Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 90.2 พวกเรารวยแล้ว! (2)
โดยธรรมชาติแล้วสมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่ย่อมไม่รู้ว่าพวกเขาได้ทำให้จักรพรรดิแห่งอาณาจักรจ้งเทียนรู้สึกปวดใจเสียแล้ว เมื่อโจวเหว่ยชิงได้รับบัตรสีทองที่แวววาวไปด้วยอัญมณีหลากสีประดับอยู่จำนวน 32 เม็ด รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาทันที
นี่คือบัตรเก็บเหรียญทองที่มีชื่อเสียงที่สุดในแผ่นดินใหญ่ซึ่งก่อตั้งโดยธนาคารจ้งเทียนและสามารถนำไปใช้ได้เกือบทุกที่ พวกมันมีสาขาอยู่มากมายแม้แต่ในอาณาจักรศัตรูอย่างวั่นโซ่ว ทั้งยังกล่าวได้ว่าเป็นเงินตราที่ “ปลอดภัยที่สุด” ในแผ่นดินนี้ก็ว่าได้
ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือบัตรเก็บเหรียญทองระดับสูงสุดซึ่งต้องมีการทำสัญญาประทับโดยใช้เลือดเป็นสื่อกลาง นั่นจึงส่งผลให้ตัวบัตรถูกผูกเข้ากับโจวเหว่ยชิงโดยตรงและมีเพียงโจวเหว่ยชิงเท่านั้นที่สามารถใช้เลือดและพลังวิญญาณของตนเปิดใช้งานบัตรได้ นอกจากนี้ ในนั้นยังเป็นเงินทั้งหมดหนึ่งร้อยล้านเหรียญทอง!
“ข้ารวย…ข้ารวยแล้วจริงๆ!” ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเปล่งประกายด้วยความยินดีราวกับมีเหรียญทองเริงระบำอยู่ด้านใน เด็กหนุ่มยืนยิ้มราวกับคนบ้าเป็นเวลาเกือบสิบนาที เขาเกือบจะลืมความเจ็บปวดภายในร่างกายไปเลยด้วยซ้ำ และถึงขั้นต้องให้สมาชิกคนอื่นๆ ลากกลับไปที่โรงเตี๊ยมอย่างอิดออด
ไม่ใช่แค่โจวเหว่ยชิงที่สูญเสียความเยือกเย็นไป สมาชิกในกลุ่มนักรบเฟยหลี่ทุกคนต่างก็รู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน
การที่พวกเขาคว้าชัยชนะจากหนึ่งในกลุ่มตัวเต็งมาได้โดยไม่ได้อาศัยแค่กลยุทธ์เพียงอย่างเดียว ทั้งยังสามารถล้มยอดฝีมือ 2 อันดับแรกของฝ่ายตรงข้ามได้ด้วยฝีมือตนเองอย่างแท้จริงนั้น ชัยชนะที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนด้วยซ้ำ
นอกจากนั้น ชัยชนะในวันนี้ยังหมายความว่าพวกเขาจะเข้าสู่รอบ 8 กลุ่มสุดท้ายโดยขึ้นนำเป็นอันดับที่ 1 ในสายที่ 3 นั่นหมายความว่าคู่ต่อสู้คนต่อไปของพวกเขาจะต้องเป็นกลุ่มที่ได้ลำดับที่ 2 ในสายการประลองอื่นซึ่งจะไม่ใช่กลุ่มตัวเต็งอย่างแน่นอน ส่วนกลุ่มนักรบตันตุ้นก็จะต้องต่อสู้กับกลุ่มตัวเต็งกลุ่มอื่นแทนพวกเขา!
แม้ว่ากลุ่มนักรบตันตุ้นจะยังไม่ได้จับฉลากเลือกว่าจะได้ใครเป็นคู่ต่อสู้ แต่ผลลัพธ์ก็เกือบจะเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว หากไม่มียอดฝีมือ 2 อันดับแรกของพวกเขา กลุ่มนักรบตันตุ้นก็แทบจะไม่สามารถเอาชนะกลุ่มตัวเต็งอื่นๆ ได้เลย พวกเขาจะเสียตำแหน่ง 4 อันดับแรกไปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อันยาวนานของพวกเขา ส่วนกลุ่มนักรบเฟยหลี่ พวกเขาจะมีโอกาสติด 4 อันดับแรกมากยิ่งขึ้น
นี่เป็นเหตุผลหลักที่โจวเหว่ยชิงแนะนำให้พวกเขาท้าสู้กลุ่มนักรบตันตุ้นในรอบอุ่นเครื่องเบื้องต้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถึงอย่างไรพวกเขาก็จะต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มตัวเต็งอยู่แล้ว และการเผชิญหน้ากับกลุ่มนักรบตันตุ้นที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้ก่อนล่วงหน้าย่อมดีกว่าการจับฉลากได้กลุ่มนักรบจ้งเทียนหรือกลุ่มนักรบวั่นโซ่วแน่นอน
ทันทีที่พวกเขากลับไปที่โรงเตี๊ยม โจวเหว่ยชิงก็ทรุดตัวลงนอนแผ่บนเตียงทันที ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการเฉลิมฉลองกับสหายร่วมกลุ่ม แต่เป็นเพราะเขายังเหนื่อยเกินไปและยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บอย่างเต็มที่ดีนัก เขาจึงต้องการพักผ่อนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะผล็อยหลับไปเกือบจะในทันที แต่เขาก็ยังวางบัตรเก็บเหรียญทองระดับสูงของธนาคารจ้งเทียนไว้บนหน้าผากของเขา รอยยิ้มโง่ๆ ยังคงประดับอยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่มในขณะที่เขาส่งเสียงกรนออกมา
หลังจากแสดงความสามารถทั้งหมดที่มีออกไปในการต่อสู้ครั้งก่อน เขาก็มั่นใจว่าซ่างกวนหลงหยินจะต้องถ่าย ทอดเรื่องราวของเขาให้ซ่างกวนเทียนเยว่ฟังอย่างแน่นอน และนี่ก็คือเป้าหมายหลักของโจวเหว่ยชิงนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดเขาก็สามารถนอกนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่เสียที ไม่มีอะไรจะสบายไปกว่าการนอนหลับยาวๆ สักตื่นหลังจากบรรลุเป้าหมายแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลายวันที่ผ่านมานี้เขาต้องตกอยู่ภายใต้สภาวะเครียดขึ้งและกดดันอย่างหนักมายาวนาน
ในที่สุดก็ถึงเวลาพักผ่อนเสียที
ไม่มีใครเข้ามารบกวนโจวเหว่ยชิงและเขาก็นอนหลับไปกว่า 12 ชั่วโมง ตลอดทั้งคืนล่วงเลยไปจนถึงกลางวัน ก่อนที่เขาจะตื่นอย่างสดชื่นและเบิกบานใจ
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่โจวเหว่ยชิงคลานออกจากเตียง เด็กหนุ่มก็ไม่ได้รีบร้อนออกไปอาบน้ำหรือแม้แต่ตามหาเหล่าสหายของเขา ในทางตรงกันข้าม โจวเหว่ยชิงกลับรีบร้อนพุ่งไปที่ห้องอาหารและกวาดอาหารมื้อใหญ่ลงท้องราวกับพายุบุแคม
การตื่นนอนของโจวเหว่ยชิงได้ปลุกสมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่คนอื่นๆ ให้ลุกขึ้นมาเช่นกัน พวกเขาจึงเดินตามเด็กหนุ่มเข้าไปในห้องอาหารด้วย แต่ทว่าเมื่อพวกเขาเข้าไปถึงภายในห้อง สมาชิกในกลุ่มกลับไม่ได้เข้าไปนั่งร่วมกับโจวเหว่ยชิงและเลือกไปนั่งที่มุมอื่นแทน
เวลานี้มีคนจำนวนไม่มากนักในห้องอาหาร แทบจะไม่ถึง 3 ใน 10 ส่วนของความจุห้องเลยด้วยซ้ำ ทว่าผู้คนส่วนใหญ่กลับต้องอ้าปากค้างพลางจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มที่นั่งกินอาหารอยู่อย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนเอง เท้าข้างหนึ่งพาดอยู่บนเก้าอี้อีกตัวในขณะที่เขายัดอาหารลงท้องด้วยความเร็วที่บ้าคลั่ง แน่นอนว่าเด็กหนุ่มคนนั้นคือโจวเหว่ยชิง
ราวกับว่าเขาเป็นวิญญาณหิวโหยที่กลับชาติมาเกิดและนี่เป็นอาหารมื้อแรกในรอบหลายปีของเขา
สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่คนอื่นๆ มองเด็กหนุ่มราวกับว่าพวกเขาไม่รู้จักอีกฝ่าย ก่อนจะเดินไปนั่งเงียบๆ ที่มุมห้อง
จากท่าทางกระหายอยากของโจวเหว่ยชิง สมาชิกคนอื่นๆ ย่อมบอกได้ว่าเขาน่าจะหายดีแล้ว หรืออย่างน้อยก็ใกล้จะหายดี เนื่องจากเซียวเอี๋ยนและขี้เมาเป่าไม่ได้ลงแข่งในรอบอุ่นเครื่องเบื้องต้นทั้งหมด ตอนนี้อาการบาดเจ็บของพวกเขาจึงฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์แล้ว คนทั้งกลุ่มกลับเข้าสู่สภาพพร้อมรบสูงสุดหลังจากเอาชนะกลุ่มนักรบตันตุ้น แทนที่จะต้องรักษาตัวอย่างที่พวกเขาคาดไว้ พวกเขากลับพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับการต่อสู้ครั้งต่อไป
ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็โยนช้อนลงบนโต๊ะ หลังจากที่ซดซุปทะเลชามสุดท้ายเสร็จแล้ว เขาก็เรอออกมา “เอิ๊กกก นี่มันยอดเยี่ยมจริงๆ!”
เสียงของเขาค่อนข้างดัง ทำให้ลูกค้าที่อยู่ใกล้ๆ ตกใจจนพ่นซุปใส่สหายของตนเต็มปาก อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนกลับไม่กล้าที่จะโวยวายใส่เด็กหนุ่มคนนั้น
เห็นได้ชัดว่าโจวเหว่ยชิงแข็งแรงและบึกบึนมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากวิวัฒน์พลังครั้งที่ 2 ความสูงและรูปร่างของเขาก็เกือบจะเทียบเคียงหลินเทียนอ้าวได้แล้ว ด้วยเหตุนี้คนธรรมดาจึงไม่อาจก่อปัญหาให้เขาได้ง่ายๆ อีก
เมื่อได้ยินเสียงของโจวเหว่ยชิง สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่คนอื่นๆ ก็ได้แต่หลั่งเหงื่อ สี่น้อยพูดด้วยท่าทางเหยียดหยาม “…น่าขายหน้า…ช่างน่าขายหน้าจริงๆ!”
อู่หยาเหลือบมองเขาและพูดว่า “อะไรน่าขายหน้า? นั่นเรียกว่าการเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาต่างหาก! ถ้าเขาอยู่ในเผ่าอีกาทองของเรา หญิงสาวมากมายจะต้องตกหลุมรักเขาเป็นแน่!”
ขี้เมาเป่าระเบิดเสียงหัวเราะออกมาและกล่าวว่า “อนิจจา แม้จะเป็นร่างกายของเหว่ยชิงก็ยังไม่อาจทนรับน้ำหนัก 600 จินได้อยู่ดี!”
อู่หยาหน้าแดง เธอก้มหน้าลงพูดอย่างไม่พอใจ “หากยังไม่ได้ลอง ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาทนไม่ได้ ในความคิดของข้า เหว่ยชิงไม่มีปัญหาแน่นอน เฮ้อ น่าเสียดายที่ข้ามีคู่หมั้นอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นข้าก็คงจะตามจีบเขาแน่!”
เซียวเอี๋ยนผู้ที่มักจะเงียบขรึมพูดขึ้นอย่างเฉยเมย “ถ้าเจ้าพูดเช่นนั้นกับเขาเมื่อกี้นี้แล้วล่ะก็ ข้าแน่ใจว่าโจมเหว่ยชิงจะไม่สามารถเดินหนีออกไปอย่างมีความสุขได้แน่”
เมื่อถึงจุดนั้น โจวเหว่ยชิงก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าพึงพอใจและพูดว่า “การจะรักชอบใครสักคนย่อมไม่มีความผิด เช่นนั้นข้าจะขุ่นเคืองได้อย่างไร? พี่อู่หยานั้นงดงามมาก พวกท่านแค่ไม่รู้วิธีชื่นชมความงามของนางต่างหาก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของอู่หยาก็เบิกกว้างขึ้น จากนั้นเธอก็พูดว่า “เหว่ยชิง ข้าจะถอนหมั้นแล้วติดตามเจ้าแทนเป็นอย่างไร? ไม่ต้องกังวล ข้ารู้ว่าเจ้ามีปิงเอ๋อร์อยู่แล้ว นางสามารถเป็นภรรยาหลวงและให้ข้าเป็นภรรยารองได้ เช่นนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อมองไปที่หญิงสาวตรงหน้า ม่านตาดำของโจวเหว่ยชิงก็หดตัวลงทันที เด็กหนุ่มพลันคิดกับตัวเอง พี่สาว ท่านคิดว่าตัวเองตัวเล็กนักหรือไง? แน่นอนเขาย่อมไม่พูดเช่นนั้นออกไปเสียงดัง ในทางตรงกันข้าม เขากลับพูดด้วยท่าทางจริงจังและชอบธรรม “อู่หยา ถึงอย่างไรท่านก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว ท่านจะมีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร? นั่นยังส่งผลร้ายต่อความประทับใจที่ข้ามีต่อท่านด้วย!”
อู่หยาหน้าแดง จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างหนัก ใบหน้าของเธอฉายแววทำอะไรไม่ถูก “อ่า…ข้าเสียใจที่พบเจ้าก่อนแต่งงานจริงๆ!”
หลินเทียนอ้าวลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเคืองขุ่นขณะที่เขาพูดว่า “พวกเจ้าคุยกันต่อเถอะ ข้าจะกลับไปที่ห้องก่อน เหว่ยชิง เมื่อเจ้าเสร็จธุระแล้วก็มาหาข้าพร้อมกับคนที่เหลือเพื่อหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์สำหรับการต่อสู้ครั้งต่อไป”
โจวเหว่ยชิงไม่กล้าแหย่อู่หยาเล่นอีก หากเธอตัดสินใจไล่จีบเขาจริงๆ ความซวยก็จะย้อนกลับมาที่ตัวเขาแทน!
“ทุกคน พวกเรารีบไปคุยกับหัวหน้าเพื่อหารือเกี่ยวกับการต่อสู้กันเถอะ” ในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เด็กหนุ่มก็พาดแขนไว้บนไหล่ขอหลินเทียนอ้าวก่อนจะรีบเดินออกไปพร้อมอีกฝ่าย
เย่เป่าเปาหัวเราะพลางพูดว่า “เจ้าเหว่ยชิง เจ้าอันธพาลนั่น บางครั้งข้าก็รู้สึกอยากจะต่อยหมอนั่นจริงๆ”
เซียวเอี๋ยนกล่าวอย่างเฉยชา “เห็นด้วย”
ขี้เมาเป่าพูดว่า “ +1”
สี่น้อยพูดต่อ “ +1 ด้วย!”
อู่หยาหยุดไปชั่วขณะแล้วพูดอย่างมีความสุข “ถ้าพวกท่านจะต่อยเขา ข้าขอยืนดูได้ไหม?”
…
กลับไปที่ห้องของหลินเทียนอ้าว
สมาชิกทั้ง 7 คนของกลุ่มนักรบเฟยหลี่นั่งล้อมกันเป็นวงกลม เมื่อสัมผัสได้ถึงท่าทางไม่เป็นมิตรของสหายร่วมกลุ่ม โจวเหว่ยชิงจึงนั่งอยู่เงียบๆ อย่างเหี่ยวแห้งคล้ายถุงที่ถูกเจาะลมจนฟีบ ณ มุมหนึ่ง
หลินเทียนอ้าวมองเขาแล้วกล่าวว่า “ข้าจะสรุปการต่อสู้ของเรากับกลุ่มนักรบตันตุ้นก่อนที่จะพูดคุยเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งต่อไป พวกเราชนะการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยตัวเองอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้เราจึงมีโอกาสสูงในการเข้าสู่ 4 อันดับแรกของงานประลองมณีสวรรค์ อย่างไรก็ตาม ข้าต้องบอกว่าโชคได้เข้าข้างพวกเราจริงๆ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะโชค สี่น้อยคงไม่สามารถฆ่าหานปิงคนนั้นได้อย่างแน่นอน ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการเก็บงำพลังที่แท้จริงของพวกเขาเอาไว้หรือเพราะพวกเขาประเมินเราต่ำเกินไป กลุ่มนักรบตันตุ้นก็ไม่ได้ต่อสู้กับเราอย่างเต็มกำลังหรือใช้แผนการใดๆ อาจกล่าวได้ว่าการตายของหานปิงนั้นแท้จริงแล้วช่างเปล่าประโยชน์เหลือเกิน เวลานี้…แม้ว่าผู้อาวุโสซ่างกวนหลงหยินจะได้ให้คำสัญญากับพวกเรา แต่ทว่านั่นก็ยังไม่อาจรับประกันได้อย่างเต็มร้อยว่าหุบเขาอเวจีสีเลือดจะไม่แก้แค้นอาณาจักรของพวกเราแทน”
“สำหรับการต่อสู้ระหว่างเหว่ยชิงและปีศาจน้อยเซิน…” เมื่อเขาพูดแบบนั้น ทุกคนก็หันไปมองโจวเหว่ยชิงทันที
หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ เหว่ยชิง ข้าเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดและจะไม่ตำหนิเจ้าที่ซ่อนพลังที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ หากเป็นพวกเราเองที่มีทักษะธาตุมากมาย โดยเฉพาะทักษะธาตุปีศาจ พวกเราก็คงเลือกที่จะปกปิดมันเอาไว้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ข้าไม่สามารถให้อภัยได้ก็คือเจ้าเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อสู้กับปีศาจน้อยเซิน ยิ่งไปกว่านั้นคือเจ้ายังไม่บอกพวกเราก่อนล่วงหน้า นั่นทำให้เจ้าเกือบจะตายที่นั่นแล้วด้วยซ้ำ เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าการทำเช่นนั้นจะส่งผลอย่างไรกับพวกเราในฐานะสหายร่วมกลุ่ม? ถ้าเจ้าออกไปต่อสู้และตายบนเวทีนั่น ใครจะวางแผนและกลยุทธ์ให้พวกเรา? ถ้าเจ้าออกไปต่อสู้และตายบนเวที บางทีพวกเราอาจจะโกรธแค้นและต่อสู้กับกลุ่มนักรบตันตุ้นตัวตาย เช่นนั้นพวกเราจะรอดชีวิตกลับไปได้กี่คน? ข้าจะพูดซ้ำอีกครั้ง เนื่องจากข้าเป็นคนพาพวกเจ้าทุกคนมาที่นี่ ดังนั้นเป้าหมายของข้าคือทำให้พวกเจ้าทุกคนกลับบ้านอย่างปลอดภัย หากมีครั้งที่สองอีก ข้าจะไล่เจ้าออกจากกลุ่ม เข้าใจหรือไม่?”
เมื่อมองไปใบหน้าที่จริงจังของหลินเทียนอ้าว โจวเหว่ยชิงก็พยักหน้าและไม่พูดอะไรออกมาสักประโยคเดียว
หลินเทียนอ้าวกล่าวต่อ “เอาล่ะ เรื่องนี้ให้พอแค่นี้ หลังจากนี้พิธีจับฉลากจะจัดขึ้นหนึ่งวันก่อนการแข่งขันรอบก่อนรองชนะเลิศ เหว่ยชิง เจ้ามีแผนสำหรับอนาคตหรือไม่?”
โจวเหว่ยชิงส่ายหัวพลางกล่าวว่า “หากไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้ของเราคือใคร ข้าก็คงคิดอะไรที่เป็นรูปธรรมไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่าสำหรับการต่อสู้ครั้งต่อไป พวกเราจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มตัวเต็งอีก ถึงอย่างไรก็เถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดอยู่ดี ข้ามั่นใจว่าเราจะสามารถเผชิญหน้ากับกลุ่มลำดับที่ 2 ของสายการประลองอื่นและเข้าสู่ 4 อันดับแรกได้แน่นอน สิ่งเดียวที่เราต้องระวังให้ดีคืออาณาจักรคาลิเซ ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีนิกายปีศาจสวรรค์คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง แม้ว่าพวกเขาจะไม่กล้าใช้วิชาลับของนิกายปีศาจสวรรค์และเปิดเผยตัวตนออกมา แต่พวกเขาก็ยังกลุ่มคนที่เราไม่ควรมองข้ามไป”
หลินเทียนอ้าวพยักหน้าพลางกล่าวว่า “หากมีทั้งหมด 4 กลุ่ม พวกเราก็มีโอกาส 1 ใน 4 เท่านั้น ดังนั้นพวกเราค่อยพูดคุยเกี่ยวกับกลยุทธ์โดยละเอียดในวันมะรืนหลังจากจับฉลากเสร็จก็แล้วกัน”
หลังจากพูดแบบนั้น เขาก็กวาดสายตามองไปทั่วทั้งกลุ่ม ก่อนที่จะพูดขึ้นเบาๆ “ข้ารู้ว่าทุกคนตื่นเต้นมากหลังจากเอาชนะกลุ่มนักรบตันตุ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม ข้าก็ต้องย้ำเตือนทุกๆ คนว่าอย่าได้รีบตีตนไปก่อนไข้ พวกเรายังไปไม่ถึงเป้าหมาย 4 อันดับแรกเลยด้วยซ้ำ และเวลานี้ก็ยังคงอยู่ที่ 8 อันดับแรกเท่านั้น อันที่จริงเราได้ก้าวออกไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว แต่ข้าต้องการให้พวกเจ้าทุกคนควบคุมตัวเองไว้ มีเวลามากมายสำหรับความตื่นเต้นและการเฉลิมฉลองหลังจากที่เราบรรลุเป้าหมายแล้ว หากพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งตื่นเต้นมากเกินไปจนทำให้สู้ได้แย่ลง ข้าก็จะตัดสิทธิ์ไม่ให้เจ้าเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งต่อไปโดยไม่ลังเล เข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจ!” คนที่เหลือในกลุ่มต่างประสานเสียงรับคำ
เมื่อได้ยินเสียงตอบรับของพวกเขา ใบหน้าของหลินเทียนอ้าวก็ผ่อนคลายลง จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา เมื่อหันไปหาโจวเหว่ยชิง เขาก็กล่าวว่า “ยังมีเวลาอีกสองสามวันให้เราพักผ่อน ดังนั้นทุกคนควรพักผ่อนให้เพียงพอ แน่นอน…การเอาชนะกลุ่มนักรบตันตุ้นเป็นความพยายามที่ยอดเยี่ยมของพวกเรา…ทั้งยังมีใครบางคนได้รับรางวัลเป็นเหรียญทองกว่าร้อยล้านเหรียญ! ทุกคนจงเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าต้องการทำสิ่งใดต่อไป ข้าต้องขอตัวออกไปก่อน อ้อ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น…”
เมื่อชายหนุ่มพูดเช่นนั้น เขาก็หันหลังเดินจากไปที่ประตู ทิ้งให้โจวเหว่ยชิงมองตามด้วยอาการกรามค้าง
สมาชิกคนอื่นๆ จึงหันมาจ้องมองโจวเหว่ยชิง ประกายแสงสีเขียววาบผ่านในดวงตา ทุกๆ คนต่างมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาชั่วร้าย…
………………………………………………………….