Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 75.2 ชุดศาสตรามณียุทธ์สวรรค์ไพศาลไร้สิ้นสุด (2)
- Home
- Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา
- บทที่ 75.2 ชุดศาสตรามณียุทธ์สวรรค์ไพศาลไร้สิ้นสุด (2)
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่ายหัวด้วยความสับสนก่อนจะพูดว่า “พวกท่านทั้งคู่ได้โปรดยืนขึ้นก่อน ข้าไม่รู้จักพวกท่านเสียหน่อย!”
อู๋เหวินเจี๋ยผู้ดูแลศาลาชั้นนี้มองเห็นความสับสนในดวงตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงทำสีหน้าเข้าอกเข้าใจก่อนจะพูดว่า “ใช่ขอรับ แน่นอนอยู่แล้ว คุณหนูคงจดจำพวกเราไม่ได้ ถึงอย่างไรวันนี้คุณหนูก็มาที่นี่เพื่อตรวจสอบศาลาแห่งนี้อยู่แล้ว ดังนั้นหากต้องการสิ่งใด ท่านก็สามารถสั่งการพวกเราได้ทันที ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์คนนี้จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำตามคำสั่งให้สำเร็จลุล่วง”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขยับเข้าไปใกล้โจวเหว่ยชิงอีกนิดและพูดว่า “แต่…ข้าจำเจ้าสองคนไม่ได้จริงๆ!”
อู๋เหวินเจี๋ยกล่าวด้วยความนอบน้อม “ ใช่…ใช่แล้วขอรับ…แน่นอนว่าคุณหนูจำเราไม่ได้ เอ่อ บางทีพวกเราอาจทำสิ่งใดผิดพลาดไป ท่านมาถึงศาลาศาสตรามณียุทธ์ของเราแล้ว ทว่าข้ารับใช้ผู้นี้กลับดวงตามืดบอดและทำกิริยาหยาบคายใส่ท่าน ได้โปรดนำแผ่นป้ายนี้ติดตัวไปด้วยเถิด ด้วยวิธีนี้ ท่านจะสามารถเข้าสู่ชั้นใดก็ได้ หากท่านหรือสหายของท่านมีสิ่งใดที่ต้องการ ท่านสามารถนำออกไปได้เลยขอรับ”
ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาก็ประคองแผ่นโลหะสีทองไว้ในมือทั้งสองข้าง ยื่นให้ต่อหน้าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยความเคารพ
แผ่นป้ายทองคำนี้มีมณี 10 ดวงที่มีขนาด รูปร่าง และสีต่างกันฝังเรียงรายกันอยู่จนกลายเป็นคำว่า “ศาสตรามณียุทธ์” และดูเหมือนว่าพวกมันจะแผ่พลังปราณสวรรค์ออกมาด้วย
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังจะปฏิเสธ แต่โจวเหว่ยฉิงกลับรีบฉวยแผ่นป้ายขึ้นมาแทนอีกฝ่ายทันที จากนั้นก็ส่งสายตาให้อย่างมีนัยยะบางอย่าง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทำได้เพียงแค่พูดว่า “ขอบคุณท่านทั้งสองแล้ว”
อู๋เหวินเจี๋ยกล่าวด้วยความนอบน้อมและกังวลใจ “ไม่ ไม่จำเป็นขอรับ เป็นเกียรติของข้าน้อยที่ได้รับใช้ท่าน เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว คงต้องขอตัวลาไปก่อน ท่านสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ของเราได้หากมีความประสงค์อื่นๆเพิ่มอีก ข้าน้อยขอคารวะ” หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็โค้งคำนับให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างนอบน้อม ก่อนจะจากไปพร้อมกับชายวัยกลางคนผู้นั้น
เมื่อมองไปที่แผ่นป้ายล้ำค่าในมือของโจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็กล่าวขึ้นด้วยความสับสนว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมพวกเขาถึงเรียกข้าว่าคุณหนู?”
โจวเหว่ยชิงหัวเราะอย่างมีความสุขและพูดว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เปลี่ยนจากหยิ่งยโสเป็นเคารพนอบน้อมเช่นนี้ พวกเขาเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วดีจริงๆ อืม ข้าเดาว่าพวกเขาอาจจำคนผิด…บางทีบุคคลสำคัญในศาลาศาสตรามณียุทธ์อาจหน้าตาคล้ายเจ้าก็เป็นได้”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นเราจะใช้แผ่นป้ายนี้จริงๆ หรือ? นั่นจะไม่ทำให้เราเดือดร้อนหรือ?”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “แน่นอนว่าพวกเราควรใช้มัน ถึงอย่างไรก็เป็นพวกเขาที่มอบให้เราเอง ไม่ใช่ของที่ขโมยหรือปล้นชิงมาสักหน่อย แม้ว่าเราจะถูกตรวจพบ แต่มันก็เป็นความผิดพลาดของพวกเขา ไม่ใช่ของเราสักหน่อย”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หัวเราะคิกคักและพูดว่า “พวกเขายังบอกว่าให้เราทำทุกอย่างที่ต้องการได้อย่างเต็มที่”
โจวเหว่ยชิง “สำหรับการฉกฉวยสิ่งต่างๆ ออกไปนั้นอาจจะมากเกินไปเสียหน่อย หากพวกเขาค้นพบความจริงเข้า นั่นจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาแน่ๆ พวกเราควรแค่ใช้เจ้านี่เปิดหูเปิดตาและขยายขอบเขตความรู้ของเราให้กว้างขวางขึ้น แต่เราไม่ควรนำอะไรออกไป ถึงอย่างไรของเหล่านี้ไม่น่าจะนำออกไปได้ง่ายๆ อยู่แล้ว” แม้ว่าเขาจะไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดี แต่การใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะทำ ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่คืออาณาจักรจ้งเทียน…ดังนั้นพวกเราควรปลอดภัยไว้ก่อนจะดีกว่า
บันไดจากชั้นแรกขึ้นไปยังชั้นที่สองอยู่ในห้องโถงใหญ่ซึ่งมีทหารชุดคลุมสีขาวสองนายคอยคุ้มกันอยู่ บางทีพวกเขาอาจเคยเห็นอู๋เหวินเจี๋ยโค้งคำนับอย่างสุภาพให้กับทั้งสองคนมาก่อน พวกเขาจึงไม่ได้ขัดขวางหรือขอให้คนทั้งคู่นำสิ่งของระบุตัวตนออกมาแสดง
เมื่อทั้งสองคนขึ้นบันไดไปแล้ว อู๋เหวินเจี๋ยและชายเสื้อคลุมสีขาวก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งจากมุมห้อง
ชายชุดขาวพูดว่า “นายท่าน นั่นคือคุณหนูจริงๆ หรือ? ข้ารู้ว่าข้าเคยเห็นคุณหนูมาก่อน ด้วยรูปลักษณ์ของนาง ข้าจึงไม่อาจเข้าใจผิดได้ แต่…”
บรรยากาศสง่างามของอู๋เหวินเจี๋ยกลับมาในขณะที่เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก นั่นคือคุณหนูแน่นอน”
ชายชุดขาวยังคงถามต่อไปอย่างสงสัย “ แต่…ทำไมคุณหนูถึงไม่ยอมรับล่ะ? นางน่าจะจำท่านได้แน่นอนอยู่ แล้ว!”
อู๋เหวินเจี๋ยเหลือบมองเขาและพูดว่า “เจ้าคงไม่รู้เรื่องนี้ แต่นั่นอาจเป็นคุณหนูรอง นางมีนิสัยร่าเริง มีชีวิตชีวา และซุกซนมากเกินไปเสียหน่อย ไม่นับพวกเราที่อยู่ที่นี่ แม้แต่พวกที่อยู่บนเกาะมณีสวรรค์ กระทั่งท่านจ้าววังก็ยังต้องปวดหัวกับนาง ทุกคนรู้จักนางดีในชื่อปีศาจน้อย ข้าได้ยินมาว่าการละเล่นโปรดของนางคือการแสดงบทบาทเป็นคนอื่น ใครจะรู้ว่าคราวนี้นางจะแสดงเป็นอะไร สิ่งเดียวที่ข้าไม่รู้ก็คือเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ คุณหนูรอง…การที่นางจับมือเขาเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ข้ารู้มาก่อน”
ชายชุดขาวกล่าวด้วยความเคารพ “เราควรรายงานเรื่องนี้ต่อสมาชิกระดับสูงหรือไม่?”
อู๋เหวินเจี๋ยจ้องมองเขาและพูดว่า “รายงานอะไรงั้นรึ? แม้แต่ข้าเองก็จะมีปัญหาเอาได้หากทำให้คุณหนูรองโกรธเข้า แม้ว่าคุณหนูใหญ่จะค่อนข้างเย็นชา แต่อย่างน้อยนางก็ยังรับฟังเหตุผล แต่ถ้าทำให้คุณหนูรองโกรธ นางจะไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเหตุผลของเราคืออะไร สำหรับเจ้า ให้ถือว่าเรื่องวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้นจะดีที่สุด เข้าใจไหม?”
ชายชุดขาวชะงัก จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาว่างเปล่าก่อนที่จะฟื้นสติขึ้นมา เขาพยักหน้าอย่างรวดเร็วขณะที่พูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
ในขณะนั้นเอง มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินปราดเข้ามาจากประตูทางเข้า เธอสวมชุดสีขาว บริเวณแขนเสื้อและคอเสื้อกุ๊นขอบด้วยด้ายสีม่วงทอง ผมของเธอเป็นสีดำสนิท พวกมันถูกรวบเก็บอย่างเรียบร้อยด้วยเกล้ารัดผมสีทอง สีหน้าของเธอเย็นชาเล็กน้อยขณะสาวเท้าเดินเข้ามา
เมื่อเห็นหญิงสาวผู้นี้ ทั้งอู๋เหวินเจี๋ยและชายชุดคลุมสีขาวต่างก็ชะงัก จากนั้นอู๋เหวินเจี๋ยก็โบกมือพลางพูดว่า “เห็นไหม? นั่นคือคุณหนูใหญ่ของเรา มีเพียงนางเท่านั้นที่มีท่าทางสง่างามและกลิ่นอายปานเทพธิดาเช่นนี้ เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะไปทักทายนาง” ชายชุดขาวเหลือบมองหญิงสาวอีกครั้งก่อนจะรีบวิ่งหลบออกไป
อู๋เหวินเจี๋ยจัดเสื้อผ้าของเขาอีกครั้งก่อนจะเดินไปข้างหน้า
สายตาของหญิงสาวจึงหยุดอยู่ที่อู๋เหวินเจี๋ยผู้ซึ่งกำลังเดินมาหาเธอไปโดยปริยาย เมื่อเห็นเขา เธอจึงหยุดเดินกะทันหัน
หลังจากเดินไปประมาณ 5 หลา อู๋เหวินเจี๋ยก็หยุดและก้มศีรษะลงทักทาย “ข้ารับใช้ผู้ดูแลชั้น 1 ทำความเคารพคุณหนูใหญ่”
หญิงสาวพูดอย่างเฉยชา “ไม่จำเป็นต้องสุภาพหรอกท่านอู๋ ข้ามาที่นี่เพื่อมุ่งหน้าไปยังชั้นที่ 5 ดูว่ามีวัตถุดิบที่ต้องการหรือไม่ เชิญทำธุระของท่านต่อเถิด” น้ำเสียงของเธอไร้อารมณ์ แม้ว่าจะไม่สามารถพูดได้ว่าห่างเหิน แต่ก็แผ่รังสีกดดันและจุดประกายความเคารพเลื่อมใสขึ้นมาได้ทันที อู๋เหวินเจี๋ยพยักหน้าและโค้งคำนับให้อย่างนอบน้อมอีกครั้ง ขณะที่หญิงสาวกำลังจะเดินขึ้นบันไดไป เขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้อย่างรวดเร็วและพูดว่า “โอ้ใช่ คุณหนูใหญ่ คุณหนูรองก็อยู่ที่นี่เช่นกัน”
“เอ๊ะ?” เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ท่าทีอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ “น้องรองอยู่ที่นี่หรอ? งั้นตอนนี้นางอยู่ที่ไหน?”
อู๋เหวินเจี๋ยกล่าวว่า “คุณหนูรองเพิ่งเดินขึ้นบันไดไปกับสหายของนางขอรับ”
“เข้าใจแล้ว” หญิงสาวพูดรับคำเรียบๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปราวกับควันไฟที่กำลังล่องลอย
…
โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ย่อมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้านล่าง เมื่อพวกเขามาถึงชั้นที่ 2 และชั้นถัดๆ ไป แม้ว่าจะมีผู้คุมเฝ้าทางอยู่ แต่ด้วยแผ่นป้ายจากอู๋เหวินเจี๋ย พวกเขาจึงสามารถเดินผ่านเหล่าผู้คุมขึ้นไปชั้นบนได้อย่างง่ายดาย
ทันทีที่พวกเขาผ่านชั้น 3 ขึ้นไปยังชั้นที่ 4 ฉากข้างหน้าก็เปลี่ยนไปกะทันหัน บันไดของ 3 ชั้นแรกถูกสร้างขึ้นจากไม้ดาราธรรมดา แต่ในชั้นที่ 4 กลับถูกสร้างขึ้นจากไม้อรุณม่วง ที่ประตูทางเข้าของชั้น 4 มีฉากกั้นขนาดใหญ่ตั้งปกปิดไม่ให้เห็นบรรยากาศภายใน ฉากนั้นทำจากหยกเขียวทั้งก้อน โดยมีภาพแกะสลักภูเขา แม่น้ำ และสัตว์ต่างๆ อยู่บนนั้น ให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างอ่อนโยนพลิ้วไหว
“อ้วนน้อย ข้าขอไปห้องน้ำสักครู่ รอข้าที่นี่ก่อนนะ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดขึ้นมาเบาๆ อย่างเขินอาย
โจวเหว่ยชิงปล่อยมือเธอและยิ้มกว้าง “เจ้านำแผ่นป้ายไปละกัน ข้าจะยืนชื่นชมฉากกั้นหยกนี้รอเจ้า” การลวด ลายบนฉากกั้นหยกนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาด ร่องรอยในแต่ละลายเส้นนั้นดูเป็นธรรมชาติราวกับว่ามันเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่กำเนิดและไม่ได้แกะสลักขึ้นโดยมนุษย์ คล้ายงานแกะสลักทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่มีตำหนิหรือเครื่องหมายใดๆที่บ่งบอกว่ามันถูกสร้างด้วยฝีมือมนุษย์ด้วยซ้ำ โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ว่าของสิ่งนี้อาจเกี่ยวข้องกับศาสตรามณียุทธ์ ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีความคล้ายคลึงกับแบบร่างในตำนานของเขาอย่างน่าแปลกประหลาด
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เลี้ยวไปทางซ้ายขณะที่โจวเหว่ยชิงยังคงยืนอยู่ที่เดิมเพื่อชื่นชมลวดลายบนฉาก ยิ่งเขามองสำรวจมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างถูกจุดประกายในใจ ราวกับความรู้เกี่ยวในด้านศาสตรามณียุทธ์ของตนกำลังถูกยกระดับขึ้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถอธิบายได้ แต่เขารู้อยู่แก่ใจว่าลวดลายเหล่านี้กำลังช่วยให้เขาเข้าใจวิธีการสร้างศาสตรามณียุทธ์และแบบร่างมากยิ่งขึ้น
ทันใดนั้นเอง โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกถึงไอความเย็นแปลกประหลาดที่ไหลมากระทบร่างกาย ราวกับว่ามีก้อนน้ำแข็งกำลังเข้าใกล้เขา นั่นจึงบังคับให้เขาหันกลับไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจและอดรู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ได้
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังเดินขึ้นบันไดมา แต่เธอไม่ได้สวมเครื่องแบบกลุ่มนักรบเฟยหลี่อีกต่อไป เห็นได้ชัดว่าเปลี่ยนเป็นชุดคลุมสีขาวที่ดูงดงามบริสุทธิ์
ด้วยการขับเน้นจากเสื้อคลุมสีขาว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงดูคล้ายกล้วยไม้สีขาวงดงามที่ล่องลอยขึ้นมาจากบันได
โจวเหว่ยชิงคิดอะไรไม่ออก ในใจของเขากำลังลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆอีก จู่ๆเขาก็ใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาไปปรากฏตัวต่อหน้าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ จากนั้นก็โอบเธอไว้ในอ้อมกอด พลางกดจูบลงไปยังริมฝีปากสีแดงระเรื่อของเธอทันที
ขณะที่กำลังเดินขึ้นบันไดมาอย่างช้าๆ “ซ่างกวนปิงเอ๋อร์” ก็ต้องประหลาดใจกับการ “ซุ่มโจมตี” ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันในครั้งนี้ ร่างกายของเธอแข็งทื่อขณะจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความตื่นตกใจ ดวงตาของเธอเบิกกว้างขณะมองไปที่โจวเหว่ยชิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรักร้อนแรง เธอก็รู้สึกราวกับว่าร่างกายของเธอกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง ร่างกายแข็งทื่อไปในทันที ในขณะนั้นจิตใจของเธอพลันว่างเปล่า ตั้งแต่ยังเด็กไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเคยทำเช่นนี้กับเธอมาก่อน ไม่มีคนอื่นนอกจากญาติสนิทที่สามารถเข้าใกล้เธอในระยะ 3 หลาได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการกอดและจูบเธออย่างใกล้ชิดเช่นนี้!