Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 96-3 เขตแดนมิติสะท้อน (3)
“ป่าฝนในเขตแดนมิติสะท้อนเป็นที่อาศัยของอสูรสวรรค์หลายประเภท ตั้งแต่ระดับต่ำสุดไปจนถึงระดับสูงสุด และแม้แต่พวกเราวังสวรรค์ไพศาลก็ไม่รู้แน่ชัดว่าจะพบพวกมันได้ที่ไหนบ้างเพราะทุกตัวจะเคลื่อนที่ไปมาตลอดเวลา ในความเป็นจริง ทุกครั้งที่เราเปิดใช้งานเขตแดนมิติ สิ่งต่างๆ ภายในนั้นก็ดูเหมือนจะผิดแปลกไปเล็กน้อยเช่นกัน”
“ในการจะเปิดใช้งานและเข้าสู่พื้นที่มิตินี้จำเป็นต้องมีจ้าวมณีสวรรค์ธาตุมิติระดับเทวะขั้นสูงสุด 10 คนหรือมากกว่านั้นผสานพลังปราณสวรรค์ของพวกเขาเข้าด้วยกันเพื่อเปิดประตู แต่แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะทำงานประสานกัน เวลาสูงสุดที่เราสามารถเปิดประตูได้คือ 1 เดือนเท่านั้น ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเจ้าจะจัดขึ้นในเขตแดนมิติสะท้อนนี้ ดังนั้นเมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น เจ้าทุกคนจะถูกส่งไปภายในนั้นแบบสุ่มพื้นที่ กล่าวคือพวกเจ้าแต่ละคนจะปรากฏตัวในในเขตแดนมิตินี้แบบสุ่มและพวกเราก็จะไม่มีทางควบคุมสิ่งนั้นได้ พวกเจ้าจะต้องใช้เวลาทั้งเดือนอาศัยอยู่ภายในเขตแดนมิติและสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา พลัง และทักษะทั้งหมดของทุกคนรวมกันแล้ว สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำคือเอาชีวิตรอดในขณะที่ตามหาเพื่อนร่วมกลุ่ม เอาชนะคู่ต่อสู้ และรับมือการโจมตีจากเหล่าอสูรสวรรค์ให้ได้ ผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายที่ยังคงมีชีวิตอยู่จะเป็นผู้ชนะ หากครบเดือนแล้วมีผู้รอดชีวิตมากกว่าหนึ่งคน การจัดอันดับจะถูกกำหนดโดยจำนวนคนในกลุ่มที่เหลืออยู่ในเขตแดนมิติสะท้อน”
“โปรดทราบว่ามีอสูรสวรรค์นับไม่ถ้วนในเขตแดนมิติสะท้อน ไม่ใช่แค่ในแง่ของจำนวน แต่ยังรวมถึงประเภทด้วย ในขณะเดียวกัน ผลประโยชน์ที่ได้จากการฆ่าอสูรสวรรค์ถือเป็นส่วนหนึ่งในรางวัลของเจ้าและไม่จำเป็นต้องส่งพวกมันให้วังสวรรค์ไพศาลของเรา หากเจ้าสามารถจับและนำอสูรสวรรค์ที่มีชีวิตออกมาได้ เจ้าก็สามารถขายพวกมันให้เราหรือแลกกับเปลี่ยนสิ่งของที่มีค่าเทียบเท่ากันได้”
“หลังจากฟังข้าสรุปเสร็จแล้ว เราจะมอบมณีสะท้อนขนาดเล็กและแหวนมิติที่สามารถบรรจุอสูรสวรรค์ที่ยังมีชีวิตอยู่ให้พวกเจ้า วัตถุทั้ง 2 ชนิดนี้พวกเจ้าจะต้องส่งคืนให้เราเมื่อออกจากเขตแดนมิติสะท้อน ในขณะที่การต่อสู้ดำเนินไปตลอดทั้งเดือน หากเจ้าพบคู่ต่อสู้ที่รู้สึกว่าไม่สามารถเอาชนะได้ ให้เจ้าปลดปล่อยพลังปราณสวรรค์ของตนลงในมณีสะท้อนและมันจะพาเจ้าออกจากเขตแดนมิติสะท้อนทันที”
ในขณะที่เขาพูดถึงจุดนี้ น้ำเสียงของซ่างกวนหลงหยินก็ดูเศร้าหมองและจริงจัง “ชีวิตนั้นมีค่ามาก โดยเฉพาะพวกเจ้าทุกคน…พวกเจ้ายังเด็กนัก…ทั้งยังมีความสามารถมาก…ทุกคนล้วนเป็นหัวกะทิในบรรดากลุ่มคนรุ่นเยาว์ รวมถึงในอาณาจักรของเจ้าและอาจารย์ของเจ้าด้วย พวกเขาใช้เวลาและความพยายามอย่างหนักในการบ่มเพาะขัดเกลาพวกเจ้าทุกคนขึ้นมา ข้าอยากจะขอให้พวกเจ้าอย่าปฏิบัติกับชีวิตของตนเองเหมือนสิ่งของไร้ค่า ทันทีที่พบกับสิ่งที่ไม่อาจรับมือได้ เจ้าควรเปิดใช้งานมณีสะท้อนทันทีเพื่อช่วยชีวิตตนเอง ข้ามีผู้เชี่ยวชาญคอยรักษาบาดแผลที่พวกเจ้าได้รับจากเขตแดนมิติเฝ้าอยู่ด้านนอก ข้ารู้ว่างานประลองครั้งนี้มีความสำคัญเพียงใด รวมถึงความหมายของเกียรติยศที่พวกเจ้าจะได้รับ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตของเจ้าก็ต้องมาเป็นอันดับแรก”
หลังจากเว้นวรรคไปเล็กน้อย ซ่างกวนหลงหยินก็หันไปจ้องมองสมาชิกกลุ่มนักรบวั่นโซ่วและกล่าวว่า “ข้าต้องเตือนว่าหากเจ้านำอสูรสวรรค์มาเอง แต่ละคนสามารถนำอสูรสวรรค์เข้าไปในเขตแดนมิติสะท้อนคนละ 1 ตัวเท่านั้น นั่นเป็นเพราะภายในเขตแดนมิติสะท้อนมีพลังงานแปลกประหลาดลอยในชั้นบรรยากาศ พวกมันจะทำให้อสูรสวรรค์ที่ไม่ใช่สัตว์เจ้าถิ่นอารมณ์แปรปรวน ดุร้าย และไม่สามารถควบคุมได้ จ้าวมณีสวรรค์จะต้องใช้พลังวิญญาณของตนเองคอยช่วยเหลืออสูรสวรรค์ของตนอย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้พวกมันอยู่ในสภาพเดิม ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ โดยทั่วไปแล้วจ้าวมณีสวรรค์หนึ่งคนจะสามารถปกป้องอสูรสวรรค์ได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น หากเจ้าพยายามที่จะนำเข้าไปมากกว่านั้น มันอาจทำให้สัตว์พวกนี้สูญเสียการควบคุมได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของซ่างกวนหลงหยิน สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่ก็แลกเปลี่ยนสายตากันราวกับทำอะไรไม่ถูก
เห็นได้ชัดว่าแผนการทั้งหมดของพวกเขาสูญเปล่าและแม้แต่คำเตือนที่ซ่างกวนหลงหยินมอบให้โจวเหว่ยชิงก่อนหน้านั้นก็ไประโยชน์เช่นกัน การประลองรอบนี้เป็นการต่อสู้แบบกลุ่ม แต่ก็เป็นการต่อสู้ที่พิสดารไม่เหมือนใคร ในสภาพแวดล้อมพิเศษและกฎกติกาที่ต่างออกไป ในความเป็นจริงเมื่อทุกคนเข้าสู่เขตแดนมิติ พวกเขาทั้งหมดจะถูกแยกออกจากกัน จากนั้นในการต่อสู้และเอาชีวิตรอดก็ขึ้นอยู่กับพลังของแต่ละคนแล้ว แน่นอนว่านี่เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับกลุ่มนักรบเฟยหลี่ ท้ายที่สุดแล้วในแง่ของระดับพลังปราณและความแข็งแกร่งในการต่อสู้ พวกเขาถือว่าเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดา 4 กลุ่ม แม้ว่าจะมีแม่มดน้อยเพิ่มเข้ามาด้วยก็ตาม
ซ่างกวนหลงหยินโบกมือออกไป ทันใดนั้นพนักงานคนหนึ่งของเกาะมณีสวรรค์ก็เดินขึ้นมามอบแหวนมิติและมณีสะท้อนให้ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน
มณีสะท้อนที่พวกเขาได้รับนั้นเกือบจะเหมือนกับที่เคยเห็นในวังกักเก็บทักษะ ทว่ามันกลับมีขนาดเล็กกว่ามาก จริงๆแล้วตัวมณีถูกฝังไว้ด้านบนแหวนมิติและสามารถเข้าถึงได้ง่ายๆ เพียงแค่ส่งพลังปราณสวรรค์ผ่านวงแหวนไปยังมณีเพื่อเปิดใช้งานเท่านั้น
หลังจากที่ทุกคนได้แหวนมิติและมณีสะท้อนแล้ว ซ่างกวนหลงหยินก็พยักหน้าและพูดว่า “ภายในแหวนมิติที่เราได้มอบให้ยังมีอาหารและน้ำเพียงพอสำหรับ 30 วัน เอาล่ะ เตรียมตัวให้พร้อม เรากำลังจะเริ่มเคลื่อนย้ายแล้ว” เมื่อพูดจบ เขาก็ยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้ชายชราทั้ง 10 คนที่อยู่ข้างหลังเขาทันที
ร่างสีขาว 10 ร่างกระพริบวูบไหวและหายลับเข้าไปในธารหมอกนั้นทันที
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายชราทั้ง 10 คนเหล่านี้เป็นจ้าวมณีสวรรค์ธาตุมิติระดับเทวะขั้นสูงสุด พวกเขาถูกนำมาเพื่อเปิดประตูเขตแดนมิติสะท้อนที่ซ่างกวนหลงหยินกล่าวถึง
สำหรับอีก 3 กลุ่มที่เหลือ พวกเขาค่อนข้างเคยชินกับเหตุการณ์นี้แล้ว ถึงอย่างไรกลุ่มคนเหล่านี้ก็เคยเข้าร่วมงานประลองรอบชิงชนะเลิศมาก่อนในทุกๆ 3 ปี และพวกเขาก็มาจากมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรก็ตาม สำหรับสมาชิกของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ การได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกเขาอย่างแท้จริง
ทักษะธาตุมิติเป็น 1 หนึ่งใน 4 มหาทักษะธาตุและถือว่าค่อนข้างหายาก กว่าจะสามารถฝึกฝนจนถึงระดับเทวะขั้นสูงสุดได้ พวกเขาทุกคนย่อมถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือที่หาตัวจับได้ยาก หากออกไปยังโลกภายนอก พวกเขาอาจจะมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรแน่นอน กระนั้น วังสวรรค์ไพศาลกลับส่งพวกเขาทั้ง 10 คนออกมาใช้งานได้อย่างง่ายดาย เพียงเพื่อจะเปิดประตูมิติเคลื่อนย้ายเท่านั้น วังสวรรค์ไพศาลเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะอันดับหนึ่งของ 5 มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขามีความมั่งคั่งและรากฐานที่น่าประทับใจอย่างแท้จริง ใช้ชีวิตสมกับชื่อเสียงของพวกเขาสั่งสมมา เมื่อได้เห็นฉากเบื้องหน้าพวกเขา กลุ่มนักรบเฟยหลี่ทั้งหมดรวมถึงโจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ว่าพวกเขาต่ำเตี้ยเรี่ยดินแค่ไหน
กระบวนการนี้ใช้เวลาไม่นานนัก ในไม่ช้าหมอกหนารอบๆ วังสวรรค์ไพศาลก็เริ่มเปลี่ยนสีไป โดยที่สีขาวดั้งเดิมของมันค่อยแปรสภาพเป็นสีเงินซีดเซียว และพวกเขาทั้งหมดก็สามารถสัมผัสได้ถึงกระแสความผันผวนของพลังปราณธาตุมิติบริเวณรอบๆ พื้นที่แห่งนั้นได้อย่างรุนแรง
ชั้นบรรยากาศหนาทึบพลันแผ่กระจายไปทั่วฝูงชน ทำให้ทุกคนเริ่มตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ในวินาทีนั้นโจวเหว่ยชิงก็ตระหนักบางอย่างได้ทันที
ไม่น่าแปลกใจที่ซ่างกวนเสว่เอ๋อร์สามารถไปถึงระดับมณี 7 ชุดได้แม้มีอายุน้อยกว่า 20 ปี! พลังปรานที่ล่องลอยในท่ามกลางบรรยากาศบนเกาะมณีสวรรค์นั้นสูงกว่าแผ่นดินใหญ่มากอยู่แล้ว ทว่าที่บริเวณใกล้ๆ กับวังสวรรค์ไพศาลนั้นกลับมีจำนวนมากยิ่งกว่าหลายเท่า! จ้าวมณีสวรรค์ที่ฝึกฝนในสภาพแวดล้อมเช่นนี้จะสามารถเพิ่มพลังปราณได้ง่ายดายกว่า เห็นได้ชัดว่าอาจให้ผลเป็น 2 เท่าแม้จะใช้ความพยายามเพียงครึ่งหนึ่ง และนั่นก็ยังไม่ได้คำนึงถึงความมั่งคั่งและขุมทรัพย์อื่นๆ ทั้งหมดที่สามารถช่วยในการฝึกปราณของพวกเขาได้ วังสวรรค์ไพศาลได้ใช้ประโยชน์จากเกาะมณีสวรรค์อย่างคุ้มค่าเพื่อขยายฐานอำนาจของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ก้าวไปทีละขั้นสู่การเป็นผู้นำของโลกใบนี้
เมื่อแสงสีเงินในหมอกหนาทึบนั้นเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ พวกมันก็ดูเหมือนพุ่งตรงไปยังร่างของซ่างกวนหลงหยินและหมุนวนรอบๆ ตัวเขา
ทันใดนั้นแสงสีเงินที่ส่องทะลุออกมาจากใจกลางวังวนพลังงานที่ก่อตัวขึ้นก็…ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทอง ใจกลางวังวนพลังงานนั้นราวกับว่ามีประตูกำลังถูกเปิดออก และหากใครมองใกล้ๆ ก็จะสามารถสัมผัสได้ว่าอีกฟากของม่านแสงสีทองเหล่านั้นมีโลกอีกใบอยู่
เสียงของซ่างกวนหลงหยินดังขึ้นมาอีกครั้ง “เตรียมตัวเข้าไปได้ เจ้าจะเข้าสู่ประตูมิติตามลำดับที่ได้ในงานประลองมณีสวรรค์รอบอุ่นเครื่อง จ้งเทียน วั่นโซ่ว เป่าโป เฟยหลี่ ลำดับการเข้าคือทีละคน เริ่มได้!”
กลุ่มนักรบจ้งเทียนเป็นกลุ่มแรกที่เริ่มขยับตัว จ้านหลิงเทียน หัวหน้ากลุ่มนักรบจ้งเทียนซึ่งเคยแสดงความเกลียดชังต่อโจวเหว่ยชิงก่อนหน้านี้ยืนอยู่เบื้องหน้าประตู เพียงพริบตาเดียวเขาก็หายตัวเข้าไปในหมอกสีทองนั้น ทั้งกลุ่มค่อยๆเดินเข้าสู่แสงสว่างนั้นช้าๆ ทีละคน เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปทั้งหมดแล้ว กลุ่มนักรบวั่นโซ่วจึงติดตามเข้าไป จากนั้นก็เป็นกลุ่มนักรบเป่าโปตามลำดับ
เมื่อถึงตากลุ่มนักรบเฟยหลี่ โจวเหว่ยชิงก็ส่งแมวอ้วนที่หลับใหลในอ้อมแขนไปยังแหวนมิติที่เขาได้รับอย่างเงียบเชียบ เขาไม่ต้องการให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นขึ้นเมื่อเข้าสู่ดินแดนอื่น
ในขณะที่ทำเช่นนั้น เขาก็กล่าวกับเพื่อนร่วมทางด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เมื่อเจ้าเข้าสู่เขตแดนมิติสะท้อนแล้ว อย่าเพิ่งรีบร้อนลงมือทำสิ่งใด แค่พยายามหาทางซ่อนตัวและทำความคุ้นเคยกับพื้นที่อย่างช้าๆ หากเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงการต่อสู้และอย่าทำให้ตนเองเป็นจุดสนใจ สิ่งสำคัญอันดับแรกของเราคือการพยายามรวมกลุ่มกันให้ได้ หากพวกเราคนใดพบกับคู่ต่อสู้หรืออสูรสวรรค์ใดๆ ที่ไม่สามารถจัดการได้ก็จงรีบใช้มณีสะท้อนเสีย เดิมทีเราก็เป็นกลุ่มที่อ่อนแอที่สุดและไม่มีใครคาดหวังในตัวเราอยู่แล้ว แม้ว่าเราจะได้ลำดับที่ 4 ก็ไม่มีอะไรน่าขายหน้า”
พวกเขามีเวลาไม่มากนักและโจวเหว่ยชิงไม่อาจรอให้กลุ่มของเขาหาที่ประชุมกันอย่างเหมาะสมได้ เขาจึงรีบพูดความในใจก่อนที่พวกเขาจะจากกัน
หลินเทียนอ้าวพยักหน้าเห็นด้วย ส่งสัญญาณว่าเขาสนับสนุนคำพูดของโจวเหว่ยชิง ส่วนที่เหลือจึงตอบตกลงอย่างรวดเร็วอย่างเข้าใจ ในที่สุดงานประลองมณีสวรรค์ก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว พวกเขาทั้งหมดจึงรู้สึกตื่นเต้นและประหม่ามาก
ไม่ช้าก็ถึงตาของพวกเขาในที่สุด หลินเทียนอ้าวเป็นคนแรกที่เดินนำเข้าไป โดยมีโจวเหว่ยชิงตามหลังไปอย่างใกล้ชิด
ในขณะที่เขาก้าวเข้าไปในหมอกสีทอง โจวเหว่ยชิงพลันสัมผัสถึงความรู้สึกเบาโหวงที่ไม่อาจพรรณนาได้เข้าท่วมท้นร่างกายของเขา สภาพแวดล้อมทั้งหมดรอบกายดูเหมือนจะพร่ามัวจนกลายเป็นภาพลวงตา หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดที่รุนแรง ดึงรั้งร่างกายของเขาไปตามทิศทางของมัน โจวเหว่ยชิงไม่รู้ว่าเขาเคลื่อนที่ไปนานแค่ไหนหรือเดินทางไปไกลแค่ไหน ทว่าเด็กหนุ่มกลับรู้สึกราวกับว่าได้เคลื่อนที่ออกไปไกลแสนไกล
ดูเหมือนเขาจะถูกล้อมรอบไปด้วยหมอกสีทองและมองไม่เห็นสิ่งอื่นใดนอกจากพวกมัน ทันใดนั้นแสงสีทองก็ส่องสว่างวาบขึ้นและโจวเหว่ยชิงก็ส่งเสียงในลำคอด้วยความเจ็บปวดก่อนจะหลับตาลง ช่วงเวลาต่อมา ร่างกายของเขาก็ราวกับถูกรัดแน่นเนื่องจากแรงดึงดูดหักเหออกไปในทิศทางตรงกันข้ามชั่วขณะ จากนั้นความรู้สึกสมจริงก็กลับคืนมาหาเขาอีกครั้ง
โจวเหว่ยชิงลืมตาขึ้นมาทันทีโดยไม่รู้ตัว และเขาก็ประหลาดใจที่เห็นว่าตนเองถูกแขวนอยู่กลางอากาศ ก่อนที่เขาจะตอบสนองใดๆ เด็กหนุ่มก็เริ่มร่วงลงข้างล่างอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่เขาอยู่ไม่ไกลจากพื้นมากนักและร่างของเขาก็ตกลงปะทะกับกิ่งไม้หนาทึบหลายชั้น หลังจากกิ่งไม้หักลงเป็นระยะๆ จนทำให้แรงดิ่งของเขาอ่อนกำลังลง ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็พุ่งทะลุผ่านพุ่มไม้หนาทึบและตกลงถึงพื้นเสียที
ในวินาทีที่ใกล้จะตกกระแทกพื้น โจวเหว่ยชิงก็รีบทำให้สมองโล่งอย่างรวดเร็วและปลดปล่อยพลังปราณสวรรค์ออกมา ในขณะเดียวกัน เขาก็ใช้มือจับเข้าที่ลำต้นของต้นไม้ข้างๆ เพื่อรั้งตัวเองไว้
ในขณะที่มือของเขาสัมผัสกับลำต้นของต้นไม้ โจวเหว่ยชิงก็ค้นพบว่าไม้นั้นแข็งมาก บางทีอาจจะแข็งกว่าไม้ดาราแห่งอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เสียด้วยซ้ำ!
เมื่อทรงตัวได้ เขาจึงสามารถเหยียบลงบนพื้นได้อย่างง่ายดายก่อนจะเริ่มตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบๆ กาย
ขณะที่มองไปรอบๆ โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจ มันยากที่จะเชื่อว่าฉากเบื้องหน้าของเขาคือเขตแดนที่มนุษย์สร้างขึ้นมา
บนท้องฟ้าเป็นสีฟ้าครามกระจ่างตา มีเมฆสีขาวราวปุยนุ่นลอยประดับอยู่เหนือศีรษะของเขา และรอบๆ ตัวเขาก็เป็นป่าทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าไม่มีร่องรอยของมนุษย์อาศัยอยู่ที่นี่เลยแม้แต่น้อย
ต้นไม้ต้นข้างๆ ที่เพิ่งรองรับการร่วงหล่นของเขาสูงเกือบ 20 เมตร มันถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้ขนาดมหึมา เขาประหลาดใจที่พบว่าตนเองแทบจะจดจำพืชพันธุ์ส่วนใหญ่รอบตัวเขาไม่ได้เลย แน่นอนว่าต้นไม่ใบหญ้าพวกนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นหรือเคยได้ยินมาก่อนในชีวิต
อากาศรอบตัวดูแจ่มใสและปลอดโปร่งเบาสบาย บรรยากาศแถวนี้ดีกว่าเกาะมณีสวรรค์และอุณหภูมิก็อบอุ่นกว่าเช่นกัน แม้ว่าเขาจะถูกล้อมรอบไปด้วยพืชพันธุ์นานาชนิด แต่ความชื้นในอากาศก็ไม่สูงมากจนเกินไป ในสายตาของเขา ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการฝึกปราณ ทุกอย่างดูสมจริงมาก ไม่เหมือนกับกำลังอยู่ในพื้นที่มิติเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างไร แน่นอนว่านี่ก็ยังเป็นเขตแดนมิติสะท้อนอยู่ดี
โจวเหว่ยชิงเอนหลังพิงกับต้นไม้ใหญ่ เขาไม่ได้รีบร้อนทำสิ่งใดในทันทีแต่กลับใช้เวลาไปกับการชมทิวทัศน์และฟังเสียงต่างๆ เด็กหนุ่มคิดกับตัวเองว่าเขาค่อนข้างโชคดีเพราะอย่างน้อยเมื่อมาถึงที่นี่เขาก็ไม่ได้ถูกเหล่าอสูรสวรรค์ซุ่มโจมตี
หลังหยุดนั่งพักชั่วขณะ เขาก็ปล่อยเจ้าแมวอ้วนออกมาจากภายในแหวนมิติอย่างรวดเร็ว
………………………………………………………..