I Became Friends with the Second Cutest Girl in My Class - ตอนที่ 71
วันรุ่งขึ้น
ผมตัดสินใจว่าจะรายงานเรื่องต่างๆกับแม่
แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่อุมิแวะมาที่บ้านเมื่อวานแต่เป็นเรื่องของวันคริสต์มาสต่างหาก
ในตอนเช้าผมคลานออกมาจากฟูกนอน และเดินไปที่ห้องนั่งเล่น แล้วก็ได้พบกับแม่ที่เปลี่ยนเป็นชุดทำงานเรียบร้อยแล้วกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ และในมือของเธอยังมีบุหรี่อยู่ด้วย
“หายากเหมือนกันนะครับแม่”
“อรุณสวัสดิ์มากิ…อา โทษทีนะ เผลอไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรครับ แม่สูบได้ตามสบายเลย ว่าแต่ช่วงนี้งานยุ่งงั้นเหรอครับ?”
โดยปกติแม่จะไม่สูบบุหรี่ที่บ้านเพราะเป็นห่วงสุขภาพของผม ผมคิดว่าบางทีแม่คงจะไปสูบตอนที่อยู่ที่ทำงาน
แต่จำได้ว่าเมื่อปีที่แล้วผมก็เห็นแม่สูบบุหรี่ตอนอยู่ที่บ้านในช่วงนี้เหมือนกัน
“ปีนี้ก็ยุ่งอยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังถือว่าดีกว่าปีที่แล้วล่ะนะ”
แม่ตอบกลับมาหลังจากดับบุหรี่ด้วยที่เขี่ยบุหรี่ที่วางอยู่ใกล้ๆ
ถึงแม่จะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ดูเหมือนว่าแม่จะยังฝังใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วอยู่
ยังไงก็เถอะ อย่าไปพูดถึงเรื่องนั้นเลย
ผมไม่ได้ตั้งใจตื่นเช้ามาเพื่อพูดถึงเรื่องนั้นสักหน่อย
“แม่…เกี่ยวกับวันคริสต์มาส”
“! อา อุมิจังตอบว่าโอเคแล้วใช่ไหม?”
“อืม เรื่องมันมีอยู่ว่า…”
แล้วผมก็อธิบายแผนในวันคริสต์มาสให้แม่ฟัง
เนื่องจากงานงานปาร์ตี้คริสต์มาสเลิกค่อนข้างดึก และนอกจากนี้ไม่ใช่แค่อุมิที่จะมาที่บ้านของผม แต่พวกเรายังชวนอามามิซังมาด้วย
ดังนั้นพวกเราอาจจะอยู่เล่นด้วยกันไปจนถึงตอนดึกก็ได้
…และจากการพูดคุยกับอุมิในเรื่องนี้ สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจที่จะไม่นอนค้างคืนที่นี่ เนื่องจากว่าพวกเราชวนให้อามามิซังมาด้วยดังนั้นคงจะไม่สามารถปล่อยให้เธอกลับบ้านคนเดียวได้
และแน่นอนว่าเมื่อถึงเวลากลับบ้านผมก็จะไปส่งอุมิกับอามามิซังด้วยตัวเอง
และถึงผมจะพลาดโอกาสอยู่กับอุมิกันแบบสองต่อสอง…แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
“แค่อุมิจังคนเดียวแม่ก็รู้สึกดีใจมากแล้วแท้ๆ แต่นี่ลูกกลับพาสาวสวยผมบลอนด์มาเพิ่มด้วย…มากิ ตอนนี้ลูกมาถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้วสินะ”
“แม่กำลังคิดอะไรอยู่น่ะ? มันไม่ได้เป็นแบบที่แม่คิดสักหน่อย”
ผมไม่แน่ใจหรอกว่านี่คือจุดสูงสุดในชีวิตของผมจริงๆหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้มันคงจะไม่เกิดขึ้นอีกครั้งในอนาคตอย่างแน่นอน
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมให้ความสนใจกับอุมิ…แค่เพียงคนเดียวเท่านั้น
“แม่เข้าใจเรื่องที่ลูกจะบอกแล้วล่ะ ถ้าอย่างนั้นแม่จะติดต่อไปบอกอาซานางิซังเอง…แล้วถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆแม่จะยอมรับผิดแล้วขอโทษบ้านอาซานางิด้วยนิ้วก้อยของมากินะ”
“แล้วไหงมันถึงเป็นนิ้วของผมซะงั้นล่ะ?”
อย่างไรก็ตาม มันจะเกิดอะไรขึ้นหากในคืนนั้นอุมิต้องมานอนค้างโดยไม่ได้ตั้งใจ และพอพวกเรากลับไปที่บ้านของอาซานางิในตอนเช้า พวกเราก็บังเอิญเจอกับไดจิซัง ผู้ที่พึ่งใช้วันลาพักร้อนของเขากลับมาพักผ่อนอยู่ที่บ้านพอดี
ถึงจะเป็นแค่ในจินตนาการ ผมก็รู้สึกเย็นวาบไปที่ท้องน้อยอย่างช่วยไม่ได้
…จะว่าไป…ไดจิซังกับริคุซังนี่เป็นคนแบบไหนกันนะ
※
[ อาซานางิ ] : เอ๊ะ? อยากเห็นรูปพ่อกับพี่ชายของฉันงั้นเหรอ? ทำไมถึงอยากเห็นล่ะ?
[ มาเอะฮาระ ] : ก็แบบ…เผื่อบังเอิญไปเจอกันข้างนอกไง
[ อาซานางิ ] : นี่กำลังคิดอะไรแปลกๆอยู่หรือเปล่า?
[ อาซานางิ ] : แต่ช่างเถอะ
[ อาซานางิ ] : อ๊ะ แล้วอีกอย่างนะ ทุกคนในบ้านเคยเห็นรูปของมากิกันหมดแล้วล่ะ
[ มาเอะฮาระ ] : เหมือนใบประกาศล่าค่าหัวสินะ
เนื่องจากอุมิไม่มีรูปถ่ายเดี่ยวๆของไดจิซังกับริคุซังในโทรศัพท์ของเธอ อุมิจึงส่งรูปถ่ายทั้งครอบครัวที่ถ่ายตอนไปเที่ยวกันเมื่อปีที่แล้วให้ผมดู
[ อาซานางิ ] : คนตัวใหญ่ๆที่อยู่ตรงกลางคือพ่อของฉันเอง
สำหรับไดจิซังนั้นแทบจะเหมือนกับที่ผมจินตนาการเอาไว้ในหัวเลยล่ะ ชายตัวใหญ่ที่มีใบหน้าจริงจังกำลังยืนยิ้มพร้อมกับโพสท่าชูสองนิ้วอยู่ข้างๆโซระซัง
ถึงผมจะคิดว่าเขาดูเป็นคนดี…แต่ผมแน่ใจว่าเขาต้องเป็นคนที่เข้มงวดอย่างแน่นอน
ส่วนริคุซังผมเห็นไม่ชัดนักเพราะเขาไม่ได้มองกล้องบวกกับผมหน้าม้าที่ยาวลงมาปิดตาไปข้างนึง แต่เขาดูเป็นคนผอมบาง ส่วนสูงน้อยกว่าไดจิซัง…ดูแล้วน่าจะใกล้เคียงกับเซกิคุงมากกว่า
และเพราะรูปนี้พึ่งถูกถ่ายเมื่อปีที่แล้วทำให้อุมิกับโซระซังไม่ได้ดูเปลี่ยนไปมากนัก
[ อามามิ ] : ทำไมถึงส่งภาพครอบครัวของอุมิมาล่ะ? แต่ก็คิดถึงจัง!
[ อาซานางิ ] : มากิอยากเห็นหน้าพ่อกับพี่ชายของฉันน่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นเขาจะหลบหนีไม่ทันถ้าบังเอิญไปเจอกันที่ข้างนอก
[ มาเอะฮาระ ] : ไม่ได้จะหนีสักหน่อยเฟ้ย
[ อามามิ ] : อ๊ะ ถ้าอย่างนั้นฉันให้ดูรูปครอบครัวของฉันด้วยได้ไหมนะ?
[ อามามิ ] : นี่น่าจะเป็นรูปตอนที่ฉันพึ่งขึ้นม.ต้นล่ะ
นี่คือรูปถ่ายครอบครัวจริงๆเหรอ? มันเป็นรูปของอามามิซังตอนที่อยู่ม.หนึ่ง เธอดูเด็กกว่าตอนนี้มาก แต่เธอกลับดูเหมือนนางฟ้ามากกว่าตอนนี้ซะอีก
[ อามามิ ] : คนที่ยืนอยู่ข้างๆฉันคือคุณปู่กับคุณย่าซึ่งตอนนี้อาศัยอยู่ที่ต่างประเทศ ส่วนคนอื่นๆก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉันเอง
ไม่น่าแปลกใจเลยที่อามามิซังดูไม่ค่อยเหมือนคนญี่ปุ่น ในรูปมีเพียงสองคนที่มีผมสีดำซึ่งน่าจะเป็นย่ากับพ่อของเธอ ส่วนคนอื่นๆนอกจากนี้ต่างมีผมสีบลอนด์หรือไม่ก็สีเงินดูสวยงาม
[ อามามิ ] : จะว่าไปมากิคุงมีรูปถ่ายสมัยก่อนบ้างไหม? ฉันอยากรู้ว่ามากิคุงตอนเด็กๆดูเป็นยังไง! นี่…อุมิไม่คิดเหมือนกันเหรอ?”
[ อาซานางิ ] : จริงด้วย
[ อาซานางิ ] : มากิ ส่งมาเลยนะ
[ มาเอะฮาระ ] : ถึงจะบอกแบบนั้นก็เถอะ
[ มาเอะฮาระ ] : แต่ผมไม่ค่อยได้ถ่ายรูปหรอก ล่าสุดที่ถ่ายก็เป็นรูปรวมตอนงานเทศกาลโรงเรียนนั้นแหละนะ
[ อาซานางิ ] : อา~ อย่างนั้นเหรอ
[ อามามิ ] : ไม่มีพวกรูปตอนจบการศึกษาเลยหรอ?
[ มาเอะฮาระ ] : จะว่ายังไงดีล่ะ ผมจำได้ว่าไม่ได้เอามันมาด้วย ตอนนี้มันน่าจะยังอยู่ที่บ้านเก่าน่ะ
ทันทีที่ผมกดส่งข้อความออกไป ก็นึกขึ้นมาได้ว่ามันดูไม่ดีสักเท่าไหร่
บ้านเก่า…หรือจะพูดอีกอย่างก็คือบ้านที่ผมเคยอยู่ก่อนที่พ่อกับแม่จะหย่ากัน ผมไม่รู้ว่าตอนนี้มันเป็นยังไงเพราะผมย้ายมาอยู่กับแม่ และที่บ้านเก่ามีพ่อผมอาศัยอยู่เพียงคนเดียว
[ มาเอะฮาระ ] : อา โทษทีนะ
[ อามามิ ] : ไม่เป็นไรๆ เป็นเพราะฉันต่างหากที่ถามเรื่องแปลกๆออกไป
[ อามามิ ] : นี่ อุมิเองก็ขอโทษด้วยสิ?
[ อาซานางิ ] : แล้วทำไมยูถึงลากฉันเข้าไปด้วยล่ะเนี่ย
[ อาซานางิ ] : ขอโทษนะมากิ
[ มาเอะฮาระ ] : ไม่เป็นไร เดิมทีก็เป็นผมที่เป็นคนพูดออกไปเองด้วย
[ มาเอะฮาระ ] : เอาเถอะ เดี๋ยววันนี้ผมจะลองหาในตู้เสื้อผ้าดูแล้วกัน
[ มาเอะฮาระ ] :ถ้ามีผมจะส่งให้ดูนะ
[ อามามิ ] : จริงเหรอ? เยี่ยม…แต่ว่าดีจังเลยน้าอุมิ
[ อาซานางิ ] : ฉันไม่ได้อยากเห็นสักหน่อย
[ อามามิ ] : ปากแข็งอีกแล้วน้า~
[ อาซานางิ ] : ขอโทษที…มีเรื่องต้องไปทำนิดหน่อย ขอตัวไปก่อนนะ
ในขณะนั้นเสียงกริ่งพักกลางวันก็ดังขึ้น เสียงเบาๆที่เกิดจากการต่อสู้ระหว่างอามามิซังกับอุมิก็ดังขึ้นมาจากทางที่นั่งของทั้งสองคน
ตอนแรกผมกังวลว่าเรื่องที่ผมพูดไปอาจจะสร้างความไม่สบายใจให้กับทั้งสองคน แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองคนยังคงมีชีวิตชีวาดีอยู่ล่ะนะ
ว่าแต่พูดถึงรูปถ่ายสมัยก่อนงั้นเหรอ? เนื่องจากช่วงจบการศึกษาตอนม.ต้นกับช่วงย้ายบ้านมันคาบเกี่ยวกัน ทำให้ภาพถ่ายส่วนใหญ่ก็มีแค่ผมคนเดียว…ส่วนตอนจบชั้นประถมก็น่าจะอยู่ที่บ้านเก่า
ถ้าเป็นอย่างนั้น…ผมควรจะทำยังไงดีล่ะ?
ขณะที่ผมกำลังจะเดินออกจากห้องเรียนคนเดียวตามปกติพร้อมกับครุ่นคิดเรื่องดังกล่าว
“—-อะ อามามิ!”
เสียงดังของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นส่งผลให้ทั้งห้องเรียนตกอยู่ในความเงียบ
“มีเรื่องอยากคุยน่ะ ผมขอเวลานิดนึงได้ไหม?”
“เอ๊ะ? อะ-อือ ก็ได้อยู่หรอกนะ แต่ว่า…”
ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าของอามามิซังที่กำลังสับสนอยู่ในขณะนี้ก็คือเซกิคุง ผู้ที่เห็นได้ชัดว่ากำลังอยู่ในอาการประหม่าอย่างหนัก
เนื่องจากผมไม่ยอมให้ความร่วมมือ นั่นทำให้ผมรู้ว่าในที่สุดเหตุการณ์มันต้องออกมาในรูปแบบนี้ แต่พวกเราพึ่งจะคุยกันไปเมื่อวานนี้เองนะ…พอมาวันนี้นายก็เล่นเกมรุกใส่แบบนี้เลยงั้นเรอะ!
☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆