Hunter’s Lady ดรุณีสุดที่รัก - ตอนที่ 134
ในช่วงนี้เซียวจิงซันกำลังคิดวางแผนเรื่องความเป็นอยู่ระยะยาวให้กับพวกพี่น้องโจรป่า
ชายหนุ่มยึดหลักที่ว่าหากอาศัยอยู่บนเขาก็ต้องทำอาชีพที่เกี่ยวข้องกับป่าเขา แต่ถ้าอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำก็ต้องทำอาชีพที่เกี่ยวกับน้ำ
ในเมื่อผืนป่าบนภูเขาแห่งนี้ช่างกว้างใหญ่ยิ่งนัก อันที่จริงแล้วต่อให้พวกโจรป่ายึดอาชีพเป็นนายพรานออกไปล่าสัตว์กันทั้งหมดก็ย่อมไม่เป็นปัญหาด้วยว่ามีภูเขาทั้งลูกที่ถือได้ว่าเป็นขุมทรัพย์มหาศาล และในนั้นยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยยากรเพื่อยังชีพไม่มีวันหมดสิ้น
ทว่าเซียวจิงซันกลับคิดอีกว่าหากอาศัยเพียงการล่าสัตว์เพื่อยังชีพก็ถือเป็นการพึ่งพาธรรมชาติในการทำมาหากินมากเกินไป หากถึงช่วงฤดูหนาวก็จะมีแต่หิมะปกคลุมไปทั่วทั้งป่าเขา คนกลุ่มนี้ก็อาจจะอดอยากได้
เซียวจิงซันจึงแบกพลั่วเหล็กเดินสำรวจไปรอบๆ เนินเขา ในที่สุดก็คิดออกมาได้วิธีหนึ่ง นั่นคือการบุกเบิกพื้นที่รกร้าง
เมื่อเรื่องนี้ถูกนำไปพูดคุยอย่างแพร่หลายทั่วทั้งหมู่บ้าน ผู้คนที่ยืนล้อมวงฟังต่างก็ไม่อยากเชื่อโดยเฉพาะผู้ใหญ่บ้าน เฉินจิ้งจู่ลูบหนวดเคราพลางส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “หมู่บ้านลี่สุ่ยของเรามีพื้นที่เท่านี้มาตั้งแต่บรรพบุรุษ อยากจะบุกเบิกพื้นที่รกร้างงั้นรึ? จิงซันเอ๊ย…” เขาตั้งใจลากเสียงยาวแล้วกล่าวต่อว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย! หากสามารถทำได้บรรพชนของพวกเราก็คงทำไปแล้ว”
เซียวจิงซันยิ้มมุมปาก แววตามุ่งมั่นยิ่งนัก เขากวาดตามองพี่น้องโจรป่าที่อยู่ด้านหลังแล้วถามเสียงหนักว่า “บุกเบิกพื้นที่รกร้าง พวกเจ้าทำได้หรือไม่?”
กลุ่มชายฉกรรจ์ที่มีจิตวิญญาณของนักสู้อยู่เต็มเปี่ยมตะโกนตอบอย่างพร้อมเพรียง “ได้!”
เฉินหงอวี่เดินเข้ามาหาแล้วกล่าวว่า “คนมากย่อมมีกำลังมาก เรื่องนี้ก็พอมีทางสำเร็จได้ หากจะบุกเบิกจริงข้าขอร่วมด้วย!”
เมื่อเฉินหงอวี่พูดเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็ทยอยกันแสดงความคิดเห็น มีเพียงครอบครัวที่มีที่ทางมากอยู่แล้วที่ได้แต่ยืนมองพวกเขาด้วยแววตาเคลือบแคลง
ผู้ใหญ่บ้านเฉินจิ้งจู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “หากพวกเจ้าจะทำข้าก็ไม่ห้าม แต่ถ้ามัวแต่เอาเวลาในช่วงฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ไปบุกเบิก พอถึงเวลาแล้วขาดแคลนเสบียงอาหาร ข้าก็ช่วยไม่ได้นะ”
.
เมื่อมีเซียวจิงซันผู้เป็นถึงอดีตแม่ทัพใหญ่คอยออกคำสั่ง
อีกทั้งมีอดีตทหารมาคอยเป็นลิ่วล้อ เรื่องนี้มีหรือจะไม่สำเร็จ!
เมื่อใกล้ผ่านพ้นฤดูใบไม้ผลิ ที่ดินรกร้างสิบกว่าหมู่ก็ถูกถางเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นย่อมมีพวกที่อิจฉาริษยาเป็นธรรมดา ทว่าคนที่อยากขอเข้าร่วมด้วยนั้นมีเยอะกว่ามาก
ผู้ใหญ่บ้านเฉินจิ้งจู่ทำเพียงเฝ้าดูไม่พูดไม่จา แต่ลูกสะใภ้ที่มีสินเดิมเป็นที่ดินหลายหมู่เริ่มพร่ำบ่นให้ฝูเกอเข้าไปร่วมบุกเบิกในครั้งนี้ด้วย เพื่อจะได้มีส่วนร่วมในที่ดินอย่างคนอื่นบ้าง เฉินจิ้งจู่จึงชักสีหน้าใส่นาง เพราะมาถึงตอนนี้แล้วเขาจะมีหน้าไปขอเข้าร่วมกับเซียวจิงซันหรือเฉินหงอวี่ได้อย่างไร
ตอนนี้เซียวจิงซันแบ่งคนทำงานออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งให้ทำการถางพื้นที่รกร้างต่อไป อีกส่วนให้รับผิดชอบไถหว่านและเพาะปลูกในที่ดินใหม่ หวังเพียงว่าเมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงจะมีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวได้บ้าง
เหมยจื่อเป็นกำลังหลักในการนำหญิงสาวในหมู่บ้านมาช่วยกันรับผิดชอบเรื่องเสบียงอาหาร นอกจากพวกนางจะช่วยส่งข้าวส่งน้ำให้กับผู้ที่ใช้แรงงาน ยังเรียกได้ว่าเป็นการเปิดโอกาสให้พี่น้องโจรป่าได้พบกับหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน จึงเป็นธรรมดาที่อาจมีบางคู่ถูกตาต้องใจกัน เหมยจื่อที่เฝ้ามองอยู่ตลอดเริ่มนึกสนุกจึงมีความคิดว่าจะเป็นแม่สื่อให้กับพวกเขา
บางครั้งเหมยจื่อก็จะพาเซียวฟ่านถวนไปยังที่นาเพื่อดูทุกคนทำงาน ฟ่านถวนเองก็ชอบคลานเล่นอยู่ตามแปลงนาด้วยท่าทางมีความสุข บางครั้งเขาก็เล่นสนุกจนเนื้อตัวเต็มไปด้วยดินโคลน ดังนั้นในยามปกติเหมยจื่อจึงไม่ให้เขาลงไปคลานในนา แต่ก็มีบ้างที่นางมองไม่ทัน เซียวจิงซันที่อยู่ข้างๆ จึงเอ่ยปากว่า “ถึงอย่างไรที่นาก็มีแต่ดินโคลน เจ้าให้เขาคลานเล่นก็ได้”
เหมยจื่อลองคิดดูก็ถูกของสามี ตอนที่นางยังเป็นเด็กก็คลานเล่นตามพื้นดินแบบนี้เช่นกัน นางจึงปล่อยลูกชายให้ได้สนุกสนานตามใจ
นับแต่นั้นเจ้าหนูน้อยเซียวฟ่านถวนก็ยิ่งได้ใจ บางครั้งก็เล่นจนใบหน้าเต็มไปด้วยดินโคลน เหลือเพียงดวงตากลมโตจ้องมองผู้คนอย่างซุกซน ทำเอาพวกผู้ใหญ่พากันหัวเราะอย่างเอ็นดู จากนั้นบรรดาท่านอาและอาสะใภ้ต่างก็จะแย่งกันอุ้มตัวเขาแล้วพาไปล้างหน้าล้างตาที่ริมลำธาร
วันเวลาผ่านไปเช่นนี้จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ทุกคนกำลังทำงานอยู่ในที่นาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมาแต่ไกล ตามมาด้วยเสียงแหบห้าวตะโกนเรียกชื่อเซียวจิงซัน คนส่วนใหญ่จึงเงยหน้ามอง ก็เห็นคนสองคนกับม้าสองตัวกำลังควบตรงมาทางนี้ คนทั้งสองช่างดูคุ้นตาเหลือเกิน…
หลังจากเหมยจื่อเพ่งสายตามองก็รู้สึกยินดี ชายหนุ่มท่าทางหยาบกร้านผู้นั้นที่แท้ก็คือหลู่จิ่งอันที่ไม่ได้พบกันมานาน ส่วนข้างกายของเขาก็คือเผิงเอ๋อหญิงรับใช้คนสนิทที่เคยดูแลปรนนิบัตินางมาก่อน ยามนี้คนทั้งสองนั่งมาบนหลังม้าตัวเดียวกัน ดูท่าทางสนิทชิดเชื้อกันยิ่งนัก ส่วนม้าอีกตัวบรรทุกหีบขนาดมหึมามาด้วยใบหนึ่ง
ทันทีที่หลู่จิ่งอันมองเห็นเซียวจิงซัน เขาก็พลิกตัวลงจากหลังม้าแล้ววิ่งมาหาอย่างรวดเร็ว เซียวจิงซันเองก็โยนพลั่วในมือทิ้งแล้วรีบไปต้อนรับ พวกเขาต่างไม่ได้สนใจดินโคลนที่เปื้อนอยู่เต็มมือ โอบร่างของแต่ละฝ่ายแล้วหัวเราะเสียงดังก้อง บรรดาพี่น้องคนอื่นๆ พากันวางเครื่องไม้เครื่องมือที่ถืออยู่แล้ววิ่งเข้ามาสมทบ
ขณะที่ทุกคนกำลังแย่งกันซักถามหลู่จิ่งอัน เหมยจื่อก็ปลีกตัวไปตักน้ำบริเวณใกล้ๆ กับที่นาและเอาของแห้งๆ ออกมาจัดเตรียม ก่อนจะเรียกให้ทุกคนมานั่งลงกินร่วมกันและจะได้พูดคุยกันไปด้วย
พอสอบถามหลู่จิ่งอันแล้วก็ได้ความว่า อันที่จริงหลังจากเซียวจิงซันจากไปได้ไม่นาน เขาก็เริ่มเตรียมการที่จะออกจากเมืองหลวงเช่นกัน เขาได้นำเงินทองที่เก็บสะสมไว้เป็นเวลานานไปแลกเป็นของมีค่าที่สามารถพกติดตัวอได้ง่าย และหลังออกจากราชสำนักแล้วก็ท่องเที่ยวไปทั่วยุทธภพทั้งเหนือจรดใต้ ท้ายที่สุดจึงค่อยเดินทางมาหาเซียวจิงซันที่นี่
เหมยจื่อจับมือของเผิงเอ๋อพลางเอ่ยถามหลู่จิ่งอันอย่างยั่วเย้า “พี่หลู่ ที่จริงท่านมาเพียงคนเดียวก็ได้ เหตุใดต้องพาเผิงเอ๋อของเรามาด้วยเล่า?”
เมื่อเผิงเอ๋อได้ยินคำถามจากนายหญิงที่ตนเคยปรนนิบัติใกล้ชิด ใบหน้านางก็แดงเรื่อ รีบก้มหน้างุดทันที แต่หลู่จิ่งอันกลับโบกมืออย่างไม่ใส่ใจแล้วกล่าวว่า “อาซ้อ ก่อนหน้านี้ข้าเคยรับปากว่าจะดูแลเผิงเอ๋อแทนพวกท่าน ดังนั้นตอนจะจากมาข้าก็เลยฉุกคิดได้ เช่นนี้แล้วข้าจะทิ้งนางได้อย่างไร จึงต้องพานางมาด้วยกันนี่ไงเล่า”
เหมยจื่อกะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยไล่ต้อนต่อ “แต่นางเป็นหญิงสาวตัวคนเดียว กลับต้องมาขี่ม้าตัวเดียวกันกับท่านอีก…”
หลู่จิ่งอันดื่มน้ำพร้อมกับบอกอย่างหน้าชื่นตาบานไปด้วยว่า “เช่นนั้นข้าก็ต้องแต่งงานกับนางแน่”
คำพูดของเขาฟังดูห้วนๆ ง่ายๆ ทำให้เผิงเอ๋อยิ่งเขินอายจนใบหน้าแดงก่ำ ผู้คนรอบข้างพากันโห่ร้องด้วยความปีติยินดี
เดิมทีตอนที่เซียวจิงซันและเหมยจื่อรีบร้อนจากมา เผิงเอ๋อก็ไร้ที่พักพิงจึงจำต้องไปอยู่ในจวนของหลู่จิ่งอัน ใครจะคาดคิดว่าตอนนี้นางจะมีวาสนากลายเป็นคู่ครองของเขาไปแล้ว
.
เมื่อในหมู่บ้านมีชายฉกรรจ์เพิ่มขึ้นมามากมาย
หนำซ้ำยังมีหลู่จิ่งอันกับเผิงเอ๋อตามมาสมทบด้วยอีก เฉินหงอวี่จึงพาผู้ใหญ่บ้านมาทำสำมะโนครัวให้กับทุกคน นับแต่นี้ไปพวกเขาก็สามารถลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวอยู่ที่หมู่บ้านลี่สุ่ยได้แล้ว
หลู่จิ่งอันตั้งใจจะเลียนแบบพี่ใหญ่ของตนจึงปลูกบ้านหลังหนึ่งอยู่ข้างๆ บ้านของพวกเขา อีกทั้งยังได้รับการช่วยเหลือจากเหมยจื่อและเซียวจิงซันในเรื่องการจัดงานแต่งงานอย่างเรียบง่ายเพื่อตบแต่งเผิงเอ๋อมาเป็นภรรยาอีกด้วย
ตอนแรกที่มาถึงหลู่จิ่งอันได้เอาข้าวของล้ำค่าที่พกติดตัวมาแจกจ่ายให้กับทุกคน แต่เมื่อทุกคนรับมาพินิจพิจารณาแล้วต่างก็ส่งคืนให้เขา หลู่จิ่งอันจึงพูดอย่างรู้สึกขายหน้าว่า “นี่เป็นของที่ข้าอุตส่าห์แบกข้ามน้ำข้ามทะเลมาเชียวนะ พวกเจ้ารับเอาไว้เถิด ต่อไปภายภาคหน้ายังใช้ทำทุนได้!”
หลังจากวันนั้นทุกครั้งที่หลู่จิ่งอันติดตามเซียวจิงซันออกไปยังที่ดินรกร้างกลางป่าเพื่อถางหญ้า ขณะที่มือของเขาสัมผัสจอบพลั่วไปจนถึงมีดถางหญ้า ก็จะได้ยินเขาทอดถอนใจแล้วบ่นพึมพำว่า “ข้าร่ำรวยถึงเพียงนี้ เหตุใดต้องมาทำงานเช่นนี้ด้วยเล่า!”
ทว่าเซียวจิงซันกลับไม่สนใจ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป บรรดาพี่น้องคนอื่นๆ ก็ไม่ได้เห็นแก่หน้าอดีตแม่ทัพใหญผู้นี้ พวกเขาไม่แม้แต่จะสนใจมองหลู่จิ่งอันด้วยซ้ำ ส่วนพวกหญิงสาวชาวบ้านและบรรดาฮูหยิน พอได้ยินพวกนางก็พากันเอามือป้องปากแอบหัวเราะคิกคัก บางคนยังแสร้งแกว่งอาหารในมือไปมา ปากก็พูดเย้าแหย่ว่า “ท่านลองเอาของสีเหลืองๆ เงาๆ พวกนั้นมาแลกสิ ไม่แน่ว่าพวกข้าอาจจะยอมแบ่งปันแผ่นแป้งให้ท่านกินบ้างก็ได้”
หลู่จิ่งอันกระแทกเท้าลงบนโคลนอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าถ้ามีเงินแล้วแค่เพียงของกินจะหาซื้อไม่ได้!”
—————————————————————————————————