Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 79.1 เจ้ากำลังอยากตายสินะ (1)
โจวเหว่ยชิงตะครุบแม่มดน้อยด้วยท่าทางหื่นกระหาย แต่เธอกลับไหวหลบอย่างรวดเร็วและกลายเป็นหมอกควันลอยไปในอากาศ
คราวนี้แม่มดน้อยไม่สามารถสวมหน้ากากเล่นละครได้อีกต่อไปเพราะดวงตาของเธอลุกโชนด้วยความโกรธเกรี้ยว “โจวเหว่ยชิง เจ้ากำลังอยากตายสินะ? ”
โจวเหว่ยชิงไม่ได้ไล่ตามเธออีก แต่กลับนอนแผ่อยู่บนเก้าอี้นวมในท่าเดิม ดวงตาของเขาเย็นชาและไม่ ‘หื่นกระหาย’ อีกต่อไปขณะที่พูดขึ้นอย่างเฉยเมยว่า “ในอดีต ทั้งหมิงฮัวและหมิงอู๋ก็พยายามจะฆ่าข้า ข้าจึงไม่เคยคิดว่านิกายปีศาจสวรรค์ของเจ้าจะมีความรู้สึกดีๆ ให้ข้า หรือมีความคิดอยากจะปรองดองกับข้าเลยสักนิด ถ้าข้าคิดไม่ผิด อาณาจักรคาลิเซสามารถส่งตัวแทนมางานประลองได้ก็เพราะการสนับสนุนของอาณาจักรป่ายต้า…หรือข้าควรพูดให้ถูกกว่านั้น นิกายปีศาจสวรรค์ของเจ้ากำลังสนับสนุนอาณาจักรป่ายต้า ซึ่งสนับสนุนอาณาจักรคาลิเซอีกที? เจ้าน่าจะรู้ที่มาของข้าอยู่แล้ว…ดังนั้นเมื่อข้าเห็นเจ้ากับอาณาจักรคาลิเซ รวมกับความจริงที่ว่าเจ้าบุกโจมตีสหายของข้า…แค่นี้พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันอีกต่อไปแล้ว”
แม่มดน้อยยืนอยู่ที่เดิม รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอเลือนหายไปขณะสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เมื่อมองไปยังร่างของโจวเหว่ยชิง เธอส่ายหัวช้าๆ และพูดว่า “ไม่ การคาดเดาของเจ้าไม่ถูกต้องเสียทั้งหมด เจ้าพูดถูกแล้วที่พวกเราสนับสนุนอาณาจักรคาลิเซ แต่นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับอาณาจักรป่ายต้า แม้ว่าเราต้องการสนับสนุนอาณาจักรป่ายต้า พวกเขาก็ไม่กล้ายอมรับการสนับสนุนจากเราหรอก สำหรับการสนับสนุนอาณาจักรคาลิเซนั้นเป็นเพียงสะพานสู่งานประลองมณีสวรรค์ครั้งนี้เท่านั้น พวกเราจำเป็นต้องเข้าไปในเกาะมณีสวรรค์ แต่ในบรรดา 5 มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นิกายปีศาจสวรรค์ของเราถูกตามตอแยและกำจัดอย่างหนัก อีกทั้งพลังของเราก็ยังต่ำที่สุดในบรรดามหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 5 หากไม่มีม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เพียงพอ เราอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่ทำให้จ้าวมณีทักษะธาตุปีศาจในอนาคตถูกกำจัดทิ้งทั้งหมด”
“หากเจ้ายินดีที่จะร่วมมือกับเรา ข้าสามารถให้สัญญากับเจ้าได้ว่าหลังงานประลองมณีสวรรค์สิ้นสุดลง พวกเราจะไม่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรคาลิเซอีก”
เมื่อได้ยินคำพูดของแม่มดน้อย โจวเหว่ยชิงก็อดแปลกใจไม่ได้เมื่อได้ยินความจริงใจในคำพูดและเห็นมันในแววตาของเธอเช่นกัน
แม่มดน้อยเหลือบมองไปยังแมวอ้วนที่กำลังดิ้นออกจากอ้อมอกของโจวเหว่ยชิงแล้วพูดต่อว่า “เหตุผลที่ข้ามาที่นี่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานประลองมณีสวรรค์ ข้ามาที่นี่เพื่อพบเจ้าโดยเฉพาะ สำหรับเรื่องที่ข้าทำร้ายสหายของเจ้า นั่นเป็นความเข้าใจผิด ในเวลานั้นข้ารู้สึกเพียงว่ามีอสูรสวรรค์จากภูเขาหิมะสวรรค์กำลังจะวิวัฒน์และข้าก็แค่พยายามจะขัดขวางมันเท่านั้น ถ้าข้ารู้ว่านั่นเป็นเจ้าและกลุ่มของเจ้า ข้าย่อมไม่ลงมือแน่นอน”
“ข้าไม่กลัวที่จะบอกเจ้าว่านิกายปีศาจสวรรค์ของเรากำลังต้องการจ้าวมณีสวรรค์ธาตุปีศาจรุ่นแรกเพื่อปลุกสายเลือดปีศาจที่แท้จริงขึ้นมา เป็นเวลากว่าร้อยปีแล้วที่เรามีแต่สายเลือดผสม หากไม่มีจ้าวมณีทักษะธาตุปีศาจที่ทรงพลัง โดยเฉพาะจ้าวมณีทักษะธาตุปีศาจรุ่นแรก เราจะไม่สามารถปกป้องดินแดนของเราจากมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอื่นได้”
“เพื่อประโยชน์สูงสุดของนิกาย ถ้าเจ้าต้องการข้าจริงๆ นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ข้าเป็นหญิงสาวศักดิ์สิทธิ์ของนิกายปีศาจสวรรค์ และข้าก็ต้องรักษาพรหมจรรย์ไว้เนื่องจากสามีของข้าจะต้องขึ้นเป็นผู้นำนิกายปีศาจสวรรค์คนต่อไป หากเจ้ายินดีที่จะเข้าร่วมกับเรา ด้วยสายเลือดรุ่นแรกในตัวของของเจ้า เจ้าย่อมมีโอกาสขึ้นเป็นผู้นำในอนาคตของเราสูงมากทีเดียว น่าเสียดายที่ภูเขาหิมะสวรรค์ก็หมายตาเจ้าอยู่เช่นกัน และพวกเรารู้ว่านิกายของเราไม่มีพลังอำนาจมากพอที่จะแข่งขันกับพวกเขาได้ ดังนั้นเราจึงรู้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะขอให้เจ้าเข้าร่วมกับเรา ข้าหวังเพียงแค่พวกเราจะไม่กลายเป็นศัตรูกันเท่านั้น และครั้งนี้ข้าก็มาเพื่อตามหาเจ้าเป็นการส่วนตัว ใช้ประโยชน์จากคู่มือลับของนิกายเพื่อขอรับมิตรภาพจากเจ้า หวังว่าจะช่วยมอบเมล็ดพันธุ์แห่งความหวังให้แก่พวกเรา”
เมื่อมองไปที่ท่าทีจริงใจของแม่มดน้อย โจวเหว่ยชิงก็ขมวดคิ้วก่อนจะพูดว่า “นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าข้าจะให้เจ้าหยิบยืมเมล็ดพันธุ์ของข้าไป เด็กคนนั้นก็เป็นลูกของข้าอยู่ดี แน่นอนว่าข้าจะไม่ทิ้งให้ลูกของข้ากลายเป็นเด็กไม่มีพ่อ ข้าอาจจะชอบสาวงาม แต่ข้าไม่อยากเป็นเพียงแค่พ่อพันธุ์ตัวหนึ่งเท่านั้น”
แม่มดน้อยหัวเราะคิกคักและพูดว่า “พ่อพันธุ์แล้วอย่างไร? นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝันหรอกหรือ?”
จู่ๆ โจวเหว่ยชิงก็ถามขึ้นมาว่า “พวกเจ้าพูดอยู่ตลอดเวลาว่าทักษะธาตุปีศาจของจ้าวมณีทักษะธาตุปีศาจรุ่นแรกสามารถต่อกรกับมหาธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 ได้ นั่นหมายความว่าในฐานะจ้าวมณีทักษะธาตุปีศาจรุ่นแรก แม้ว่าข้าจะใช้ทักษะธาตุปีศาจ แต่มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีก 4 แห่งจะไม่ก่อปัญหาให้กับข้า?”
แม่มดน้อยครุ่นคิดสักพักก่อนที่จะพูดว่า “บอกเจ้าไปก็ไม่เสียหายอะไร แต่นั่นหมายความว่าเจ้าจะติดหนี้บุญคุณข้า ในการที่จะให้มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 ยอมรับจ้าวมณีทักษะธาตุปีศาจ ไม่จำเป็นต้องเป็นจ้าวมณีทักษะธาตุปีศาจรุ่นแรก เพียงแค่เจ้าสามารถควบคุมสถานะปีศาจกลายร่างของเจ้าได้ก็เพียงพอแล้ว ยิ่งสายเลือดบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งควบคุมสถานะปีศาจกลายร่างได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะหลังได้อ่านคู่มือศาสตร์ลับของนิกาย”
โจวเหว่ยชิงถามอย่างสงสัย “เวลานั้นมีคนในนิกายปีศาจสวรรค์กี่คนที่สามารถควบคุมสถานะปีศาจกลายร่าง ได้?”
แม่มดน้อยจ้องมองเขาอย่างโกรธเคืองก่อนจะพูดว่า “นั่นเป็นความลับในนิกายของเรา ข้าจะบอกเจ้าได้อย่างไร? นอกเสียว่าเจ้าจะอยากเข้าร่วมกับนิกายของเรา”
“โจวเหว่ยชิง ไม่ว่าจะยังไง เจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าเจ้าเป็นจ้าวมณีทักษะธาตุปีศาจได้ อีกทั้งยังมีเพียงกลุ่มของพวกเราเท่านั้นสามารถที่สามารถอยู่รอดได้ในยุคปัจจุบันได้ มิฉะนั้น เจ้าจะถูกมองว่าเป็นคนนอกรีตที่พวกเขากำลังตามล่า หากเจ้ายินดีที่จะเข้าร่วมนิกายของเรา ข้าสามารถออกคำสั่งให้เจ้าไม่ต้องผ่านการประทับตราใดๆ และหากเจ้าสามารถฝึกฝนศาสตร์ลับของเราและควบคุมสถานะปีศาจกลายร่างของตัวเองได้สำเร็จ ข้า…ข้าจะแต่งงานกับเจ้า และเจ้าจะกลายเป็นผู้นำนิกายคนต่อไป”
เมื่อพูดถึงจุดนั้น ใบหน้าที่งดงามของเธอก็ขึ้นสีแดงก่ำ “เจ้าควรรู้ว่าแม้นิกายปีศาจสวรรค์ของเราจะอ่อนแอที่สุดในบรรดา 5 มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่พวกเราก็ยังคงเป็นมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลัง มีมรดกและสมบัติต่างๆ ตกทอดกันมาหลายพันปี ในฐานะผู้นำนิกาย เจ้าจะเป็นหนึ่งในผู้นำที่มีอำนาจสูงสุดของโลก”
เมื่อเห็นใบหน้าของเธอ โจวเหว่ยชิงก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คำชักชวนของเจ้าน่าดึงดูดใจมาก และข้าก็อยากจะมีอำนาจของมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์คอยหนุนหลังเช่นกัน น่าเสียดาย ถ้าเป็นมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ข้าคงจะยอมไปแล้ว แต่ตอนนี้ข้าไม่อาจตอบตกลงเข้าร่วมนิกายปีศาจสวรรค์ได้ นั่นเป็นเพราะไม่ว่าอย่างไรเจ้าทุกคนก็ไม่สามารถเดินออกไปแสดงตัวภายใต้แสงตะวันได้น่ะสิ”
“เจ้า…” แม่มดน้อยพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าต้องการสิ่งใดถึงจะยอมตอบตกลง?!”
โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างหมดหนทาง “ข้าช่วยอะไรพวกเจ้าไม่ได้จริงๆ ข้ามีคู่หมั้นอยู่แล้ว และข้าก็จะไม่ทำให้นางผิดหวังในตัวข้า”
แม่มดน้อยพูดอย่างเย้ยหยัน “อย่าพูดเช่นนั้นกับข้าหน่อยเลย…หมิงฮัวบอกข้าแล้วว่าเจ้าเป็นคนหื่นกระหายขนาดไหน เจ้าจะแสร้งทำตัวเป็นสุภาพบุรุษให้ได้อะไรขึ้นมา?”
โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “เจ้าพูดถูก ข้าเป็นพวกบ้ากาม แต่แน่นอนว่าข้าไม่อยากเป็นแค่ม้าพันธุ์ให้พวกเจ้านำไปใช้งาน ข้ารู้สึกได้ถึงความจริงใจของเจ้า และข้าก็เชื่อว่าไม่ว่าข้าจะมอบให้เงื่อนไขอะไรให้ เจ้าก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายที่ข้าขอ ทว่าข้าไม่อาจตอบตกลงได้จริงๆ ตอนนี้ข้าสามารถรับประกันได้เพียงอย่างเดียวคือตราบใดที่พวกเจ้าไม่ให้ความช่วยเหลืออาณาจักรคาลิเซ พวกเราก็จะไม่เป็นศัตรูกัน ส่วนการเป็นสหายกันนั้น ข้าคงจะต้องรอดูว่าในอนาคตสิ่งต่างๆ จะพัฒนาไปอย่างไร”
แม่มดน้อยพูดอย่างเคืองขุ่นพร้อมกับริมฝีปากที่บิดเบี้ยว “ในฐานะจ้าวมณีทักษะธาตุปีศาจ เจ้าไม่สนใจศาสตร์ลับของเราแม้แต่นิดเดียวเลยหรือ? ท้ายที่สุดแล้วนี่ก็เป็นทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่เทียบได้กับทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์อีก 3 ชนิดเลยนะ! หากใช้ให้ถูกต้อง ทักษะธาตุปีศาจของเราย่อมมีประสิทธิภาพในการโจมตีสูงกว่าอีก 3 ชนิดด้วยซ้ำ”
โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “แน่นอนว่าข้าสนใจ ข้าไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่สนใจของเช่นนี้ แต่ข้าก็รู้ว่าทุกอย่างต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนและไม่มีสิ่งใดได้มาฟรีๆ หลังจากพิจารณาทุกอย่างแล้ว ข้าจึงตัดสินใจว่าไม่ควรศึกษาศาสตร์ลับนั่นตอนนี้จะดีกว่า ถ้าเจ้าไม่มีอะไรจะพูดอีก ได้โปรดออกไปเสียเถิด ข้ายังต้องเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ครั้งถัดไป อ้อ ใช่ ข้าต้องเตือนเจ้า เพราะเจ้าส่งคนไปเป็นตัวแทนของอาณาจักรคาลิเซ หากเราพบกันในงานประลองมณีสวรรค์ ข้าต้องขอบอกว่าอาจจะไม่ได้ยั้งมือให้เจ้า”
แม่มดน้อยแค่นเสียงและพูดว่า “ยั้งมือ? อย่าประเมินตัวเองสูงเกินไปหน่อยเลย อย่างไรเสียเจ้าก็มีมณีเพียง 3 ชุดเท่านั้น หึ วันหนึ่งเจ้าจะต้องเดินมาหาข้าเองอย่างแน่นอน”
โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ข้าแทบจะรอให้วันนั้นมาถึงไม่ไหวจริงๆ”
แม่มดน้อยส่งเสียงฮึ่มในลำคออีกครั้งก่อนจะจากไป
หลังจากแม่มดน้อยจากไป โจวเหว่ยชิงก็นั่งครุ่นคิดอยู่ที่เดิม แม้ว่าการปรากฏตัวของอีกฝ่ายในวันนี้ดูเหมือนเป็นการเยี่ยมเยียนที่เรียบง่ายหรืออาจเป็นเพียงการเสนอสันติภาพเพื่อขจัดความบาดหมางระหว่างกัน แต่ในความเป็นจริง สิ่งนี้ได้บอกโจวเหว่ยชิงหลายอย่าง สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เขาได้เรียนรู้ก็คือนิกายปีศาจสวรรค์กำลังตกอยู่ในสถานะที่ยากลำบากมากทีเดียว
เช่นเดียวกับที่แม่มดน้อยพูด เขาเป็นเพียงจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุดเท่านั้น สำหรับนิกายปีศาจสวรรค์ การที่พวกเขาส่งหญิงสาวศักดิ์สิทธิ์ของนิกายมาตามหาและให้คำสัญญากับเขาเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังตกที่นั่งลำบากและสิ้นหวังเพียงใด แม้ว่าเขาจะรู้ว่าความสามารถของตนเองนั้นโดดเด่นมาก แต่ก็ไม่ได้ถือว่ามากจนทำให้มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอื่นลดตัวลงมามองเขา เขานับประสาอะไรกับผลประโยชน์มากมายที่เขาจะได้รับจากปีศาจสวรรค์
สำหรับศาสตร์ลับของทักษะธาตุปีศาจที่แม่มดน้อยกล่าวถึง แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะต้องการเรียนรู้มันอย่างแท้จริง แต่สิ่งที่แม่มดน้อยไม่รู้ก็คือทักษะธาตุปีศาจของเขาไม่เหมือนกับจ้าวมณีทักษะธาตุปีศาจคนอื่นๆ เขาไม่ได้ปลุกทักษะธาตุนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง แต่ได้รับการถ่ายทอดมาจากไข่มุกรัตติกาล! โจวเหว่ยชิงไม่แน่ใจทั้งหมดว่าไข่มุกรัตติกาลได้มอบสิ่งใดให้กับเขา แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าทักษะธาตุปีศาจของเขามีทักษะกลืนกินพ่วงมาด้วยอยู่แล้ว แน่นอนว่ามันปรากฏขึ้นเองและเขาก็ไม่ได้เป็นคนกักเก็บมา ยิ่งไปกว่านั้น ในวันที่เจ้าแมวอ้วนวิวัฒน์พลังขึ้น ทักษะธาตุปีศาจของเขาก็ได้พัฒนาขึ้นเองในทางใดทางหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ความกระหายอยากที่มีต่อศาสตร์ลับธาตุปีศาจจึงไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น
หลังจากคิดอะไรเรื่อยเปื่อยสักพัก โจวเหว่ยชิงก็สงบสติอารมณ์ลงได้ เขาจ้องมองไปยังเจ้าแมวอ้วนที่นอนแผ่อยู่บนเตียงแล้วหลับตาลงอีกครั้ง ด้วยรู้ดีว่าด้วยระดับพลังในปัจจุบันของเขาย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะคิดมากเกี่ยวกับความซับซ้อนของ 5 มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้คือการพัฒนาพลังของตนเอง
โจวเหว่ยชิงเริ่มฝึกฝนอัดทักษะอีกครั้ง และแสงสีเขียวก็เริ่มวูบวาบขึ้นในห้องของเขาเป็นระยะๆ
ในระหว่างการฝึกอัดทักษะกระชากมิติก่อนหน้านี้ โจวเหว่ยชิงค้นพบว่านี่ไม่เพียงแต่ช่วยให้เขาเข้าใจความลึกลับที่ของตัวทักษะและธาตุของตนเอง แต่ยังช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกปราณของเขาได้เกือบเท่าตัว!
แม้เขาจะเพิ่งมาถึงขั้นทะลวงพิภพเมื่อไม่นานมานี้ แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าตนกำลังใกล้จะทะลวงถึงอีกระดับแล้ว ความเร็วในฝึกปราณเช่นนี้เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมาก ทั้งยังแสดงให้เห็นประโยชน์อีกประการของวิชาเทพอมตะด้วย
ปิงเอ๋อร์จากไปแล้ว และความกดดันที่ซ่างกวนเทียนเยว่มอบให้ก็ทำให้เขาต้องเพิกเฉยต่อความกลัวที่มีต่อความเจ็บปวดขณะทะลวงผ่านจุดตาย เมื่อเขาไปถึงขีดจำกัดของพลังปราณสวรรค์เมื่อไหร่ เขาก็จะทะลวงไปอีกขั้นโดยไม่ลังเลและเริ่มวิชาเทพอมตะส่วนที่ 3 ทันที