Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 72.2 เล่ห์เหลี่ยมใดๆก็ไร้ผล (2)
- Home
- Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา
- บทที่ 72.2 เล่ห์เหลี่ยมใดๆก็ไร้ผล (2)
เมื่อเทียบกับพิธีจับฉลากเมื่อวาน บรรยากาศที่จตุรัสวันนี้เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และรังสีฆ่าฟัน ทุกๆกลุ่มพกความแข็งแกร่งมาเต็มเปี่ยม แม้กระทั่งกลุ่มตัวเต็งก็มาพร้อมกับจำนวนสมาชิกไม่ต่ำกว่า 8 คน ส่วนกลุ่มที่มีจำนวนคนมากที่สุดนำสมาชิกมาด้วยมากกว่า 10 คนด้วยซ้ำ ข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือกลุ่มนักรบอาณาจักรเฟยหลี่และผู้นำที่รักของเรา โจวเหว่ยชิงเท่านั้นที่พาพวกมาด้วยเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น
เมื่อโจวเหว่ยชิงเดินนำซ่างกวนปิงเอ๋อร์ อู่หยาและเย่เป่าเปาไปที่เรือนพักของกลุ่มเฟยหลี่ พวกเขาทั้งหมดต่างก็ดึงดูดความสนใจจากกลุ่มอื่นๆ รวมถึงกลุ่มตัวเต็งทั้ง 4 ได้ทันที แม้กระทั่งกลุ่มตัวเต็งทั้ง 4 พวกเขาก็มีสมาชิกหลัก 5 คนและสมาชิกสำรอง 3 คน รวมทั้งหมดเป็น 8 คน ดังนั้นในสายตาของคนอื่นๆ กลุ่มเฟยหลี่นั้นอวดดีมากเกินไป การนำสมาชิกเพียง 4 คนเข้าร่วมงานประลองเท่ากับเป็นการประกาศให้คนอื่นรู้ว่าพวกเขามั่นใจมากว่าจะชนะการประลองในวันนี้ไปได้ด้วยสมาชิกเพียง 4 คนเท่านั้น
แน่นอนว่าคนที่มีสีหน้าน่าเกลียดที่สุดในตอนนี้คือคู่ต่อสู้ของพวกเขาอย่างกลุ่มจากอาณาจักรเหมี่ยว และตอนนี้พวกเขาทั้งหมดต่างก็จ้องมองกลุ่มนักรบเฟยหลี่ตาเขม็ง
น่าเสียดายที่หนังหน้าของหัวหน้าโจวที่รักของเราหนามาก ดังนั้นไม่ว่าทุกคนจะจ้องมองพวกเขาอย่างกินเนื้อกินเลือดอย่างไร เขาก็ยังคงมีสีหน้า ‘ไม่ใช่ปัญหาของข้า’ ประดับอยู่บนใบหน้าเสมอ ไม่นานเขาก็เข้าไปนั่งในเรือนพักอย่างสง่าผ่าเผย
บริเวณด้านข้างของเรือนพักที่หันหน้าไปทางเวทีหลักนั้นเปิดโล่งและไม่ได้ถูกปิดกั้นจากสายตาผู้อื่น ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นเขานั่งลงด้วยท่าทางสบายๆ ความรู้สึกหมั่นไส้ก็เริ่มเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่นานสมาชิกกลุ่มทั้งหมดก็มารวมตัวกันอยู่ในเรือนพักแต่ละหลัง จากระยะไกลๆ พวกเขายังเห็นด้วยว่าแท่นนั่งของผู้ชมชนชั้นสูงกำลังอัดแน่นไปด้วยผู้คนจำนวนมาก โจวเหว่ยชิงเหลือบมองไปทางนั้นก่อนจะรีบเสตาหลบอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เรื่องดีเลยที่ประสาทสัมผัสของเขาว่องไวเช่นนี้ เพียงแค่มองแวบเดียวก็ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาขึ้นมาทันที เหงื่อเย็นๆหลั่งออกมาปกคลุมจนทั่วแผ่นหลัง เขาไม่อาจบอกได้ว่าผู้คนส่วนใหญ่บนแท่นนั่งของผู้ชมชนชั้นสูงมีพลังอยู่ในระดับใดบ้าง แต่เขามั่นใจว่ามีอย่างน้อย 20 กว่าคนที่มีพลังเหนือกว่าหมิงอู๋! กล่าวคือมีจ้าวมณีระดับเทวะมากกว่า 29 คนนั่งอยู่บนแท่นนั่งนั้น อีกทั้งแต่ละคนยังเป็นผู้ทรงพลังที่สามารถเขย่าโลกทั้งใบได้เลยทีเดียว!
ในขณะนี้ชายวัยกลางคนอายุประมาณ 40 ปีบนแท่นนั่งนั้นก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกมาด้านหน้า เขาสวมเสื้อคลุมมังกรสีทอง มงกุฎทองคำบนศีรษะมีอัญมณีที่วิจิตรงดงามประดับอยู่หลายเม็ด อีกทั้งบริเวณเอวก็ยังมีสายคาดที่ร้อยขึ้นจากหยกหิมะขาว 18 ชิ้น เขาไม่ได้มีหน้าตาหล่อเหลามากนัก รอบๆ ตัวมีเพียงกลิ่นอายที่มั่นคงเรียบง่าย ทว่าก็ยังไม่อาจปกปิดประกายแวววาวในดวงตาของเขาเอาไว้ได้ นั่นจึงยากที่จะระบุว่าแท้จริงแล้วเขาอายุเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ว่ามีระดับพลังแข็งแกร่งกว่าหมิงอู๋
“สวัสดีเหล่าหนุ่มสาวจากทั้ง 24 อาณาจักร ยินดีที่ได้พบพวกเจ้าทุกคน ข้าคือจักรพรรดิแห่งอาณาจักรจ้งเทียน นามว่าซ่างกวนเทียนซิน ข้าขอต้อนรับพวกเจ้าทุกคนเข้าสู่อาณาจักรจ้งเทียนของเราเพื่อเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 3 ปี” เสียงของเขานุ่มนวลและอ่อนโยน แต่ก็เหมือนสายน้ำที่ซึมลึกลงสู่พื้น ค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วจนทุกคนสามารถได้ยินเสียงของเขาได้อย่างชัดเจน
เหล่ากลุ่มคู่แข่งที่อยู่ในเรือนพักต่างรีบเดินออกมาโค้งคำนับไปทางแท่นนั่งของผู้ชมชนชั้นสูงพร้อมกับทักทายว่า “ขอคำนับฝ่าบาท” ในหมู่พวกเขา สมาชิก 8 คนจากกลุ่มจ้งเทียนโน้มตัวคุกเข่าลงด้วยความเคารพ
ประชาชนหลายแสนคนที่อยู่รอบๆ จตุรัสต่างก็คุกเข่าลงพร้อมกันและตะโกนออกมาดังๆ ว่า “ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ!”
การได้เห็นประชาชนหลายแสนคนร้องตะโกนพร้อมกันนั้นเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งมาก เนื่องจากคลื่นเสียงขนาดใหญ่กำลังดังกึกก้องไปทั่ว จึงมีความเป็นไปได้ว่าแม้แต่ผู้คนบนเกาะอัญมณีสวรรค์ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปหลายพันเมตรก็ยังได้ยิน นี่คือบารมีและอำนาจอันยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิ แม้ว่าซ่างกวนเทียนซินจะไม่ได้วางอำนาจบาตรใหญ่ใดๆ ต่อหน้าพลเมืองจำนวนมากของเขา เขาก็ยังกลายเป็นจุดสนใจของคนในพื้นที่ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
โจวเหว่ยชิงโค้งคำนับเล็กน้อย แต่จู่ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ซึ่งอยู่ข้างๆเขาดูค่อนข้างตกตะลึง “ปิงเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่ายหัวเบาๆ และพูดว่า “ไม่มีอะไร ข้าแค่รู้สึกว่าเสียงของเขานุ่มนวลและฟังสบายหูมาก”
ขณะนี้ซ่างกวนเทียนซินก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “กฎงานประลองมณีสวรรค์นั้นเป็นไปอย่างที่เคยเป็นมา วันนี้เป็นรอบแรก ข้าหวังว่าจะได้เห็นคนรุ่นเยาว์ที่มีอนาคตเช่นเจ้าทั้งหลายแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาได้เต็มที่และทำผลงานได้ ดี”
“กลุ่มนักรบ 4 อันดับแรกจะสามารถเข้าสู่เกาะมณีสวรรค์เพื่อเข้าร่วมรอบชิงชนะเลิศได้ ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ยังจะได้รับรางวัลมากมายที่นั่น จำไว้ว่านี่คือเวทีของเจ้า! นั่นคือทั้งหมดที่ข้าจะพูดในวันนี้ ซ่างกวนหลงหยิน เจ้าอยู่ที่ ไหน?”
“ข้าอยู่นี่ขอรับ” ชายชราก้าวออกมาจากทางด้านข้างและโค้งคำนับให้ซ่างกวนเทียนซินอย่างเคารพนอบน้อม
ซ่างกวนเทียนซินกล่าวว่า “หลงหยิน เจ้าจะเป็นผู้ตัดสินสูงสุดในงานประลองมณีสวรรค์ปีนี้ โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ในสำนักกักเก็บทักษะของเจ้าเป็นกรรมการในแต่ละรอบ”
“น้อมรับคำสั่ง ฝ่าบาท”
สายตาของซ่างกวนเทียนซินกวาดมองเหล่านักรบทั้ง 24 กลุ่มและพลเมืองของเขา ก่อนที่จะพูดอย่างเคร่งขรึม “เริ่มการประลอง!”
“ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ขอพระองค์ทรงพระเจริญ!”
เสียงร้องสรรเสริญดังขึ้นอีกครั้งขณะที่ซ่างกวนเทียนซินกลับไปนั่งที่ตรงเก้าอี้ตรงกลางแท่นนั่งของผู้ชมชนชั้นสูง ส่วนซ่างกวนหลงหยินก็ก้าวเข้าไปยืนแทนที่เขา
เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์ที่แสนอ่อนโยนของซ่างกวนเทียนซิน ซ่างกวนหลงหยินดูสง่างามและเข้มงวดมากกว่า ใบหน้าของเขาไม่ยินดียินร้ายและมีประกายดุร้ายในดวงตาของเขา ราวกับว่าเขาเป็นดาบที่เสียบอยู่ในฝัก รอวันถูกชักออกมา
เย่เป่าเปาพูดขึ้นมาเบาๆ “ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับชายผู้นี้มาก่อน เขาเป็นหัวหน้าสำนักกักเก็บทักษะอาณาจักรจ้งเทียนและเป็นหนึ่งในบุคคลที่สำคัญที่สุดในอาณาจักรนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข่าวลือว่าสมาชิกชนชั้นสูงของวังสวรรค์ไพศาลยังเป็นคนของราชวงศ์ด้วย ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าอาณาจักรจ้งเทียนจะมีขนาดใหญ่มาก แต่สถานะของตระกูลซ่างกวนก็ไม่เคยสั่นคลอน ตำแหน่งของจักรพรรดิจึงยังคงเป็นของพวกเขาเสมอ”
‘หัวหน้าสำนักกักเก็บทักษะอาณาจักรจ้งเทียน’ ตำแหน่งของเขาเพียงอย่างเดียวทำให้โจวเหว่ยชิงรู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกแล้ว แม้แต่หัวหน้าสำนักกักเก็บทักษะอาณาจักรเฟยหลี่ก็ยังเป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ระดับราชา ทว่าบุคคนที่อยู่ตรงหน้าเขากลับทรงพลังยิ่งกว่า! แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่ใช่ผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรจ้งเทียน เพราะว่ายังมีวังสวรรค์ไพศาลอยู่เหนือเขาขึ้นไปอีกขั้น! โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่จริงๆ และวันนี้เขาก็ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
สายตาทรงอำนาจของซ่างกวนหลงหยินกวาดผ่านผู้ชมและพวกเขาก็เงียบกริบลงทันที ทั้งหมดกลายเป็นภาพที่น่าประทับใจมากเพราะบริเวณนี้มีประชาชนอยู่หลายแสนคนด้วยซ้ำ! ยิ่งไปกว่านั้น หากใครได้เพ่งตรวจสอบใบหน้าของคนเหล่านั้นอย่างใกล้ชิดก็จะสามารถเห็นความคลั่งไคล้ในสายตาของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
“รอบแรก การประลอง 1 ต่อ 1 กลุ่มนักรบจ้งเทียนกับกลุ่มนักรบเทียนเฟิง ทั้งสองฝ่ายโปรดส่งผู้เข้าประลองคนแรกออกมา ผู้ตัดสินจากสำนักกักเก็บทักษะโปรดขึ้นไปบนเวทีด้วย”
ภายใต้การคาดเดาของผู้ชม คนแรกที่ขึ้นไปบนเวทีคือชายวัยกลางคนผู้ที่สวมเสื้อคลุมสีครีมผู้ตัดสิน บนเสื้อคลุมของเขามีด้ายสีเงินปักแซมอยู่และกลางหน้าอกก็ยังมีด้ายสีเงินปักคำว่า “จ้ง” ขนาดใหญ่เอาไว้
กลุ่มนักรบจ้งเทียนอยู่ในเรือนพักหลังหนึ่งที่อยู่ห่างจากเรือนของโจวเหว่ยชิงไม่มาก หลังจากเห็นแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมา พริบตานั้นเด็กหนุ่มร่างยักษ์คนหนึ่งก็กระโดดขึ้นไปบนเวทีทันที ชุดเครื่องแบบของกลุ่มจ้งเทียนเป็นสีขาวบริสุทธิ์และมีลายปักที่ดูคล้ายกับเสื้อคลุมของผู้พิพากษา แม้ว่าเครื่องแบบของพวกเขาจะไม่ใช่เสื้อคลุม แต่ก็เป็นชุดรัดรูปที่เหมาะสำหรับการต่อสู้ ทว่าด้ายบนแถบชุดของพวกเขากลับเป็นสีทอง แต่ก็มีคำว่า ‘จ้ง’ ปักไว้กลางหน้าอกเช่นกัน
ทันทีที่สมาชิกกลุ่มจ้งเทียนขึ้นไปบนเวที กลุ่มเทียนเฟิงก็ตะโกนออกมาว่า “พวกเราขอยอมรับความพ่ายแพ้”
ผู้ตัดสินหันไปหาพวกเขาและถามว่า “พวกเจ้าทุกคนยอมรับความพ่ายแพ้หรือไม่?”
“ขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สมาชิกกลุ่มนักรบจ้งเทียนก็ดูไม่แปลกใจ เขายังคงไม่แสดงออก ราวกับว่าได้คาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าสิ่งนี้จะต้องเกิดขึ้น หลังจากโค้งคำนับให้ผู้ตัดสินแล้ว เขาก็เดินลงมาจากเวทีและกลับไปที่เรือนพักของตนดังเดิม
ตามตารางการแข่งขัน การประลอง 4 ครั้งแรกจะเป็นการประลองของกลุ่มตัวเต็ง จากนั้นถึงตามมาด้วยกลุ่มอื่นๆ
เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มตัวเต็งในรอบอุ่นเครื่อง การบอกยอมแพ้ทันทีไม่ใช่เรื่องที่น่าอับอายแต่เป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดมาก ถึงอย่างไรการเอาชนะกลุ่มตัวเต็งก็ยากเกินไป หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แม้ว่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ แต่พวกเขาก็จะไม่ทำเช่นนั้นในรอบอุ่นเครื่องแน่นอน พวกเขาต้องหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่ยากลำบากซึ่งอาจทำให้พวกเขาต้องสูญเสียพละกำลังมากเกินไป ถึงอย่างไรการเก็บพลังไว้จัดการกลุ่มอื่นๆ เพื่อที่จะได้อันดับที่ 2 ในสายย่อมดีกว่าอยู่แล้ว นี่จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นจุดยืนของกลุ่มส่วนใหญ่เลยทีเดียว
เป็นไปตามที่คาดไว้ ในการต่อสู้ 3 ครั้งถัดมา กลุ่มตัวเต็งอีก 3 กลุ่มก็ชนะโดยไม่มีการต่อสู้ พวกเขาจึงชนะการประลองครั้งแรกไปได้อย่างง่ายดาย
ถัดไปเป็นการต่อสู้รอบที่ 2 ของแต่ละสาย ในที่สุดนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ที่แท้จริงเสียที!
โจวเหว่ยชิงนั่งอยู่ในเรือนพักคอยเฝ้าดูแต่ละกลุ่มอย่างใกล้ชิด เมื่อดูการต่อสู้ของ 2 กลุ่มแรกจากสายการประลองที่ 1 เขาก็รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ แม้ว่าทั้ง 2 กลุ่มจะมาจากอาณาจักรเล็กๆ แต่พลังของพวกเขาก็ไม่อาจมองข้ามไปได้ ทั้ง 5 คนที่ออกไปต่อสู้กันจริงๆ แต่ละฝ่ายล้วนประกอบไปด้วยสมาชิกจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 3 ชุด 2 คนและจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 4 ชุด 3 คน สำหรับคนรุ่นเยาว์ที่มีอายุไม่ถึง 30 ปี พลังเช่นนี้ถือว่าแข็งแกร่งมาก ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะการต่อสู้และรูปแบบการต่อสู้ของพวกเขาก็ค่อนข้างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว ในขณะที่พวกเขากำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายบนเวที ทุกคนก็ได้เห็นว่าพลังปราณสวรรค์กำลังเคลื่อนที่วูบวาบไปมา การต่อสู้ของพวกเขาจึงค่อนข้างน่าประทับใจมาก แม้ว่าทั้ง 2 กลุ่มนี้จะเป็นเพียง “กลุ่มระดับล่าง” จากการจัดอันดับ 1ใน 24 กลุ่มก็ตาม
สุดท้ายการประลองก็จบลงโดยที่ฝ่ายหนึ่งเอาชนะไปแบบฉิวเฉียดด้วยผลคะแนน 3-2
เมื่อมาถึงการต่อสู้ครั้งที่ 2 ของสายการประลองที่ 2 โจวเหว่ยชิงก็ไม่อาจมีสมาธิดูอะไรได้อีก นั่นเป็นเพราะรอบต่อไปจะถึงตากลุ่มของพวกเขาแล้ว
“อู่หยา ท่านออกไปประลองรอบแรก เป่าเปา ท่านออกไปรอบสอง สำหรับรอบที่ 3 ในการแข่งขันแบบคู่ อู่หยากับข้าจะออกไปเอง” ในฐานะหัวหน้ากลุ่มชั่วคราว โจวเหว่ยชิงจึงมอบหมายหน้าที่ให้ทุกคนอย่างรวดเร็ว
แม้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะไม่ได้รับมอบหมายให้ออกไปต่อสู้ แต่เธอก็ไม่ได้บ่นอะไร เธอทำเพียงแค่นั่งอยู่ข้างๆโจวเหว่ยชิงอย่างเงียบๆ สำหรับผู้ชายของเธอ เธอมีความเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างเต็มเปี่ยมและจะคอยสนับสนุนเขาอย่างไม่ลดละ
รอบที่ 2 จบลงค่อนข้างเร็วเนื่องจากมีกลุ่มหนึ่งมาจากอาณาจักรที่ค่อนข้างใหญ่ พวกเขามีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับอาณาจักรเฟยหลี่ กลุ่มนักรบเจอร์รีคอนนอธนั่นเอง พวกเขาแสดงพลังที่แท้จริงและความเหนือชั้นออกมา ไม่นานก็เอาชนะไปได้อย่างง่ายดายด้วยการส่งสมาชิกลงมาเพียงแค่ 4 คน จ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 4 ชุด 2 คน และจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 5 ชุด 2 คน
เมื่อใดที่การต่อสู้สิ้นสุดลง ผู้ตัดสินบนเวทีก็จะถูกเปลี่ยนออกไปด้วย ขณะนี้ผู้ตัดสินคนใหม่จึงก้าวขึ้นไปบนเวทีและตะโกนออกมาว่า “การต่อสู้ครั้งที่ 2 ของสายที่ 3 กลุ่มนักรบเฟยหลี่กับกลุ่มนักรบเหมี่ยว ทั้ง 2 ฝ่ายโปรดส่งผู้เข้าประลองคนแรกขึ้นมาบนเวที”
อู่หยาเฝ้ารอที่จะได้ต่อสู้มานานแล้ว เธอจึงก้าวขึ้นไปบนเวทีอย่างรวดเร็ว เมื่อเธอไปถึงที่นั่น อู่หยาก็ไม่คิดแม้แต่จะใช้บันได เพียงแค่กระทืบเท้าขวาลงบนพื้นอย่างแรงแล้วทะยานขึ้นไปลงจอดบนเวทีอย่างกะทันหัน
โจวเหว่ยชิงรีบใช้มืออุดหูอย่างรวดเร็ว จู่ๆ เสียงระเบิดรุนแรงก็ดังขึ้นมา ส่งผลให้ทุกคนตกตะลึงเป็นอย่างมาก