I Am A Prodigy ฉันนี่แหละอัจฉริยะ! - ตอนที่ 26
หลังจากนั้นเหย่หลิงเฉินก็ใช้เวลาทุกวันไปกับการถ่ายทำร่วมกับทีมงานภาพยนตร์ วันหยุดฤดูร้อนนี้ยังไม่จบลง และวันเวลาของเขาก็ผ่านไปอย่างช้า ๆ
โดยปกติแล้วตัวละครที่เขาได้รับเล่นนั้นมีฉากที่ต้องปรากฏตัวเป็นจำนวนไม่มาก แต่ด้วยความสามารถทางด้านการแสดงของเขา เขาได้ปรากฏตัวบนหน้าจอและร่วมแสดงกับเสี่ยวเฟยเฟยหลายคราวเลยทีเดียว
ต้องบอกว่าเนื่องจากความสามารถพิเศษและการแสดงที่ดีของเหย่หลิงเฉิน ทำให้ผู้กำกับหลี่ได้ตัดสินใจอย่างกะทันหันที่จะเปลี่ยนบทใหม่และเพิ่มฉากพิเศษสำหรับเหย่หลิงเฉินโดยเฉพาะ!
จากแผนเดิมคือให้เป็นตัวร้ายสมทบคนที่สาม แต่ตอนนี้ได้ยกระดับเป็นตัวที่สองแล้ว การปรากฏตัวของเขากับเสี่ยวเฟยเฟยเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก
เสี่ยวเฟยเฟยให้การสนับสนุนเรื่องนี้อย่างเต็มที่ทำให้ผู้อื่นไม่ได้คัดค้านใด ๆ
ในบ่ายวันหนึ่งที่บรรยากาศสบาย ๆ เหย่หลิงเฉินกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้เอนกายที่ทีมงานภาพยนตร์เตรียมไว้ให้เขา เขาถือส้มแมนดารินในมือพร้อมปอกเปลือกแล้วใส่แต่ละชิ้นเข้าปาก
“เธอรู้วิธีที่จะทำให้ตัวเองผ่อนคลายเป็นอย่างดีสินะ”
เสี่ยวเฟยเฟยเดินมาหาเขาและยิ้มขณะที่เธอพูด “ในบรรดาผู้คนทั้งหมดนี้ เธอดูชิลล์ที่สุดแล้ว”
“จะให้พูดยังไงดีล่ะ ใครกันที่อนุญาตให้ผมไม่ต้องฝึกซ้อมก่อนและยังคงแสดงได้แบบเทคเดียวผ่านสบาย ๆ กันล่ะ” เหย่หลิงเฉินยกมือขึ้น “ผู้กำกับหลี่ดูแลผมดีมาก ส้มแมนดารินไหมครับ?”
เสี่ยวเฟยเฟยหยิบขึ้นมาและมองไปที่เหย่หลิงเฉินอย่างสงสัย “ใครสอนการแสดงให้เธอ”
เธอทำงานมาหลายปีแล้วและตอนนี้เป็นถึงนักแสดงหลัก ทักษะการแสดงของเธอได้รับการขัดเกลาผ่านบทเรียนนับไม่ถ้วนจนทำให้เธอมาอยู่ในจุดนี้ อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับเหย่หลิงเฉินแล้วทักษะของเธอดูแย่ทีเดียว!
เหย่หลิงเฉินชี้ไปที่คู่มือการเตรียมตัวเป็นนักแสดงของเขาบนโต๊ะ
“แค่ทำตามคู่มือนี้เนี่ยนะ?”
“ช่วยไม่ได้ ผมน่ะมีพรสวรรค์” เหย่หลิงเฉินกล่าวขณะที่เขายักไหล่
บรื้น ๆๆๆๆๆ
ขณะเดียวกันเสียงของเครื่องยนต์ก็ดังเข้ามาใกล้พวกเขาเรื่อย ๆ รถจากัวร์สีดำสนิทขับเข้ามาหาพวกเขาใน Hengdian Studios อย่างรวดเร็ว
ในที่สุดมันก็มาหยุดตรงหน้าของเหย่หลิงเฉินและเสี่ยวเฟยเฟย
จริง ๆ แล้วที่นี่ห้ามมิให้ยานพาหนะใดเข้ามาภายใน Hengdian Studios
แต่อย่างไรก็ตามไม่มีใครกล้าที่จะหยุดรถคันนี้!
เพราะนี่เป็นรถของคุณหลู่
จากนั้นมีสองร่างที่ก้าวออกมาจากรถทีละคน
คนหนึ่งมีผิวสองสี อีกคนผิวสีขาว คนหนึ่งสูง อีกคนหนึ่งเตี้ย คนหนึ่งร่างกายกำยำ แต่อีกคนผอม
ชาวต่างชาติเหรอ??
คิ้วของเหย่หลิงเฉินขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
สองคนนี้ดูออกอย่างชัดเจนว่าเขามีเชื้อชาติที่แตกต่างกัน คนหนึ่งเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนอีกคนเป็นชาวยุโรป!
“คุณหญิงเสี่ยว นี่คือของขวัญที่คุณหลู่ส่งมาให้คุณ”
ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พูดกับเสี่ยวเฟยเฟยก่อนจะดึงที่เบาะหลังของรถขึ้น กลิ่นหอมอบอวลจากรถลอยขึ้นไปในอากาศ
หลังรถทั้งคันเต็มไปด้วยดอกไม้
ประกอบไปด้วยดอกกุหลายตรงกลางที่เรียงอย่างพิถีพิถันเป็นรูปหัวใจ รอบ ๆ มีทั้งดอกทิวลิป ลิลลี่ และลาเวนเดอร์หลากสี
ทุกสีของดอกไม้เสริมซึ่งกันและกันอย่างสวยงามและจัดเรียงเป็นรูปหัวใจ นอกจากกลิ่นหอมแล้วก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้หญิงเคลิ้มได้
แต่โชคไม่ดีที่เสี่ยวเฟยเฟยไม่ไหวติงใด ๆ
เธอกล่าวอย่างนิ่งเฉยว่า “ได้โปรดขอบคุณคุณหลู่ด้วย ฉันรู้สึกขอบคุณ”
“คงจะดีกว่าถ้าคุณเสี่ยวจะรับของขวัญชิ้นนี้ นายน้อยของเราได้เตรียมของขวัญชิ้นนี้ไว้ให้มากมาย ดอกไม้ทั้งหมดนำเข้าจากต่างประเทศ” ชายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าว
“ฉันไม่ชอบ โปรดเอาออกไปด้วย!” เสี่ยวเฟยเฟยพูดอย่างเย็นชาพลางขมวดคิ้ว
“ถ้าคุณเสี่ยวไม่ชอบล่ะก็ นายน้อยของเราได้เตรียมของขวัญให้อีกชิ้นเอาไว้ให้แล้ว!” ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าวขณะที่เขาจ้องมองเหย่หลิงเฉินอย่างเย็นชาราวกับว่าเขาเป็นเหยื่อ “นายน้อยไม่ชอบเวลาที่คุณเสี่ยวอยู่ใกล้กับผู้ชายคนอื่นมากเกินไป”
“หักขามันทิ้งซะ!”
ชายยุโรปที่อยู่ด้านหลังก้าวไปข้างหน้า
ร่างกายของเขาประกอบด้วยกล้ามเนื้อมัดโตและแข็งราวกับหิน ร่างกายของเขาดูดียิ่งกว่านักศิลปะการต่อสู้
นักศิลปะการต่อสู้จะมีไขมันเพิ่มขึ้นในวัยกลางคนเนื่องจากกระบวนการเผาผลาญของร่างกายมนุษย์ แต่ชาวยุโรปคนนี้ไม่เป็นเช่นนั้น
“ฉันควรแนะนำประวัติเขาสักหน่อย เขาเป็นแชมป์ในสนามต่อสู้ใต้ดินในต่างประเทศ” ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าวอย่างเย็นชา
ทันทีที่เขาพูดจบชายยุโรปก็โจมตีต้นไม้ที่อยู่ข้าง ๆ เขาอย่างรวดเร็ว!
หมัดของเขาราวกับสายฟ้า ความแข็งแกร่งของเขาเหมือนวัวที่บ้าคลั่ง!
ปั้ง!!!
ลำต้นของต้นไม้มีความหนาครึ่งเมตร แต่ยังสามารถมองเห็นรอยประทับของกำปั้นบนเปลือกไม้ได้!
เสี่ยวเฟยเฟยตัวสั่นเล็กน้อย ใบหน้าของเธอซีดลงอย่างเห็นได้ขัด
เหย่หลิงเฉินยืนอยู่ตรงหน้าเสี่ยวเฟยเฟย มือของเขากำแน่นเป็นหมัดในขณะที่เขาจ้องมองชาวต่างชาติทั้งสองคน
“พอได้แล้ว! ฉันจะรับดอกไม้พวกนี้ก็ได้ ไปซะ!”
เสี่ยวเฟยเฟยพูดด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง
ชาวต่างชาติสองคนยิ้มและจ้องมองไปที่เหย่หลิงเฉินอย่างเย็นชาก่อนจะกลับเข้าไปในรถ
“วันนี้ถือว่าแกยังโชคดี ครั้งหน้าแกไม่รอดแน่…”
ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ชี้ไปที่เหย่หลิงเฉินก่อนที่จะลากนิ้วหัวแม่มือไปที่คอของเขาอย่างตั้งใจหาเรื่อง!
“พวกเขาเป็นใคร?” เหย่หลิงเฉินถาม ดวงตาของเขาหรี่ลงขณะที่รถหายไปจากมุมมองของเขาพร้อมกับเสียงคำรามของเครื่องยนต์
“พวกเขาเป็นลูกน้องของหลู่ห่าว จาก Lu Group” เสี่ยวเฟยเฟยพูดอย่างหมดหนทาง ในดวงตาของเธอแสดงออกถึงความเหนื่อยล้า
“ฉันขอโทษที่ลากเธอเข้ามาเกี่ยว” เสี่ยวเฟยเฟยกล่าวขอโทษ
“คุณเฟยเฟย คุณไม่ควรต้องขอโทษเลย คุณช่วยผมมาตั้งกี่ครั้งแล้ว?” เหย่หลิงเฉินยิ้มอย่างไม่แยแส หลังจากนั้นใบหน้าของเขาก็แข็งขึ้นเล็กน้อย “ถ้าคุณมีปัญหาก็บอกผม ผมจะไม่ปล่อยให้ใครรังแกคุณ!”
เสี่ยวเฟยเฟยยิ้มตอบอย่างขมขื่น
กลุ่มหลู่มีขนาดใหญ่และมีอำนาจทุกอย่าง เหย่หลิงเฉินจะช่วยอะไรเธอได้บ้าง?
เหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ทำให้บรรยากาศไม่ค่อยดีนัก
หลี่ไท่ถอนหายใจ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรผู้ถือหุ้นก็ยังมีความสำคัญที่สุดและเงินทุนของพวกเขาก็คือเรื่องที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับหนึ่ง
วัดถัดมา…
วันนี้เหย่หลิงเฉินตื่นเร็วกว่าปกติ
หลังจากวิ่งเสร็จในตอนเช้า เขาก็ฝึกฝนหมัดอรหันต์และหมัด 8 ปรมัตถ์ เป็นเวลาสามเซ็ตก่อนที่เขาจะหยุดพัก
เหตุการณ์ล่าสุดทำให้เขาตระหนักถึงความสำคัญของพลัง!
เขาต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น แข็งแกร่งขึ้น!
“เหย่หลิงเฉิน!”
ทันใดนั้นเสียงนั้นก็ทำให้เขาประหลาดใจ
“คุณนั่นเอง?”
เหย่หลิงเฉินหันไปมองหญิงสาวที่อยู่ไม่ไกลเกินไปนัก
หลิงกู่ซื่อสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนส์สีอ่อน และรองเท้าผ้าใบสีขาว
ดูเหมือนว่าเธอน่าจะไปวิ่งมาเช่นกัน
เธอไม่สามารถซ่อนสีหน้าแห้งเหี่ยวและวิตกกังวลจากใบหน้าของเธอได้
“เมื่อคืนนั้น เป็นเธอใช่ไหม” หลิงกู่ซื่อรีบวิ่งไปล็อคสายตาของเธอที่เหย่หลิงเฉิน เสียงของเธอเต็มไปด้วยความรีบร้อน
“คุณหมายถึงอะไร” ประโยคนี้เต็มไปด้วยความสงสัย
“คืนวันนั้นคนที่ช่วยปู่ของฉันคือคุณใช่ไหม” หลิงกู่ซื่อรู้สึกกังวลมากจนเกือบจะตะโกนคำถามของเธอ ตาของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดง “ปู่ของฉันป่วยมากและอาการแย่ลงเรื่อย ๆ เธอใช่ไหมที่เป็นคนช่วยปู่ฉันในคืนนั้น? ได้โปรดช่วยปู่ของฉันด้วย…”
เหย่หลิงเฉินอดไม่ได้ที่จะคิดถึงชายชรา
แม้ว่าพวกเขาจะพบกันเพียงช่วงสั้น ๆ แต่นิสัยของชายชราคนนั้นได้ทิ้งความประทับใจไว้ให้เขา
ไม่น่าแปลกใจที่หลายวันมานี้เขาไม่ได้เห็นปู่และหลานสาวของเขาฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วยกัน
“มันต้องเป็นเธอแน่ ๆ… ใช่ไหม? ฉันจำดวงตาของเธอได้” หลิงกู่ซื่อกำลังร้องไห้ น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเธอและไหลลงใบหน้าของเธอขณะที่เธอมองไปที่เหย่หลิงเฉิน ความวิตกกังวลของเธอชัดเจนมาก
ในที่สุดเหย่หลิงเฉินก็หายใจเข้าลึก ๆ และตอบอย่างเรียบง่ายว่า “ฉันเอง!”
“คุณจริง ๆ เหรอ!”
ดวงตาของหลิงกู่ซื่อเบิกกว้างและเธอก็หยุดร้องไห้ เธอมองไปที่เหย่หลิงเฉิน “เธอบอกว่สเธอสามารถรักษาอาการป่วยของปู่ของฉันได้จริงหรือ?”
“ใช่” เหย่หลิงเฉินพยักหน้า
การเรียนแพทย์มีประโยชน์มากมาย เหย่หลิงเฉินใช้เวลาว่างไปกับการเรียนรู้เกี่ยวกับการแพทย์ เขาได้อ่านศาสตร์ทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียงทั้งหมดแล้ว เขามีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีนถึง 90% แล้ว
“ตามฉันมา!”
หลิงกู่ซื่อรู้สึกเหมือนราวกับว่าเธอได้เห็นความหวังสุดท้าย เธอลากเหย่หลิงเฉินไปกับเธอ
เหย่หลิงเฉินไม่ได้ทักท้วงใด ๆ เขาโทรหาเสี่ยวเฟยเฟยเพื่อขอลาพักผ่อนสักวัน
มีทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่ใจกลางสวน น้ำใสตั้งแต่ด้านบนจนถึงด้านล่าง และนิ่งสงบ
เมื่อมองไปที่ผืนน้ำของทะเลสาบมีคฤหาสน์วิลล่าหรูหราหลังหนึ่งสร้างขึ้นใจกลางทะเลสาบ มีกำแพงสีขาวและหลังคาสีแดง มันเป็นความสง่างามของสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของจีนโดยคงไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมแห่งความสง่างามความเรียบง่ายและความหรูหรา
จากด้านข้างของทะเลสาบมีทางเดินสีขาวที่สร้างด้วยหินอ่อนตรงไปยังประตูสีแดงเข้มของวิลล่า
นอกจากวิลล่าแล้ว สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือมีรถหรูหลายคันจอดอยู่ข้างทะเลสาบ
“หยุด!”
เสียงตะโกนอย่างกะทันหันทำให้เหย่หลิงเฉินและหลิงกู่ซื่อหยุดชะงักอยู่ด้านนอกวิลล่า!
“กู่ซื่อ นั่นใคร”
ถัดจากทางเข้าหลักเด็กหนุ่มมองไปที่เหย่หลิงเฉินอย่างน่ากลัว ความไม่พอใจของเขาสื่อออกมาอย่างชัดเจนทางสายตา
นอกจากเขาแล้วยังมีคนอื่น ๆ ในวิลล่าที่กำลังมองไปที่เหย่หลิงเฉินด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรของพวกเขา
“เขาชื่อเหย่หลิงเฉิน เขามีวิธีช่วยคุณปู่” น้ำตาของหลิงกู่ซื่อยังไม่แห้งในขณะที่เธอพูด
เด็กหนุ่มก้าวไปข้างหน้าและหยุดอยู่ตรงหน้าเหย่หลิงเฉินพร้อมกับพูดอย่างเย็นชาว่า “ฉันไม่สนใจว่านายจะใช้วิธีไหนเพื่อหลอกลวง แต่ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะให้ค่าคนหลอกลวงแบบนาย ฉันจะให้โอกาสตอนนี้เท่านั้น ออกไปซะ!”
“พี่! เขาช่วยคุณปู่ได้!” หลิงกู่ซื่อวิงวอนอย่างน่าสมเพช “ได้โปรด ให้โอกาสเขา!”
“กู่ซื่อ เงียบ!”
เสียงชายวัยกลางคนร้องอุทานออกมาจากข้างในว่า “นี่เธออายุเท่าไหร่แล้ว ยังกล้าพาคนนอกมาที่บ้านของเราอีก? เมื่อไหร่จะโตเป็นผู้ใหญ่สักที?”
“พ่อ พ่อต้องเชื่อหนู!” หลิงกู่ซื่อขอร้อง
“กู่ซื่อ เธอเป็นคนหัวอ่อน เธอเชื่อคนง่ายเกินไป” ผู้หญิงคนหนึ่งส่ายหัวขณะที่เธอพูด “เขาเป็นพวกหลอกลวงชัด ๆ!”
“ดู ๆ แล้วอายุของคน ๆ นี้ยังไม่ไกลจากเธอมากนัก ถ้าเธอคิดถึงเรื่องนี้เธอจะรู้ว่าเขาไม่น่าจะมีความสามารถรักษาปู่ได้ขนาดนั้น” ชายวัยกลางคนอีกคนพูดต่อ
คนอีกคนมองไปที่พ่อของหลิงกู่ซื่อ แล้วพูดว่า “ชานฮี คุณยุ่งอยู่ข้างนอกตลอดเวลา คุณควรใช้เวลาในการสั่งสอนและให้ความรู้กับกู่ซื่ออย่างเหมาะสมด้วย ตระกูลหลิงของเราเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจใหญ่โต ขืนเธออ่อนต่อโลกอยู่แบบนี้ สักวันจะถูกหลอกใช้เอา!”
“ ทำไมทุกคนถึงไม่เชื่อหนูสักครั้งว่าเขาช่วยคุณปู่ได้จริง ๆ!” หลิงกู่ซื่อรู้สึกกระวนกระวายใจมาก ใบหน้าของเธอแดงก่ำ ร่างกายเล็กกระทัดรัดของเธอสั่นสะท้าน “หลายวันแล้วทุกคนทำอะไรอีกบ้างนอกจากนั่งเฉย ๆ? ทำไมไม่ให้โอกาสเขาได้ลองดูล่ะ!”
“เหย่หลิงเฉิน อย่าไปสนใจพวกเขาเลย ฉันจะพาเธอขึ้นไปชั้นบน!”
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ก้าวไปข้างหน้าและปิดกั้นประตู
การจ้องมองของเขาเยือกเย็นและแหลมคมราวกับมีดที่กรีดให้เจ็บแสบ
“ประตูตระกูลหลินไม่ได้เข้ามาง่าย ๆ!” เด็กหนุ่มร้องว่า “ถ้านายกล้าเข้ามาล่ะก็ ฉันจะหักขานายทิ้ง!”
การแสดงออกทางสีหน้าของเหย่หลิงเฉินไม่เปลี่ยนแปลง เขาจ้องมองเด็กหนุ่มอย่างใจเย็นเป็นเวลา 3 วินาทีก่อนจะยิ้มและยกเท้าขวาก้าวเข้าไปในประตูทางเข้าหลักโดยเท้าของเขา … แตะพื้น!
…