค์ตัวอื่นมากลืนกินพวกมันได้ ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่เราทำได้ก็คือการปกป้องมันเอาไว้ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่มันไม่มีครอบครัวคอยปกป้องเหมือนอย่างเคย โชคดีที่แม้ว่าถนนเส้นนี้จะล้อมรอบไปด้วยป่าเขา แต่ข้าก็ไม่คิดว่าจะมีอสูรสวรรค์ที่ทรงพลังอยู่ใกล้กับถนนสายหลัก ไปกันเถอะ พวกเราเข้าป่าไปค้นหาสถานที่ปลอดภัยไว้หลบซ่อนตัวกันก่อน เพื่อนตัวจ้อยนี้ไม่น่าจะใช้เวลาวิวัฒน์พลังนานขนาดนั้น ทั้งหมดอาจจะกินเวลาไปประมาณ 3 วัน”
โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ต้องขอโทษทุกคนด้วย ข้าทำให้การเดินทางต้องล่าช้า”
ขี้เมาเป่าหัวเราะและกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา พวกเรายังมีเวลาอีกมาก นอกจากนี้ หากเสือขาวตัวน้อยของเจ้าสามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นได้ มันก็อาจจะมีประโยชน์ในการแข่งขันของพวกเรา!”
โจวเหว่ยชิงชะงักก่อนจะถามด้วยความประหลาดใจ “พวกเราสามารถใช้อสูรสวรรค์ในงานประลองมณีสวรรค์ได้ด้วยหรือ?”
ขี้เมาเป่ากล่าวว่า “เจ้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับอาชีพปรมาจารย์อสูรในอาณาจักรวั่นโซ่วมาก่อนเลยหรือ? พลังของพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่พวกเขาสามารถทำให้อสูรสวรรค์เชื่องและนำไปต่อสู้แทนตนเองได้ ดังนั้นการประลองมณีสวรรค์จึงอนุญาตให้อสูรสวรรค์เข้าร่วมการต่อสู้ได้ แต่บุคคลนั้นก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บใดๆ ทั้งยังสามารถนำอสูรสวรรค์มาใช้ได้เพียงตัวเดียว แต่ถึงกระนั้น กลุ่มจากอาณาจักรวั่นโซ่วก็ยังสามารถเข้าสู่ 4 อันดับแรกได้อย่างง่ายดาย นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อาณาจักรวั่นโซ่วแข็งแกร่งมาก”
เนื่องจากอาการสั่นเทาของเจ้าแมวอ้วนกำลังเลวร้ายลงเรื่อยๆ ตอนนี้โจวเหว่ยชิงจึงไม่อาจเพ่งความสนใจไปที่ปรมาจารย์อสูรได้ ม้าของพวกเขาตายไปหมดแล้ว ทุกคนจึงไม่มีอะไรให้ขี่อีก หลังจากตกลงกันได้แล้ว ทั้งหมดจึงมุ่งหน้าเข้าไปในป่าข้างถนนหลัก ภายใต้การนำของหลินเทียนอ้าว พวกเขาจึงพบจุดพักแรมเหมาะๆ บริเวณริมหน้าผาเล็กๆ ในป่า
“อู่หยา สร้างถ้ำให้เหว่ยชิงใช้ปกป้องเพื่อนตัวน้อยตรงนั้น เรื่องจะง่ายขึ้นหากพวกเราช่วยเฝ้ายามหน้าถ้ำซึ่งเป็นทางเข้าออกเดียว” หลินเทียนอ้าวเอ่ยปากบอกอู่หยา
ในฐานะผู้นำ ไม่เพียงแต่เขาจะมีพลังมากที่สุด แต่เขายังได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกทุกคนในกลุ่มด้วย หลังจากอยู่ด้วยกันมาเพียงไม่กี่วัน แม้แต่คนที่เย่อหยิ่งอย่างเย่เป่าเปาก็ยังประทับใจนิสัยหนักแน่นมั่นคงของหลินเทียนอ้าว ในความเป็นจริง เย่เป่าเปาเคยกระซิบกับโจวเหว่ยชิงอย่างลับๆ ว่าคนอย่างหลินเทียนอ้าวนั้นเก่งกาจในทุกๆ เรื่องที่เขาคิดจะลงมือทำ หากเขาเลือกเดินในเส้นทางแม่ทัพ เขาก็อาจจะกลายเป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง น่าเสียดายที่นั่นไม่ใช่เส้นทางที่เขาเลือก ในขณะที่เย่เป่าเปากล่าวชมหลินเทียนอ้าว โจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้มแย้มออกมาราวกับคนโง่
อู่หยาพยักหน้าทำสัญญาณให้คนที่เหลือก้าวถอยหลัง เธอสะบัดมือออกไป แสงสีดำ 2 สายพลันสว่างวาบขึ้นมาทันที จากนั้นขวานหน้ากว้างขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในมือของเธอทั้ง 2 ข้าง
เมื่อมองไปที่ขวานคู่ในมือของอู่หยา ดวงตาของโจวเหว่ยชิงก็แทบจะถลนออกมานอกเบ้าด้วยความตกใจ ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของคำว่าขวานหน้า “กว้าง” ดูสิ พวกมันมีขนาดใหญ่เกือบเท่ากรอบประตูด้วยซ้ำ!
ขวานหน้ากว้างทั้ง 2 ชิ้นเป็นสีดำสนิท พวกมันกำลังปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นยะเยือกออกมา แต่ละชิ้นมีความยาวเกือบ 6 ฉื่อ หัวขวานมีขนาดใหญ่กว่าค้อนคู่ในตำนานของโจวเหว่ยชิงเสียอีก ส่วนด้ามจับเป็นเหล็กแหลม มีความหนาเกือบเท่าแขนของมนุษย์ แน่นอนว่ามีเพียงมือขนาดใหญ่ของอู่หยาเท่านั้นที่สามารถถือพวกมันได้อย่างสบายๆ ตัวขวานมีลวดลายแปลกประหลาดที่มีแสงเรืองรองออกมาเป็นสีดำเหลือบทอง เมื่อขวานปรากฏขึ้นในมือของเธอ วินาทีนั้นก็ดูเหมือนว่าท้องฟ้าจะมีเมฆดำลอยเข้าปกคลุมทันที เมื่อรวมกับรูปร่างใหญ่โตมโหฬารของเธอ นั่นก็ทำให้อู่หยามีรูปลักษณ์ที่ดูโหดเหี้ยมและน่ากลัวเป็นอย่างมาก
“นี่…นี่เป็นศาสตรามณียุทธ์?” เย่เป่าเปาเกือบจะพูดติดอ่างในขณะที่เขาละล่ำละลักถามออกมา
อู่หยายิ้มและพูดว่า “เปล่า นี่เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษของข้า มันถูกเรียกว่าขวานเทพอีกาทอง ชิ้นที่อยู่ทางซ้ายหนัก 612 จิน ส่วนชิ้นที่อยู่ทางขวาหนัก 781 จิน รวมทั้งหมด 1,393 จิน อาวุธเหล่านี้เป็นอาวุธในตำนานของเผ่าเราและมีเพียงสมาชิกเผ่าอีกาทองเท่านั้นที่สามารถใช้ได้”
เย่เป่าเปา โจวเหว่ยชิงและโจวเหว่ยชิงแลกเปลี่ยนสายตากันทันที ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดอู่หยาจึงสามารถเข้าเป็นสมาชิกหลักของกลุ่มนี้ได้แม้จะมีมณีเพียง 3 ชุด นั่นเป็นเพราะถึงแม้ขวานคู่เหล่านี้จะไม่ใช่ศาสตรามณียุทธ์ แต่ประสิทธิภาพก็น่าจะดีพอๆ กัน หรืออาจดีกว่าด้วยซ้ำ! พวกมันมีน้ำหนักรวมกันมากกว่า 1,000 จิน ของพวกนี้ช่างน่ากลัวเกินไปจริงๆ!
อู่หยาอ้าปากตะโกนเค้นพลัง หยกน้ำแข็ง 3 ดวงรอบข้อมือขวาของเธอพลันเปล่งแสงขึ้นมาทันที ขวานศึกขนาดใหญ่ทั้ง 2 ชิ้นในมือของเธอกลายเป็นกิ่งไม้เล็กๆไปในพริบตาเมื่อถูกควงไปรอบๆ เหมือนพายุหมุน ขณะนี้ทั้งร่างของเธอปกคลุมไปด้วยแสงสีดำเหลือบทอง หลังจากเสียงของแข็งกระทบกันครั้งใหญ่ อู่หยาก็ฟาดขวานนั้นลงไปบนเขาลูกนั้นทันที
ขณะที่ขวานของเธอปะทะเข้ากับภูเขาลูกนั้น คนทั้งกลุ่มก็รู้สึกได้ทันทีว่าพื้นดินกำลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ไม่นานเสียงระเบิดครั้งใหญ่ก็ดังขึ้นและอู่หยาก็เริ่มขุดลึกเข้าไปในเขาลูกนั้นเหมือนรถขุดดิน
โจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าท้องไส้ของตนกำลังปั่นป่วน เขาคิดมาตลอดว่าในบรรดาจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 3 ชุดย่อมไม่มีใครสามารถล้มเขาได้ แต่เมื่อมองเห็นความสามารถของอู่หยา เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าตัวเองมั่นใจมากเกินไป ถ้าเขาต้องเผชิญหน้ากับอู่หยาในการต่อสู้จริง เขาก็ไม่คิดว่าตนจะได้รับชัยชนะ บางทีหากจะเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ก็คงจะต้องเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างเท่านั้น
“ทักษะของนางเป็นขั้วตรงข้ามของข้า” เสียงของหลินเทียนอ้าวดังขึ้นเบาๆ ในหูของโจวเหว่ยชิง
โจวเหว่ยชิงหันหน้ากลับไปด้วยความประหลาดใจ เขาจ้องมองหลินเทียนอ้าวด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดขึ้นมาว่า “ไม่มีใครจะเข้าใจพลังที่แท้จริงของอู่หยาหากไม่ได้เผชิญหน้ากับนางโดยตรง พลังน่ากลัวของขวานในตำนานพวกนั้น…เหตุผลที่อู่หยาเคารพข้า จริงๆ แล้วเป็นเพราะข้าคือคนเดียวที่สามารถป้องกันการโจมตีของนางได้ ผู้หญิงคนนั้นมีความกล้าหาญอย่างยิ่ง ในการสอบคัดเลือกเพื่อเฟ้นหาสมาชิกในกลุ่มหลัก ไม่มีนักเรียนคนใดเต็มใจที่จะต่อสู้กับนางนอกจากตัวข้าเอง แน่นอนว่านางเป็นคนแรกที่ถูกเลือก! ในแง่ของพลังโดยรวมของอู่หยา ข้าไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าขีดจำกัดของนางอยู่ที่จุดไหน เผ่าอีกาทองล้วนเป็นนักรบโดยกำเนิดและอู่หยาก็เป็นที่รู้จักในฐานะผู้มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในรอบ 1,000 ปี จากสิ่งนั้น เจ้าก็ลองจินตนาการถึงความยิ่งใหญ่ของนางดู”
โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่และพึมพำกับตัวเอง “หากต้องเข้าสู่สนามรบจริง อู่หยาจะกลายเป็นเครื่องบดเนื้อแน่นอน”
ในที่สุดเสียงที่ดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดินก็หายไป เพียงพริบตาเดียวอู่หยาก็มาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขาอีกครั้ง จริงๆแล้วเธอเพิ่งขุดทางเข้าถ้ำที่มีขนาดกว้าง 3 เมตรสูง 2.5 เมตรลึกเข้าไปในภูเขา สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือเธอไม่มีสิ่งสกปรกติดอยู่ตามร่างกาย แม้แต่เหงื่อสักหยดก็ไม่มีด้วยซ้ำ ทั้งยังดูนิ่งเฉยเหมือนปกติ เห็นได้ชัดว่าไม่มีสัญญาณใดที่บ่งบอกว่าเธอพึ่งออกแรงขุดภูเขาไปลูกหนึ่ง!
“พี่ใหญ่ ข้าประทับใจมากจริงๆ!” โจวเหว่ยชิงยกนิ้วโป้งให้อู่หยาก่อนจะกอดเจ้าแมวอ้วนแนบอกแล้วพุ่งเข้าไปในถ้ำทันที
พละกำลังของอู่หยาน่าทึ่งมากจริงๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ เธอกลับสามารถขุดถ้ำได้ลึกถึง 10 เมตร!