I Became Friends with the Second Cutest Girl in My Class - ตอนที่ 47 – จับมือเธอไว้
- Home
- I Became Friends with the Second Cutest Girl in My Class
- ตอนที่ 47 – จับมือเธอไว้
บทที่ 47 – จับมือเธอไว้
หลังจากนั้น ผม อาซานางิ แล้วก็อามามิซัง ต่างก็ยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมงานกันทั้งวันจนไม่มีเวลามานั่งวิตกกังวลถึงเรื่องอื่นตลอดหลายวันที่ผ่านมา
เหล่าคุณครูก็ยังคงให้งานและการบ้านเป็นจำนวนมากกับนักเรียนอยู่ดีทั้งๆที่พวกเขาก็รู้ว่าพวกนักเรียนนั่นกำลังยุ่งอยู่กับการจัดงานโรงเรียน และมันก็เป็นไปตามที่ผมคาดการไว้ การจัดงานนิทรรศการของพวกเราเริ่มจะล่าช้า และเวลาสามสัปดาห์ก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
และในที่สุดวันงานก็มาถึง
“…สะ…”
“เสร็จแล้ว…!”
วันก่อนวันงานเกือบทุกคนในห้องถูกบังคับให้อยู่ทำงานค้างคืนที่โรงเรียนตามที่ผมคิดไว้แล้วว่ามันต้องลงเอยแบบนี้ ในระหว่างที่พวกเราทำงานก็ยังมีอุปสรรคอีกหลายอย่าง…ไม่ว่าจะเป็นการร้อยลำดับสีกระป๋องผิด หรือพวกเด็กผู้ชายที่เล่นกันจนเผลอไปเหยียบกระป๋องจนใช้งานไม่ได้…ลำบากสุดๆเลยล่ะ
แต่อย่างไรก็ตาม ถึงจะไม่น่าเชื่อ แต่พวกเราก็ยังสามารถทำงานได้เสร็จทันเวลา
บนดาดฟ้าของอาคารเรียน ผมแขวนเชือกเข้ากับรั้วดาดฟ้า และผูกจนมั่นใจว่าแน่นพอเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด แม้เราจะพยายามทำตามต้นแบบที่ออกแบบไว้ แต่มันช่วยไม่ได้ที่อาจจะยังมีจุดผิดพลาดให้เห็นบ้างเนื่องจากมันเป็นผลงานจากการทำด้วยมือ
ผมหวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี…แต่ถ้าไม่ ผมคงรู้สึกเสียใจมาก
อย่างน้อย…ก็ขอให้ผลงานมันออกมาดีให้คุ้มกับการที่ต้องอดหลับอดนอนทำมันขึ้นมาก็ยังดี
“…ยู ใช้ได้ไหม?”
หลังจากแขวนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อาซานางิก็หันไปตะโกนถามอามามิซังที่ยืนอยู่ไกลออกไป เนื่องจากศิลปะแบบโมเสกนั่นสามารถมองออกได้จากระยะไกลเท่านั้น เราจึงมอบหมายให้อามามิซังเป็นคนตรวจสอบคุณภาพของผลงาน
อามามิซังที่มีขนาดเท่าเมล็ดถั่ว และคนอื่นๆพยายามทำท่าทางสือความหมายอย่างเต็มที่
[ O K ]
เธอทำท่าทางประมาณนั้น
และในตอนนั้นเองผมก็รู้สึกร่างกายไร้เรี่ยวแรงอย่างกระทันหัน
ตอนนี้เป็นเวลา 8:00 น. แต่ประตูโรงเรียนจะเปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาตอนเวลา 9:00 น. …ดูเหมือนเราจะทำเสร็จทันเวลาล่ะนะ
“ฟู่~…จบสักที…”
“นั่นสินะ…”
เพื่อที่จะสามารถทำงานได้ทั้งคืนผมกับอาซานางิจึงตัดสินใจผลัดกันไปนอนพัก แต่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ทำแบบนี้และยังมีความร้อนใจจากเดธไลน์ที่ใกล้เข้ามาทำให้นอนไม่ค่อยหลับ
ในเช้านี้บรรยากาศบนท้องฟ้านั้นไม่มีเมฆสมกับที่เป็นฤดูใบไม้ร่วง และแสงแดดยามเช้าที่ส่องลงมาที่ชั้นดาดฟ้าก็กระทบเข้ากับเปลือกตาของผมอย่างอ่อนโยน
“มาเอะฮาระ”
“ว่า?”
“บอกมาทีสิว่าตอนนี้รู้สึกยังไง?”
“ผมรู้สึกว่าไม่อยากไปสนใจงานโรงเรียนแล้วล่ะ ตอนนี้คิดแค่ว่าอยากกลับบ้านแล้วไปนอนให้เต็มอิ่ม”
“ทางนี้ก็เหมือนกัน…ฉันรู้สึกเหมือนยังไม่ได้นอนเลย”
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพวกเราเป็นคณะกรรมการ เราจึงยังมีหน้าที่อื่นๆรอเราอยู่อีก ไม่ว่าจะเป็นการเดินลาดตระเวนในอาคารเรียนตอนช่วงงานกิจกรรม และช่วงหลังจากงานจบก็ยังต้องอยู่ทำความสะอาดด้วย
และเรื่องสัญญาที่นัดกับอาซานางิไว้ด้วย
“ว่าแต่ วันนี้จะคุยกันตอนไหนดีล่ะ?”
“อื~ม…ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจเลย แต่คิดว่าน่าจะประมาณตอนเที่ยงๆแหละ”
ถ้าแบบนั้นก็หมายความว่าเราจะมีเวลาว่างในช่วงเช้าสินะ
เนื่องจากห้องของเราได้หัวข้อการจัดนิทรรศการ จึงไม่ต้องรับผิดชอบเยอะเหมือนกับห้องอื่นที่ได้หัวข้อพวกการจัดคาเฟ่หรือการเปิดร้านกาแฟ และนอกจากนี้เรายังเลือกสถานที่จัดแสดงเป็นดาดฟ้าของอาคารเรียนที่ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา เราจึงไม่ต้องกังวลว่าจะต้องมาคอยดูแลไม่ให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวานกับชิ้นงานของพวกเรา
เทียบกับงานเทศกาลโรงเรียนกับตอนสมัยม.ต้นแล้ว งานเทศกาลโรงเรียนของม.ปลายนั้นใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด ความจริงก็มีความรู้สึกว่าอยากจะลองเดินดูรอบๆงานอยู่หรอกนะ…แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าอยากจะนอนมากกว่าน่ะสิ
“…มาเอะฮาระ นายดูง่วงนอนมากเลยนะ”
“อา…ผมแน่ใจว่าถ้าหลับตาลงก็คงจะสามารถหลับได้ในไม่กี่วินาทีเลยล่ะ”
“นั่นสินะ…แต่ว่านะ มาเอะฮาระ นายทำได้ดีมากเลยนะ”
“อืม ผมทำได้ดีมากจริงๆนั่นแหละ”
ถึงผมพูดเองมันจะดูแปลกๆ แต่ผมก็คิดว่าผมได้ทำอะไรเกินกว่าที่คิดไว้มาไกลทีเดียว ถึงแม้ว่าจะมีอาซานางิกับอามามิซังคอยช่วยเหลือและสนับสนุนมาโดยตลอด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเรื่องของการเตรียมเอกสาร การเข้าร่วมการประชุม การรวบรวมความคิดเห็นของทุกคน การเจรจากับฝ่ายต่างๆของโรงเรียน และก็ยังมีอะไรอีกหลายๆอย่างที่ผมต้องเป็นคนรับผิดชอบ บางทีหลายคนอาจจะคิดว่ามันก็แค่การเอากระป๋องเปล่ามาร้อยเชือกและจัดให้มันกลายมาเป็นงานนิทรรศการ แต่ความจริงแล้วมันยังมีงานเบื้องหลังอีกเยอะที่ต้องจัดการ
ผมไม่เคยให้ความร่วมมือหรือทำกิจกรรมแบบนี้มาก่อนเลย และผมก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาวิ่งวุ่นไปทั้วทั้งในและนอกโรงเรียนแบบนี้มาก่อนเลย และผมก็รู้สึกแปลกใจกับตัวเองเป็นอย่างมากที่ตัวผมเองสามารถทำงานมาได้จนจบโดยไม่รู้สึกหมดไฟไปตั้งแต่กลางทาง
“อาซานางิ”
“…หืม”
“คนโดดเดียวแบบผม..ก็ทำอะไรแบบนี้ได้สินะ”
“ใช่แล้วล่ะ”
แม้แต่พวกไม่เข้าสังคมแบบผมก็สามารถทำอะไรแบบนี้ได้ถ้ามีความตั้งใจที่จะทำ
ดังนั้น มันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่อาซานางิ อุมิคนนี้จะทำไม่ได้
“เธอก็แค่ต้องทำตัวตรงไปตรงมาเหมือนทุกทีนั่นแหละ เชื่อมั่นในตัวเองเหมือนกับตอนที่เธอจับสลากในห้องเรียน…แค่นี้เธอก็จะสามารถเผชิญหน้ากับอามามิซังได้แล้วล่ะ”
“…อืม ฉันเข้าใจ…เข้าใจดีเลยล่ะ…แต่ว่า…ถ้า…มันคือความคิดที่ผิดล่ะ…”
ในขณะที่กำลังพูด อาซานางิก็ก้มหน้าลงพร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความวิตกกังวล
เนื่องจากผมอยู่ด้วยกันกับอาซานางิมาได้สักพักใหญ่ๆแล้ว จึงมีความเข้าใจในตัวของอาซานางิมากขึ้นทีละเล็กทีละน้อย…ถึงภายนอกเธอจะดูแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว แต่ก็มีบางครั้งที่อาซานางิแสดงด้านที่อ่อนแอและขี้ขลาดของตัวเธอออกมา
อาซานางิต้องคอยอ่านบรรยากาศรอบๆตัวของเธอและยังต้องคอยทำตัวเป็นฮีโร่ที่เสียสละตัวเองเพื่อคนอื่นอยู่ตลอดเวลา…สุดท้ายก็ต้องกลับมานั่งกังวลใจอยู่เพียงลำพัง
นี่เป็นอีกด้านหนึ่งของเด็กสาวที่ชื่อว่า…อาซานางิ อุมิ
“ฉันควรจะทำยังไงดี มาเอะฮาระ ตอนนี้ฉันกลัวมากจริงๆ ถ้าเกิดว่าทั้งยู ทั้งมาเอะฮาระได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้วเกิดเกลียดฉันขึ้นมา…ถ้าเป็นแบบนั้นฉันควรจะทำยังไง?”
ไม่น่าจะเป็นเพราะลมหนาวของฤดูใบไม้ร่วงที่ทำให้มือของอาซานางิที่กำลังกำไว้แน่นเกิดอาการสั่นเทา
มาจนถึงตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะรู้สึกเกลียดอาซานางิ และอาซานางิก็น่าจะรู้ดีในความจริงข้อนี้…แต่เธอก็ยังคิดถึงความเป็นไปได้ของคำว่า 「อาจจะ」อยู่ดี
ถึงอาซานางิกับผมดูเหมือนจะมีอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้พวกเราเหมือนอยู่กันคนละโลก แต่ผมคิดว่าเรานั้นมีนิสัยที่คล้ายกันเป็นอย่างมาก…ที่แตกต่างก็มีแค่จำนวนของผู้คนที่อยู่รายล้อมรอบตัวพวกเราแค่นั้นเอง
ทำไมนะ? ทั้งๆที่คล้ายกันแต่กลับต้องใช้เวลานานขนาดนี้กว่าที่จะได้มาเจอกัน
ไม่สิ…เพราะใช้เวลานานขนาดนี่ต่างหากถึงทำให้พวกเราสามารถกลายมาเป็นเพื่อนกันได้ในช่วงเวลาสั้นๆแบบตอนนี้ได้
“อาซานางิ ผมขออะไรเธอย่างนึงได้ไหม?”
“เอ๊ะ?”
“…แต่ถ้าเธอไม่ชอบก็ไม่เป็นอะไรนะ”
หลังจากนั้นผมก็เอื้อมมือไปหาอาซานางิก่อนจะพูดว่า
“ขอจับมือของเธอหน่อยได้ไหม?”
“เอ๊ะ? มะ มือ?”
บางทีคำพูดของผมคงเป็นสิ่งที่อาซานางิคาดไม่ถึง เธอกระพริบตาปริบๆในขณะที่มองมือของผมกับของเธอสลับกันไปมา
“ยะ-อย่าเข้าใจผิดล่ะ…มือของเธอดูเหมือนจะเย็น ก็เลยอยากช่วยทำให้มันอุ่นขึ้นเฉยๆหรอกนะ”
“…หรือว่า นายกำลังพยายามปลอบฉันอยูุ่งั้นเหรอ? อวดดีจังเลยนะ”
“อวดดีบ้านเธอสิ…แต่ถ้าเธอไม่อยากทำงั้นก็ไม่เป็นไร”
“ฉันไม่ได้บอกสักคำว่าจะไม่ทำ”
พูดจบอาซานางิก็จับมือของผมทันที
และก็เป็นอย่างที่คิดไว้…มือของอาซานางินั้นเย็นมาก
“…เฮะๆ”
“เป็นอะไรอีกล่ะนั่น”
“ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย…มือของมาเอะฮาระ มันอุ่นมากเลยล่ะ”
“แบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ…ผมหมายยถึงมือของอาซานางิเย็นเกินไปต่างหาก เหมือนว่าเธอจะกังวลเกินไปนะ”
“…นั่นสินะ ถ้างั้นฉันก็ต้องผ่อนคลายลงสักหน่อย”
ในขณะที่เรายังคงจับมือกันอยู่ อาซานางิก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับหายใจเข้าออกลึกๆหลายครั้ง
“ฮีบ…อืม ขอบคุณนะ ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นแล้วล่ะ”
“งั้นเหรอ…แบบนี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย”
“อืม”
มิอของอาซานางิที่เคยสั่นเทาได้สงบลงทำให้ผมคิดว่าถึงเวลาที่ต้องปล่อยมือแล้ว
“อาซานางิ มือ ปล่อยมือได้แล้วนะ”
“มะ-มาเอะฮาระนั้นแหละ ปล่อยมือได้แล้ว”
“…”
“…”
หลังจากเงียบกันไปซักพัก ผมก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างของอุณหภูมิจากมือของกันและกัน
“…เธอรู้อะไรไหม อาซานางิ”
“วะ-ว่าไง?”
“ดูเหมือนที่นี่อากาศจะหนาวกว่าที่คิด ผมคิดว่าเราสองคนทำแบบนี้ต่อไปอีกสักหน่อยได้มั้ย?”
“อะ-อืม…ใช่…จริงด้วย มันหนาวจริงๆ แล้วตอนนี้ก็มีแค่เราสองคน มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ”
ด้วยข้อแก้ตัวที่ดี เราทั้งคู่จึงตัดสินใจที่จะอยู่กันแบบนี้กันจนกว่าเวลานัดพบจะมาถึง
☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆
ปล. งานแปลแบบด่วนครับ เนื่องจากคิดงานไม่ออกก็เลยแอบแว็บมา(ฮา)
ปล2. ยังไม่ได้เช็คคำผิดกับสำนวนนะครับ ตอนแปลก็พิมพ์รัวๆไม่ค่อยได้กลับมาอ่านทวนอีกรอบ ถ้างานเสร็จแล้วจะมารีเช็คให้ครับ
ปล3. อาทิตย์หน้างานก็ยังสุมหัวอยู่ แต่ก็จะพยายามมาอัพให้นะครับ
Durimtok Channel
ขอบคุณที่ติดตามครับ