I Became Friends with the Second Cutest Girl in My Class - ตอนที่ 37 – ฉลากที่ว่างเปล่า
- Home
- I Became Friends with the Second Cutest Girl in My Class
- ตอนที่ 37 – ฉลากที่ว่างเปล่า
บทที่ 37 – ฉลากที่ว่างเปล่า
แม้ว่าผมจะผิดหวังกับการจับฉลากจนทำให้ตัวเองต้องกลายมาเป็นคณะกรรมการกิจกรรม แต่ผมก็เลือกตัดสินใจที่จะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาให้ดีที่สุดกับงานเทศกาลวัฒนธรรมที่กำลังจะมาถึง
เริ่มจากหัวข้อการจัดกิจกรรม จากข้อสรุปในที่ประชุม…ห้องของเราได้หัวข้อในการสร้างนิทรรศการขึ้นมา
แน่นอนว่ามีความคิดเห็นที่บอกว่าอยากทำบ้านผีสิงหรือเมดคาเฟ่อยู่ด้วย และเราเคยตัดสินใจที่จะทำเมดคาเฟ่กันไปแล้วครั้งนึง…แต่ห้องอื่นๆก็มีความคิดแบบเดียวกัน การมีกิจกรรมที่ซ้ำกันมากเกินไปไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ ดังนั้นเราจึงโดนบังคับให้เปลี่ยนหัวข้อใหม่
ผมตัดสินใจว่าอยากจะทำร้านกาแฟ แต่ยังไงก็ตาม…มันถูกตัดสินด้วยการจับฉลากว่าห้องไหนจะได้ทำอะไร และแน่นอนว่าผมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ถึงโอกาสจับได้หัวข้อที่ตนเองต้องการนั้นไม่ง่าย แต่ขนาดโอกาส 1 ใน 18 ผมก็เคยทำได้มาแล้ว ดังนั้นครั้งนี้ก็ไม่น่าจะพลาด…นี่เทพแห่งโชคชะตากำลังล้อกันเล่นใช่ไหม?
พวกเราถูกบังคับให้ทำกิจกรรมอื่น เพื่อนร่วมชั้นดูเหมือนจะผิดหวังกันมากโดยเฉพาะพวกเด็กผู้ชาย อาจจะเป็นเพราะว่าห้องของเรามีเด็กหน้าตาดีหลายคน เช่น อามามิซัง อาซานางิ นิตตะซัง และอีกหลายๆคน ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้เห็นพวกเธอในชุดคอสตูมสวยๆ
“เฮ้ๆ พวกโรคจิตที่อยู่ตรงนั้นน่ะ หยุดคร่ำครวญแล้วมาช่วยคิดไอเดียเกียวกับงานนิทรรศการสักที ถ้าพวกนายทุ่มเทให้มากกว่านี้ เราอาจจะมีการจัดให้สาวๆใส่ชุดคอสเพลย์ก็ได้นะ…เช่นยูกับนิน่าเป็นไง?”
“เอ๋~!? ทำไมมีแค่ฉันกับนิน่าล่ะ? แล้วอุมิล่ะ~?”
“ฉันต้องคอยทำงานเบื้องหลังไง ในฐานะโปรดิวเซอร์ ฉันมีหน้าที่ที่จะต้องพาพวกเธอสองคนไปสู่จุดสูงสุดในการโหวตคะแนนความนิยมของงานวัฒนธรรม…จริงมั้ย? มาเอะฮาระคุง?”
“เอ่อ…ขอปฏิเสธการออกความเห็นในเรื่องนี้ครับ”
ในช่วงเทศกาลวัฒนธรรมของโรงเรียนของเรา มีกิจกรรมหนึ่งที่จะให้ผู้เข้าชมสามารถลงคะแนนได้ว่าชอบกิจกรรมของชั้นเรียนไหนในงานเทศกาลมากที่สุด โดยที่โรงเรียนจะมอบรางวัลให้กับชั้นเรียนที่อยู่ในสามอันดับแรก โดยส่วนตัวแล้วผมไม่คิดว่ามันคุ้มค่าที่จะทุ่มความพยายามขนาดนั้น เพราะสุดท้ายของรางวัลที่จะได้ก็เป็นเพียงแค่พวกปากกาลูกลื่นหรืออะไรทำนองนั้นเท่านั้น
เราไม่จำเป็นต้องทุ่มเทมากจนบั่นทอนร่างกายและจิตใจ เราสามารถทำแค่พอประมาณก็เพียงพอแล้ว ยกเว้นแต่ว่ามันจะมีสถานการณ์พิเศษบางอย่างเกิดขึ้น
ก่อนอื่นขอตัดประเด็นเรื่องการคอสเพลย์ออกไปก่อน พวกเราควรจะตัดสินใจเกี่ยวกับเนื้อหาของการจัดนิทรรศการเป็นจุดประสงค์แรก
“…เอาล่ะ ก่อนอื่นเลย เรามาคุยกันเกี่ยวกับสิ่งที่เราจะนำมาจัดแสดงในนิทรรศการกันดีกว่า มาเอะฮาระคุงได้เสนอเกี่ยวกับการทำ「ศิลปะโมเสกโดยใช้กระป๋องเปล่า」มาน่ะ”
มีความคิดเห็นที่หลากหลายที่เพื่อนๆในชั้นต่างช่วยแนะนำกันเข้ามา เช่น การสร้างอุปกรณ์บางอย่างจากสิ่งที่เห็นในรายการทีวี หรือการสร้างโดมิโนโดยใช้ทั้งห้องเรียนในการทำ เป็นต้น แต่ด้วยงบประมาณที่มีค่อนข้างจำกัด และการประเมินอันดับโดยรวมที่ใช้ภาพถ่ายเป็นสื่อในการนำเสนอ ในท้ายที่สุด…พวกเราก็ตัดสินใจทำศิลปะโมเสกจากกระป๋องเปล่าตามคำแนะนำของผม
เราต้องมีการร่างภาพที่จะใช้เป็นต้นแบบในการทำ แต่ปัญหาเรื่องนี้ผมก็สามารถขอความช่วยเหลือจากแม่ได้อยู่แล้ว เลยไม่ได้กังวลอะไรมาก ส่วนวัสดุอื่นๆที่ใช้ในการทำ เช่น กระป๋องเปล่า หรือ กระดาษลัง เราก็สามารถขอความร่วมมือได้จากร้านสะดวกซื้อหรือร้านอาหารที่อยู่ในบริเวณใกล้ๆได้
ภาพต้นแบบจะถูกรับผิดชอบโดยผมกับอาซานางิ และทุกคนในชั้นเรียนจะต้องค่อยช่วยงานตามคำแนะนำของเรา…นั่นคือบทสรุปของการอภิปรายในวันนี้
“…เหนื่อยจัง…”
ในตอนที่ทำทุกอย่างที่ต้องทำในวันนี้เสร็จแล้ว ผมก็ฟุบตัวลงไปบนโต๊ะด้วยความเหน็ดเหนื่อย
ผมตัดสินใจว่าจะตั้งใจทำอย่างเต็มที่ในตอนที่ผมจับฉลากและได้มาเป็นตัวแทนห้อง แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะเหนื่อยขนาดนี้กับการที่ต้องมายื่นอยู่ต่อหน้าคนอื่นๆในห้อง ทั้งๆที่คนนำการประชุมในครั้งนี้เป็นอาซานางิ และผมก็มีหน้าที่แค่คอยสนับสนุนเท่านั้นก็ตาม…ดูเหมือนว่าการที่ผมปล่อยปละละเลยร่างกายของตัวเองจะมีผลกระทบมากกว่าที่คิด
“โย่ ขอบคุณที่เหนื่อยนะ”
“เธอเองก็เหมือนกัน…”
“โม่~ อะไรกันน่ะ…การประชุมครั้งแรกมันเหนื่อยขนาดนั้นเลยหรอ? ถ้าเป็นแบบนี้…กว่างานโรงเรียนจะจบผมของนายจะไม่กลายเป็นสีขาวไปหมดเลยรึไง?”
“ไม่รู้สิ…บางทีอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะ”
การทำงานศิลปะแบบโมเสกนั้นอาจจะใช้งบประมาณไม่มากก็จริง แต่ปริมาณงานที่ต้องทำนั้นค่อนข้างเยอะ
ผมพยายามที่จะจัดตารางเวลาเพื่อที่จะไม่ให้การทำงานกิจกรรมไปเป็นภาระกับทุกคนในชั้นเรียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่จากประสบการณ์ ถ้าเราทำแบบนี้การทำงานจะล่าช้าอย่างมาก และสุดท้าย…งานที่เหลือส่วนใหญ่ก็จะไปกองรวมกันอยู่ในวันสุดท้ายก่อนวันเริ่มงานจริง
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม…ถ้าจู่ๆได้รับมอบหมายให้มารับผิดชอบการจัดกิจกรรมในงานเทศกาลวัฒนธรรมของโรงเรียนที่จะจัดขึ้นทุกๆสองปีครั้งโดยไม่มีประสบการณ์มาก่อนแบบนี้…สุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องมานั่งทำงานกันตอนหลังเลิกเรียนอยู่ดี
“แต่ผมรู้สึกดีใจจริงๆนะที่ได้อาซานางิมาเป็นคู่หู…ถ้าหากคนที่มาทำงานด้วยกลายเป็นนิตตะซังหรือผู้หญิงคนอื่น ผมคงทำแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”
ต้องขอบคุณที่อาซานางิได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของฝั่งผู้หญิง อามามิซังกับนิตตะซังจึงให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลด้วยเหมือนกัน
“ใช่ไหมล่ะ ต้องขอบคุณความโชคดีอันน่าอัศจรรย์ของฉันล่ะนะ…จริงสิ…ฉันมีของขวัญให้นายด้วย มาเอะฮาระ”
“?”
สิ่งที่อาซานางิมอบให้ผมก็คือกระดาษขาวยับยู่ยี่แผ่นหนึ่งที่ด้านในนั้นว่างเปล่าไม่มีอะไรเขียนไว้เลย
“นี่คืออะไรน่ะ?”
“…สลากที่ฉันจับได้ไง”
ภาพเหตุการณ์ที่อาซานางิทำการบังคับให้อาจารย์เลือกตัวเองเป็นตัวแทนปรากฏขึ้นมาในหัว…ดูเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“! อาซานางิ หรือว่าเธอ…”
“ขอโทษนะ มาเอะฮาระ การจับสลากของฉันมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่แน่นอนว่าอาจารย์ก็รู้…แต่ฉันดันไปบังคับเธอซะได้”
อาจารย์คงเลือกที่จะเงียบไว้เพราะว่าบรรยากาศของห้องเรียนในตอนนั้นแย่มากๆ แล้วพอสถานการณ์เป็นแบบนั้น…อาซานางิก็เลยถูกบังคับให้อาสาเป็นตัวแทนห้องสินะ
ตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญที่ทั้งผมและอาซานางิจับได้อะตาริด้วยกันทั้งคู่ แต่ดูเหมือนความจริงจะไม่ได้เป็นแบบนั้น
“ไม่อยากจะเชื่อ ทั้งๆที่บรรยากาศแย่ขนาดนั้น…แต่เธอก็ยังสามารถทำแบบนั้นได้”
“…มาเอะฮาระ นายไม่โกรธหรอ? ตอนนั้น…ฉันก็หลอกลวงนายด้วยนะ…”
“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจับฉลากหรืออะไรก็ตาม แต่ในเมื่อทุกคนสามารถยอมรับได้…มันก็ดีแล้วนี่”
สำหรับผู้หญิงคนอื่นในชั้นเรียนพวกเธออาจจะคิดว่า การจับสลากได้อะตาริ = งานกรรมการที่ยากลำบาก + การที่ต้องมาเป็นคู่หูของผม ดังนั้นพวกเธอจึงรู้สึกโล่งใจที่อาซานางิมารับบทบาทนี้แทนตัวเอง
ผมไม่ได้สนใจว่าเรื่องนี้คือความไม่ยุติธรรมหรืออะไร แต่ผมกลับรู้สึกเสียใจที่ทำให้อาซานางิต้องมาเป็นห่วงอีกครั้งมากกว่า
“สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับอาซานางิมีแค่อย่างเดียว…ผมดีใจที่อาซานางิได้มาเป็นตัวแทนห้องนะ”
ถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมา คนที่เดือดร้อนน่าจะเป็นอาซานางิมากกว่าที่จะเป็นผม…แต่พอเป็นแบบนี้ผมก็เลยคิดว่ามันดีแล้วล่ะ
ถึงวิธีของอาซานางิอาจจะแตกต่างกับวิธีของอามามิซังโดยสิ้นเชิง…แต่ว่า…ผมก็ไม่ได้ไม่ชอบวิธีของเธอสักหน่อยนี่
“…งั้นเหรอ”
“อืม แบบนั้นแหละ”
“แบบนั้นเองสินะ…อืม เข้าใจแล้ว ขอบคุณนะมาเอะฮาระ ตอนนี้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นนิดหน่อยแล้วล่ะ”
“งั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะ”
“อืม ฮะๆ”
เมื่อพูดอย่างนั้น อาซานางิก็หัวเราะออกมาด้วยท่าทางโล่งใจ
ใบหน้าของอาซานางิในตอนนี้ดูน่ารักมากจนผมต้องหันไปมองทางด้วยความเขินอาย
ผมคิดว่าถ้าอาซานางิแสดงด้านนี้ของตัวเธอเองมากกว่านี้ เธออาจจะโด่งดังพอๆกับอามามิซังเลยก็ได้…แต่แน่นอนว่าผมไม่มีทางบอกเธอหรอกนะ…มันออกจะน่าอายเกินไปหน่อย
“อ๊ะ ยังไงก็เถอะ รอบนี้โชคดีที่อะตาริไม่ออกมาก่อนที่จะเกิดเรื่อง…แต่ว่านะ…ถ้าอะตาริออกมาก่อนเธอจะทำยังไงล่ะ?”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันว่าจะไปอาสาแทนคนที่จับได้ในตอนหลังน่ะ นายก็น่าจะรู้ตัวนะ ว่าสำหรับชั้นเรียนแล้วตัวตนของมาเอะฮาระเปรียบเหมือนกับพวกสารเคมีอันตรายน่ะ ฉันแน่ใจว่านักเรียนคนอื่นคงทนนายไม่ไหวหรอก”
“นี่เห็นผมเป็นก๊าซพิษรึไง?…แต่เอาเถอะ ยังไงก็เคยก่อเรื่องแย่ๆมาก่อนจริงๆนั่นล่ะนะ”
สุดท้ายผมก็เป็นคนประเภทที่อยู่ดีๆก็ไปพูดกับกลุ่มของอามามิซังว่า「ผมคงไม่สามารถไปเที่ยวเล่นกับคนที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบผมได้น่ะ」อยู่ดี
ผมไม่แน่ใจว่ามันกลายมาเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ดูเหมือนจะมีเพียงอาซานางิที่เป็น「เพื่อนของผม」เพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถจัดการกับผมได้
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ เรามาคิดเกี่ยวกับเรื่องภาพวาดที่จะเอามาเป็นต้นแบบกันดีกว่า…อาซานางิมีไอเดียอะไรบ้างไหม?”
“มีในใจอยู่แล้วล่ะ…แล้วมาเอะฮาระล่ะ?”
“…ผมก็มีเหมือนกัน”
ช่วงนี้เราอยู่ด้วยกันบ่อยๆ บางทีคำตอบของเราอาจจะเหมือนกันก็ได้
“ถ้างั้น ลองพูดพร้อมกันไหม?”
“จัดไป”
“”เอาล่ะนะ สาม สอง หนึ่ง…””
และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของงานเทศกาลวัฒนธรรมของผมกับอาซานางิ
☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆
ปล. ตอนที่ 1/2 อีกตอนใกล้เสร็จแล้วครับ แต่เนื่องจากทำภาพประกอบไว้ ไอเราจะรวบเอามาลงรวดเดียวก็เลยเสียดาย งั้นขอลงก่อนสัก 1 ตอนแล้วกันนะครับ
ปล2. ลองปรับวิธีแปลใหม่ พวกคำศัพท์อาจจะไม่ได้ตรงเปะตามต้นฉบับมาก แต่เลือกแปลแบบไม่ให้ความหมายผิดเพี้ยนมากนะครับ ลองติชมกันได้ แต่แปลแบบนี้ทำให้แปลได้ไวขึ้นเยอะเลยครับ