Hell mode - ตอนที่ 64
บทที่ 64 ไวเคานต์คาร์เนล
วันหยุดฤดูใบไม้ผลิของเดือนมีนาคมจบลง มิไฮพี่ชายของเซซิลนั่งเรือเหาะเวทมนตร์กลับไปยังเมืองหลวงแห่งการศึกษา
ได้สัมผัสถึงการเติบโตที่รวดเร็วของนอร์มอลโหมด ถือเป็นการเรียนรู้ที่ดี เป็นโอกาสที่ได้รู้ถึงพลังของตัวเองในเฮลโหมด ได้ขอร้องไปว่าตอนกลับมาเมืองแกรนเวลเดือนมีนาคมปีหน้าจะขอสู้อีกครั้ง อยากจะรู้ว่าตัวเองมีพลังแค่ไหน
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
“โอ้ หวัดดี”
หัวหน้าคนรับใช้ฝึกหัดริกเกลตอบการทักทายของอเลน ตอนนี้เป็นช่วงต้นเดือนเมษายน
อเลนมาคฤหาสน์นี้ได้ครึ่งปีแล้ว มีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงจากตอนที่มาอยู่ เขาวางจานอาหารไว้ตรงที่นั่งด้านหน้าริกเกล
ซุปกับขนมปัง แล้วมีอาหารเนื้ออีกหนึ่งอย่าง ซุปเองใส่เนื้อของมอนสเตอร์คนละชนิดกับอาหารประเภทเนื้ออยู่ ทำให้ค่อยสมกับที่เป็นอาหารเช้าหน่อย อาหารนี้ไม่ใช่อาหารพิเศษที่หัวหน้าพ่อครัวแถมให้กับอเลน
อเลนได้เป็นนายพรานตอนสิ้นเดือนธันวาคมปีที่แล้ว เขาไปจับมอนสเตอร์กลับมาสัปดาห์ละ 2 วันอย่างต่อเนื่อง เพราะอย่างนั้นคนรับใช้ระดับล่างเองเลยได้กินอาหารที่ดูเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น จากการล่าของอเลนทำให้อาหารของคนรับใช้เกือบ 30 ชีวิตในคฤหาสน์ถูกปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น
ถือเป็นการทำงานที่โดดเด่นมากเมื่อเทียบกับเงินเดือนนายพรานที่เพิ่มเข้ามาอีก 50 เหรียญเงิน สำหรับอเลนที่ไม่ได้ต้องการเงินอะไรมากขนาดนั้น ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีสักเท่าไร อาจจะเพราะอายุ 35 ปีแล้วก็ได้ พอเห็นโทมัสกินอย่างเอร็ดอร่อยเลยรู้สึกโล่งใจไปด้วย
“งานเลี้ยงคืนนี้ระวังตัวด้วยนะ”
ริกเกลที่กินข้าวอยู่หน้าอเลนเตือนออกมา
“วันนี้คนที่มาคือไวเคานต์คาร์เนลใช่ไหมครับ?”
“ใช่แล้วๆ ไม่รู้จะมาทำไม นายเองก็เสิร์ฟแบบพอเป็นพิธีไปนะ”
“เรื่องที่ไวเคานต์ของดินแดนข้างเคียงอุตส่าห์มาหาใช่ไหมครับ”
หลายวันก่อนไวเคานต์คาร์เนลติดต่อมาว่าจะมาเยี่ยมที่คฤหาสน์นี้ ช่างเป็นแขกที่มาหาอย่างปัจจุบันทันด่วนมาก
อเลนรับหน้าที่เสิร์ฟมาเกือบครึ่งปี และต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติมามาก คฤหาสน์นี้มีแขกมาค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้มีอิทธิพลของเมืองแกรนเวล หัวหน้าของกิลด์นักผจญภัยและกิลด์พ่อค้า หรือผู้จัดการโรงแรมหรู บางครั้งขุนนางที่อยู่เมืองหลวงก็แวะมาทักทายที่คฤหาสน์อยู่บ้างเหมือนกัน
เพราะมีเรือเหาะเวทมนตร์ ทำให้การเดินทางของโลกนี้ค่อนข้างง่ายดายสอนะ
“อือ ดูเหมือนจะนั่งเรือเหาะเวทมนตร์มาด้วยนี่สิ”
เส้นทางของเรือเหาะเวทมนตร์ไม่ได้มีแค่ระหว่างเมืองหลวงกับแคว้นแกรนเวล แต่มีเชื่อมกับดินแดนข้างเคียงอย่างแคว้นของไวเคานต์คาร์เนลด้วย
มีเส้นทางที่เชื่อมระหว่างแต่ละดินแดนอยู่ ครั้งนี้ไวเคานต์คาร์เนลจงใจจัดแจงให้ใช้เรือเหาะเวทมนตร์กลับไปยังแคว้นของตัวเอง
แล้วไวเคานต์คาร์เนลก็มาถึงช่วงหลังเที่ยง บารอนจะเชิญเขาไปที่ห้องรับประทานอาหาร แล้วทำการเสิร์ฟอาหารให้ตามปกติที่เคยทำมาตลอดครึ่งปี
ห้องรับประทานอาหารตรงชั้น 2 ใช้สำหรับครอบครัว ตอนนี้มีชาย 2 คนนั่งอยู่ บารอนแกรนเวลกับไวเคานต์คาร์เนล
“มาจนได้นะท่านคาร์เนล”
อายุของไวเคานต์คาร์เนลน่าจะอยู่ที่ 30 ปลายๆ หน้าผากค่อนข้างกว้าง ด้านหลังมีคนที่เหมือนกับพ่อบ้านยืนอยู่ แถมน่าจะเป็นพวกชอบอวดเลยสวมเสื้อผ้าที่ระยิบระยับ ยิ่งทำให้หน้าผากกว้างดูส่องประกายกว่าที่เป็นอยู่
บารอนแกรนเวลเอ่ยคำต้อนรับ ถึงคำพูดคำจะดูต้อนรับ แต่สายตาไม่ได้ยิ้มด้วยเลย
ตามปกติถ้ามีแขกมาจะให้ภรรยาบารอน โทมัสหรือเซซิลมานั่งด้วย แต่ครั้งนี้มีแค่บารอนกับไวเคานต์แค่สองคนเท่านั้น แถมยังให้นั่งตรงหัวโต๊ะเว้ยระยะห่างค่อนข้างมาก
“แหม อะไรกัน เมืองของฉันมันรกมาก บางครั้งการมาที่ที่ไม่มีอะไรอย่างนี้ก็ไม่เลวเหมือนกันไง”
“งั้นเหรอๆ ถ้างั้นก็ดีไป ฮะๆๆ”
ไม่สนใจคำพูดที่ส่อเสียดของไวเคานต์คาร์เนล
(ไม่ว่าจะผ่านมากี่สมัยความสัมพันธ์ก็ไม่ดีขึ้นสักที)
ทำการเสิร์ฟต่อไปเรื่อยโดยพยายามไม่สบตากับไวเคานต์คาร์เนล
แคว้นของบารอนแกรนเวลกับแคว้นของไวเคานต์คาร์เนลขนาบเทือกเขามังกรขาวอยู่ เพราะอย่างนั้นเลยได้ยินเรื่องสาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีอยู่
กิลด์นักผจญภัยบอกว่าเทือกเขามังกรขาวสามารถขุดหาแร่มิธริลได้ หรือก็คือสายแร่มิธริลนั่นเอง โดยแบ่งเขตกันไปจนถึงส่วนของยอดเขา
เนื่องจากเป็นสายแร่มิธริล ทำให้แคว้นไหนจะมาขุดแร่มิธริลก็ได้ แต่แคว้นของบารอนเท่านั้นที่ไม่สามารถขุดได้ นั่นก็เพราะว่ามังกรขาวอยู่ทางฝังเทือกเขาของแคว้นบารอน
ที่สามารถขุดแร่มิธริลได้ คือฝั่งดินแดนของไวเคานต์คาร์เนลที่ไม่มีมังกรขาวอยู่
ฝั่งที่ขุดมิธริลได้จะมีความมั่งคั่ง ส่วนอีกฝั่งต้องมุ่งเน้นไปที่การเกษตร
แต่ความเจริญนั้นไม่ได้ตายตัวเสมอไป
บางครั้งมังกรขาวก็มีการเคลื่อนไหว บางครั้งที่ว่าคือช่วงราวๆ 100 – 200 ปี ประมาณ 100 ปีก่อนมังกรขาวอยู่ที่ฝั่งแคว้นของไวเคานต์คาร์เนล
ช่วงเวลานั้นทางฝั่งแคว้นของบารอนสามารถขุดมิธริลได้ เนื่องจากตอนนี้มังกรขาวอยู่ทำให้ไปขุดไม่ได้ และมีเหมืองขุดแร่มิธริลที่หลับใหลอยู่เกินกว่า 100 ปีทางฝั่งแคว้นของบารอนถึง 4 แห่ง
เพราะความสมันพันธ์ระหว่างมิธริลและมังกรขาวอย่างนี้ทำให้ความสัมพันธ์ไม่ดีมาหลายชั่วอายุคน โดยเฉพาะไวเคานต์คาร์เนลคนปัจจุบันนิสัยแย่มาก ริกเกลบอกว่าคอยจ้องรังควานบารอนอยู่ตลอดเวลา
อนึ่ง เมืองแกรนเวลกับเมืองของไวเคานต์คาร์เนล เนื่องจากเทือกเขามังกรขาวไม่ได้ขยายยาวไปถึงทางเหนือ ทำให้เชื่อมเส้นทางอากาศทางทิศเหนือ ได้ยินมาว่าถ้าเดินอ้อมเทือกเขามันจะเป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกลมาก
อเลนทำการเสิร์ฟอาหารที่ทำจากเนื้อของกระต่ายมีเขาให้กับไวเคานต์คาร์เนล ถึงจะมีเนื้อของมอนสเตอร์อื่นที่ดีกว่านี้ แต่เหมือนไม่อยากจะเอามาใช้
“หือ? นี่เหรอเนื้อของหมูป่าที่ว่า?”
คำพูดนั้นทำให้บารอนแกรนเวลชักสีหน้า
“จะว่าไป ก็ใช่อยู่ นี่เป็นเนื้อที่จับได้ในแคว้นของข้า”
“โอ้ว! นี่เหรอเนื้อหมูป่าที่แอบปิดบังเอาไว้”
“หา!? พูดเรื่องอะไรกัน ไม่ได้ปิดยังอะไรสักหน่อย”
(พยายามข่มความโกรธเอาไว้อยู่สินะ ได้ยินมาว่าที่ต้องล่าเนื้อหมูป่าเพิ่มก็เพราะไวเคานต์คาร์เนล)
ตอนเข้าเฝ้าพระราชา ไวเคานต์คาร์เนลได้พูดออกไปว่ามีบางแคว้นที่เก็บงำผลประโยชน์ไม่ยอมรายงานออกมา ซึ่งพระราชาก็ถามออกมาว่าเป็นแคว้นไหนกัน?
นั่นคือแคว้นแกรนเวล ทั้งที่หาเนื้อหมูป่าจำนวนมากมาได้แต่กลับไม่ยอมรายงานให้กับราชวงศ์ สิ่งนี้ถือเป็นการปกปิดเชื้อพระวงศ์ ไวคาร์เนลจึงสงสัยว่าอาจจะเป็นการกระทำที่ที่หมายจะก่อกบฏ
จริงอยู่ที่บารอนไม่ได้รายงานเรื่องนี้ ทำให้สภาพภายในท้องพระโรงอยู่ในสภาพที่ลำบากเอามากๆ
ได้ยินเรื่องราวอื่นๆของไวเคานต์คาร์เนลมาจากริกเกลอยู่ ช่างบอกได้ทุกเรื่องจริงๆ จะว่าไป นึกขึ้นมาได้ว่าตอนงานเลี้ยงอาหารเย็นที่หมู่บ้านคุเรนะค่อนข้างเดือดดาลเอาเรื่องอยู่
“แล้ววันนี้จู่ๆมามีอะไรหรือ?”
เหมือนบารอนอยากจะรีบๆคุยรีบๆไล่กลับไป
“โอ้ นั่นสินะ เนื้อหมูป่ามันอร่อยจนลืมไปเลย! ฮะๆๆ”
“งั้นเหรอๆ แล้วทำไมหรือ? มาด้วยเรื่องอะไร?”
เหมือนต้องการเร่งให้พูดออกมา
“ลูกสาวคนเล็กของข้าไง เมื่อวันก่อนเข้าพิธีประเมินแล้วพบว่าไม่มีพรสวรรค์ไง มาเพื่อบอกเรื่องนี้แหละ”
“หา?”
(ประเมิน? จะว่าไปเดือนเมษายนมีพิธีประเมินนี่ หมู่บ้านคุเรนะจะมีช่วงกลางเดือนเมษายน แสดงว่าขุนนางจะเร็วกว่าสินะ งั้นเหรอ อีกไม่ถึง 10 วันมัชชูจะได้เข้าพิธีประเมินแล้ว อยากรู้ผลจังเลย ส่งจดหมายไปดีไหม? ไม่สิครอบครัวไม่มีใครอ่านหนังสือออกเลย)
ทุกปีพอถึงเดือนเมษายน เด็กที่อายุ 5 ขวบเมื่อปีที่แล้วจะต้องเข้าพิธีประเมิน ไม่ว่าจะเป็นทาสติดที่ดินหรือลูกของพระราชาก็ต้องเข้าร่วมทุกคน จากเรื่องที่ไวเคานต์คาร์เนลพูดทำให้นึกออกว่าปีนี้มัชชูจะต้องเข้าพิธีประเมิน
ดูเหมือนไวเคานต์คาร์เนลจะมาเพื่อบอกผลพิธีประเมินของลูกตัวเองให้กับบารอนแกรนเวล
(งั้นเหรอ ไม่มีพรสวรรค์งั้นเหรอ หือ? ทำไมน้ำเสียงฟังดูยินดีขนาดนั้นกัน)
สังเกตสถานการณ์โดยฟังแต่เสียงไม่มองหน้าของไวเคานต์
“อย่างนั้นเหรอ”
บารอนพูดออกมาแค่ว่า อย่างนั้นเหรอ ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจ เลยพูดออกไปว่าราวกับว่าแล้วมันยังไงกัน
“ก่อนที่ลูกของฉันจะเข้าพิธีประเมินถ้ามีพรสวรรค์ก็ดีไป แต่ไม่มีพรสวรรค์เนี่ยมันช่างดีจริงๆเลยนะ”
“งั้นเหรอ”
สีหน้าของบารอนค่อยๆ แข็งกระด้างขึ้น จนสายตาตอนนี้เหมือนกับเหยี่ยว
“น่าเสียดายนะท่านแกรนเวล ที่ลูกทั้ง 3 คนมีพรสวรรค์ตั้ง 2 คนเนี่ย”
คนที่มีพรสวรรค์คือมิไฮที่อยู่ระหว่างการศึกษาที่โรงเรียน กับเซซิลที่มีพรสวรรค์ของนักเวท
“ก็แค่ทำหน้าที่ของขุนนางให้สำเร็จไง!”
บารอนพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว และเริ่มแสดงความโกรธออกมาโดยไม่ปิดบัง
(หือ? อะไรกัน? ทาสติดที่ดินกับประชาชนถ้ามีพรสวรรค์จะดีใจกันมากแท้ๆ แต่พอเป็นขุนนางกลับเป็นเรื่องยุ่งยากงั้นเหรอ? หน้าที่เหรอ มีโควตาที่ต้องทำอะไรงั้นเหรอ? หรือว่าต้องใช้เงินจำนวนมากกับการไปโรงเรียน? ขุนนางนี่แตกต่างกับทาสติดที่ดินและประชาชนสินะ ช่างเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจอยู่นะเนี่ย)
ยังจำได้ดีถึงตอนที่ครอบครัวของโดโกร่าเข้ามากอดแสดงความยินดีตอนที่รู้ว่ามีพรสวรรค์ของผู้ใช้ขวาน หัวหน้าหมู่บ้านกับเปโรมูสเองก็เช่นกัน โรดันเองก็คาดหวังอยากให้อเลนมีพรสวรรค์ด้วย
อย่างไรก็ตาม ไวเคานต์คาร์เนลอุตส่าห์นั่งเรือเหาะเวทมนตร์มา เพื่อโอ้อวดว่าลูกของตัวเองไม่มีพรสวรรค์ ทำให้คิดว่าจุดยืนของขุนนางกับประชาชนมันแตกต่างกัน
ไวเคานต์คาร์เนลมาเพื่อพูดแค่นี้ก่อนจะกลับไปยังแคว้นของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ