Hunter’s Lady ดรุณีสุดที่รัก - ตอนที่ 133
เผยจั้นเฟิงจึงสั่งให้ทุกคนปลดสัมภาระและเอาข้าวของต่างๆ ลงจากหลังม้าเสียก่อน
ม้าแต่ละตัวบรรทุกของมาเป็นจำนวนมาก ทว่าของส่วนใหญ่กลับไม่ใช่ของพวกตน แต่เป็นของที่ซื้อมามอบให้เซียวจิงซันกับเหมยจื่อ และแน่นอนว่าต้องมีส่วนของชาวบ้านในหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย
ไม่นานทุกคนในหมู่บ้านก็รู้ข่าวว่าพวกโจรป่ากลับมาแล้ว จึงมีชาวบ้านทยอยกันมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย พวกเขาเองก็ใจกว้างไม่น้อย เอาข้าวของมากมายมาแบ่งปันแจกจ่ายให้กับทุกๆ บ้าน พอพวกชาวบ้านเห็นว่าเป็นของที่หาได้ยากก็ไม่กล้าที่จะรับ ทว่าสุดท้ายก็ทนต่อแรงคะยั้นคะยอของพวกเขาไม่ได้จึงต้องรับมาด้วยความยินดี
.
ใกล้เวลาเที่ยงวัน หิมะก็หยุดตกพอดี
เซียวจิงซันหาคนมาช่วยปัดกวาดหิมะตรงลานบ้านจนสะอาด จากนั้นเขาก็ยกชั้นวางของสองชั้นมาวางตรงลานหน้าบ้าน แล้ววางแท่งเหล็กพาดไว้ชั้นบน ส่วนชั้นล่างมีหม้อขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เมื่อจัดการของพวกนี้เรียบร้อยเขาก็ไปที่บ่อเก็บเสบียง เอาแกะที่เก็บไว้ออกมาตัวหนึ่งแล้วบอกว่าจะทำแกะย่างให้ทุกคนได้กินกัน
เมื่อทุกคนได้ยินก็ดีอกดีใจกันยกใหญ่ ต่างมาร่วมแรงแข็งขันช่วยกันทำ บรรดาหญิงสาวไปช่วยเหมยจื่อต้มน้ำแกงในครัว ส่วนพวกผู้ชายก็ช่วยเซียวจิงซันเตรียมย่างเนื้อแกะ เด็กๆ ในหมู่บ้านก็มามุงดูกันอย่างสนุกสนาน
เมื่อพวกชาวบ้านเห็นกองไฟขนาดใหญ่ถูกก่อขึ้นเพื่อย่างแกะทั้งตัว แล้วยังมีบรรดาชายหนุ่มนั่งห้อมล้อมรอบกองไฟนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากนักจึงทยอยกันมาดูอย่างคึกคัก เหมยจื่อเข้าไปหยิบผลไม้สดและผลไม้แห้งที่เก็บสะสมไว้ออกมาแบ่งปันให้กับพวกเด็กๆ และพวกสาวๆ ทุกคนจึงนั่งกินไปพลางพูดคุยเล่นกันไปพลาง ล้อมวงผิงไฟอยู่ที่ลานบ้านอย่างรื่นเริง
เปลวไฟสีแดงสว่างวูบวาบอยู่ภายในลานบ้านสะท้อนกับกำแพงหินสีขาวโพลนเพราะหิมะที่เกาะอยู่ส่องประกายวิบวับราวกับผลึกแก้ว เสียงพูดคุยหัวเราะของทุกคนดังลอยไปไกลแสนไกล เดิมทีวันนี้เป็นวันที่อากาศหนาวเหน็บ แต่เพียงพริบตาบรรยากาศก็พลันอบอุ่นขึ้นมา
หลังจากยกแกะขึ้นย่างได้พักใหญ่ หนังด้านนอกของแกะก็ค่อยๆ เหลืองกรอบ จนกระทั่งมีน้ำมันสีเหลืองๆ ไหลออกมา เมื่อใช้ส้อมจิ้มเข้าไป น้ำมันนั้นก็ไหลหยดลงบนกองไฟด้านล่างพลันเกิดเสียงซู่ กลิ่นหอมลอยฟุ้งไปทั่วทั้งลานเล็กๆ ทำให้ผู้คนต่างน้ำลายสอ ยามนี้ไม่ต้องพูดถึงพวกเด็กที่อยากจะลิ้มลองรสชาติ แม้แต่พวกผู้ใหญ่เองยังแอบกลืนน้ำลายกันเป็นแถว
เซียวจิงซันและเผยจั้นเฟิงช่วยกันผ่าครึ่งแกะตัวนั้นแล้วหั่นออกเป็นชิ้นเล็กๆ แบ่งให้กับทุกคน พวกเด็กๆ รับเนื้อแกะย่างส่วนของตนไปแล้วก็รีบใส่เข้าปากอย่างตะกละตะกลามจนเกือบจะลวกปากพองกันเป็นแถว
ตอนนี้เหมยจื่ออยู่ในบ้าน นางเพิ่งให้นมลูกน้อยเสร็จและกล่อมจนนอนหลับไปแล้วถึงได้ออกมาที่ด้านนอก อาจินรีบส่งเนื้อแกะย่างนุ่มๆ ให้เหมยจื่อชิ้นหนึ่ง “รีบมากินเถอะ รสชาติดียิ่งนัก”
เหมยจื่อรับมาแล้วก็กวาดตามองไปรอบๆ จึงเห็นว่าตอนนี้คนส่วนใหญ่ได้รับเนื้อแกะย่างแล้ว ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ต่างกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนเซียวจิงซันนั้นกำลังตักน้ำแกงในหม้ออยู่
เหมยจื่อเห็นว่าเนื้อแกะย่างที่อยู่ในมือของพวกโจรป่านั้นชิ้นไม่ได้ใหญ่นักก็คิดว่าพวกเขาน่าจะกินไม่อิ่มท้อง นางจึงเดินไปข้างกายของเซียวจิงซันแล้วกระซิบบอกว่า “ท่านไปเอาเนื้อสัตว์ที่เก็บไว้ออกมาย่างอีกเถิด พวกเขาเหนื่อยกันมาทั้งวัน ข้าเกรงว่าพวกเขาคงยังกินไม่อิ่มเป็นแน่”
เซียวจิงซันพยักหน้ารับ “ข้ากำลังคิดเช่นนั้นอยู่พอดี ตั้งใจจะไปเอาหมูป่าตัวหนึ่งในบ่อเสบียงออกมาย่างเพิ่ม”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันก็เห็นเฉินหงอวี่กับพวกอีกหลายคนเดินกอดห่อผ้าขนาดใหญ่เข้ามาในลานบ้าน ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขากลับไปตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดจึงไม่ได้อยู่กินแกะย่างเมื่อครู่
พอพวกเขามาถึงก็วางห่อผ้าบนลงบนโต๊ะแล้วแก้ห่อผ้าออก จึงได้เห็นว่าด้านในมีหมั่นโถวที่เพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ร้อนๆ
เฉินหงอวี่ร้องเรียกทุกคนอย่างเบิกบาน “จะกินแค่เนื้อแกะย่างได้อย่างไร มา…รีบมารับหมั่นโถวร้อนๆ ไปกินด้วยกันเถิด”
เซียวจิงซันคิดไม่ถึงว่าพวกเฉินหงอวี่จะช่วยนำอาหารมาสมทบจึงมองพวกเขาด้วยสายตาชื่นชม
เฉินหงอวี่มองชาวบ้านที่กำลังกินเนื้อแกะย่างกันอย่างเอร็ดอร่อยแล้วตะโกนขึ้นอีกครั้ง “เมื่อสองปีก่อนหมู่บ้านของพวกเรามีหมาป่าบุกเข้ามา หากไม่ได้พี่น้องโจรป่ากลุ่มนี้ พวกเราคงไม่พ้นต้องเป็นอาหารของหมาป่าไปแล้ว”
พอผู้คนในหมู่บ้านได้ยินก็พากันพูดว่า “ไม่ผิด” และยังกล่าวเสริมอีกว่า “เป็นเพราะพวกโจรป่าช่วยพวกเราสู้กับฝูงหมาป่า! แม้พี่เซียวจะมีความสามารถ แต่หากไม่มีพวกเขาและอาศัยเพียงกำลังของชาวบ้านอย่างพวกเราก็เกรงว่าจะรับมือกับฝูงหมาป่าไม่ไหวเป็นแน่”
อาชิวประสานมือคารวะอยู่ท่ามกลางผู้คนแล้วกล่าวว่า “พวกท่านคือผู้มีพระคุณของหมู่บ้านเราจริงๆ!”
เฉินหงอวี่พยักหน้าเห็นด้วย “ยามนี้พวกเขาได้กลับมาเยือน ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นถึงเพียงนี้ บนภูเขาล้วนมีแต่หิมะปกคลุมแล้วพวกเขาจะมีอะไรกินกัน?”
พวกชาวบ้านต่างมองหน้ากันไปมา ไม่นานก็คิดขึ้นได้จึงทยอยกันกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องกลัดกลุ้มไป พวกเราล้วนมีเสบียงอาหารสะสมเอาไว้ทุกบ้าน เพียงสละกันคนละนิดย่อมต้องมีกินอยู่แล้ว”
ชาวบ้านอีกคนพูดเสริมว่า “ในหมู่บ้านของเรามีกันตั้งหลายร้อยคน ทำไมจะเลี้ยงดูพี่น้องแค่สิบกว่าคนไม่ได้กันเล่า!”
เฉินหงอวี่รอจนทุกคนพูดจบ จากนั้นเขาก็ขึ้นไปยืนบนที่สูง โบกมือเป็นสัญญาณแล้วกล่าวว่า “ดี! พวกเราร่วมใจสามัคคีกันแบบนี้ รับรองว่าต้องดูแลพวกพ้องที่มาใหม่ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในหมู่บ้านเราได้แน่! วันนี้กินให้อิ่มท้องก่อนแล้วค่อยหาเมียสักคน!”
พอได้ยินเขาพูดประโยคสุดท้าย ทุกคนก็พากันหัวเราะขึ้นมา
บรรดาโจรป่าได้เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ต่างพากันขอบตาแดงน้ำตาคลอหน่วย แต่พอได้ยินประโยคสุดท้ายของเขาก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้เช่นกัน
พอกลับมาหมู่บ้านลี่สุ่ยก็เหมือนได้กลับบ้านตนเอง เรื่องอาหารการกินก็ไม่ต้องเป็นห่วง และอีกไม่นานก็หาภรรยาได้!
.
หมู่บ้านเล็กๆ ในป่าเขา
เรื่องอาหารการกินในช่วงฤดูหนาวย่อมต้องน่ากังวลเป็นธรรมดา เพราะถ้าอากาศหนาวจัดก็จะออกไปหาของป่าไม่สะดวก เพียงพริบตาในครอบครัวก็มีผู้ชายกินจุเพิ่มขึ้นมามากมาย ตอนแรกเหมยจื่อจึงยังห่วงว่าเสบียงอาหารจะไม่พอ ทว่ายามนี้เมื่อเห็นผู้คนในหมู่บ้านร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือ นางจึงค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้าง หากทุกคนสามัคคีกัน ฤดูหนาวปีนี้คงผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
พวกโจรป่าเองก็ขยันขันแข็งไม่เบา เพียงไม่นานพวกเขาก็ช่วยกันซ่อมแซมกระท่อมหลังเก่าที่เดิมทีผุผังไปแล้วขึ้นมาใหม่จนสามารถย้ายเข้าไปอยู่อาศัยได้ นับแต่นั้นพวกเขาก็ลงหลักปักฐานอยู่ในหมู่บ้านลี่สุ่ยแห่งนี้จริงๆ
ส่วนเรื่องชื่อของเจ้าตัวน้อยซึ่งตอนแรกยังหาชื่อที่เหมาะสมไม่ได้ พวกโจรป่าเองก็ช่วยออกความเห็นกันมากมาย ทว่าพอมีคนนำเสนอขึ้นมาก็ต้องมีคนขัดทุกครั้ง สุดท้ายการปรึกษาหารือจึงกลายเป็นการถกเถียงจนหาข้อสรุปไม่ได้
กระทั่งวันหนึ่งเมื่อมารดาของเหมยจื่อนำข้าวเหนียวนึ่งมาปั้นเป็นก้อนแล้วแจกให้กับทุกคน ขณะที่พวกเขากำลังกินข้าวปั้น ปากก็ถกเถียงกันไปด้วย “นี่ก็แค่ชื่อของเด็กน้อยไม่ใช่หรือ ไหนเลยต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้ ชาวบ้านอย่างพวกเราขอแค่ให้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนและเลี้ยงง่ายก็พอ ดังนั้นแค่ชื่อเพียงเลือกที่เรียบง่ายสักหน่อยก็ได้แล้ว”
ตอนนั้นในมือพวกโจรป่าต่างก็ถือข้าวปั้นอยู่ คนหนึ่งในกลุ่มจึงพูดขึ้นว่า “ข้าวปั้นนี่ข้าชื่นชอบยิ่งนัก เวลากินรสชาติก็อร่อยและยังอิ่มท้องดีด้วย อีกทั้งยังหาได้ง่ายหรือจะเอามาตั้งเป็นชื่อก็ได้ด้วย!”
เหมยจื่อได้ยินก็วิ่งถลาออกมาจากครัวทั้งๆ ที่ในมือยังถือกระบุงใบหนึ่งอยู่ นางหัวเราะชอบใจแล้วกล่าวว่า “หากเป็นชื่อเล่น ให้ชื่อ ‘ฟ่านถวน’ ก็ถือว่าไม่เลวเลย”
ทุกคนพากันตบหน้าขาดังฉาดและเห็นด้วยกับชื่อนี้ พวกเขาตัดสินใจรอให้เซียวจิงซันกลับมาแล้วค่อยถามความเห็นของเขาอีกที ทว่าเซียวจิงซันกลับไม่มีความคิดเห็นอื่นใดเพราะเรื่องนี้สำคัญที่เหมยจื่อ ขอเพียงนางเห็นชอบ เช่นนั้นชื่อ ‘ฟ่านถวน’ ก็ถือว่าเหมาะ ถึงอย่างไรชื่อนี้ก็เป็นเพียงชื่อที่เรียกกันทั่วไป ต่อไปยังสามารถตั้งชื่อที่เป็นทางการได้อีก
.
ย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ
เจ้าหนูฟ่านถวนเติบโตขึ้นท่ามกลางการดูแลจากท่านอาทั้งหลาย ยามนี้เด็กชายสามารถคลานไปมาซุกซนอยู่บนเตียงได้แล้ว พวกท่านอาต่างก็ชอบมาหยอกล้อเล่นกับเขา บ้างก็ให้ขี่คอขี่หลัง พอเด็กน้อยขึ้นขี่หลังได้ก็มักจะดึงผมท่านอาเล่นอย่างสนุกสนาน ยิ่งพอได้เห็นท่านอาแสร้งส่งเสียงร้อง “โอ๊ยๆ” เขาก็จะหัวเราะชอบใจจนเห็นฟันซี่น้อยๆ สีขาวสะอาด
—————————————————————————————————