I Became Friends with the Second Cutest Girl in My Class - ตอนที่ 48 – พบกับเพื่อนเก่า
- Home
- I Became Friends with the Second Cutest Girl in My Class
- ตอนที่ 48 – พบกับเพื่อนเก่า
เสียงกริ่งของโรงเรียนดังขึ้นพร้อมไปกับท้องฟ้าอันปลอดโปร่งของฤดูใบไม้ร่วง เป็นสัญญาณเริ่มต้นของงานเทศกาลวัฒนธรรมโรงเรียน
งานเทศกาลวัฒนธรรมของโรงเรียนถูกจัดขึ้นในทุกๆปีและยังถือว่าเป็นงานกิจกรรมขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ด้วย และทางคณะกรรมการก็ยังได้จัดทำใบปลิวนำไปติดประกาศไว้ตามสถานีรถไฟกับแถวๆย่านใจกลางเมืองด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีบรรดาศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงก็มาช่วยโปรโมตงานกิจกรรมผ่านทางโซเชียลมีเดีย แถมยังมาช่วยจัดมินิคอนเสิร์ตเล็กๆให้อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ทำให้ถึงแม้ว่างานจะพึ่งเริ่ม…แต่บริเวณโรงเรียนก็เต็มไปด้วยนักเรียนจากโรงเรียนอื่นและชาวบ้านที่อาศัยอยู่ละแวกนี้อีกจำนวนมาก
“มาเอะฮาระ นายไหวแน่นะ? ถ้ายังง่วงอยู่ อาจารย์ยางิซาวะบอกว่าอนุญาตให้นายไปนอนพักที่ห้องพยาบาลได้นะ”
“ถ้าไปนอนตอนนี้ละก็มันคงจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดังนั้นตอนนี้คงจะยังนอนไม่ได้จนกว่างานเทศกาลจะจบนั่นแหละ…แล้วยังมีหน้าที่เดินตรวจดูความเรียบร้อยของงานรออยู่ด้วย…ยังไงก็เถอะ…นี่ก็เป็นงานวัฒนธรรมล่ะนะ…ดั้งนั้นสนุกไปกับมันกันดีกว่า”
คณะกรรมการทุกคนรวมทั้งผมและอาซานางิด้วยจะต้องสวมปลอกแขนสีเขียวและต้องคอยเดินตรวจตราไปรอบๆบริเวณโรงเรียน…และถึงแม้จะเรียกว่าการเดินตรวจตรา แต่ความจริงเราก็ยังสามารถสนุกไปกับงานเทศกาลได้ เราสามารถเข้าไปชมดูการจัดแสดงหรือกิจกรรมต่างๆได้อย่างอิสระตราบใดที่เราไม่แสดงพฤติกรรมที่ดูไม่ดี เช่น การเดินไปกินไปในขณะที่กำลังเดินตรวจตราอยู่ เป็นต้น
“อ๊ะ มากิคุง อุมิ ทางนี้ ทางนี้~!”
“อือ กำลังจะไปหาพอดีเลย!…มาเอะฮาระ ตอนที่เดินกับพวกยู นายต้องพยายามให้เต็มที่แล้วก็อย่าได้ประหม่าเชียวล่ะ”
“…รับทราบ”
ตอนแรกผมคิดว่าจะไปเดินดูรอบๆคนเดียว แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจที่จะเดินไปพร้อมกับกลุ่มของอามามิซัง
ทุกคนดูกระปรี้กระเปร่ามาก…ถึงแม้จะพึ่งผ่านการทำงานหนักจนแทบไม่ได้นอนเหมือนกับผมและอาซานางิ
เมื่อลองถามดู พวกเธอก็บอกว่าเคยทำงานโต้รุ่งแบบนี้กันบ่อยๆตั้งแต่สมันม.ต้นแล้วก็เลยไม่ค่อยรู้สึกอะไรเท่าไหร่…นี่คงจะเป็นความต่างของประสบการณ์สินะ ว่าแต่พวกเธอเติบโตมาแบบไหนกันล่ะเนี่ย?
“เอาล่ะ เมื่ออุมิกับมากิคุงมาครบแล้ว พวกเรามาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันดีกว่า”
“ถ่ายรูป?…งั้นไปถ่ายคู่กับผลงานที่พวกเราช่วยกันทำมาดีไหม?”
“ดีสิ! ยังไงมันก็เป็นงานที่พวกเราช่วยกันทำขึ้นมาเลยนะ มันต้องเป็นความทรงจำที่ดีแน่ๆเลยล่ะ”
จะว่าไป…จนถึงตอนนี้ผมเคยเห็นแต่ภาพถ่ายที่พวกเพื่อนๆในห้องส่งมาให้ดู แต่ผมยังไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเองเลยสินะ แล้วอีกอย่างตัวผมเองก็เป็นแกนนำในการทำงานนี้ด้วย มันคงจะรู้สึกดีมากแน่ๆที่จะได้เห็นงานที่ตัวเองทุ่มเททำมันขึ้นมาด้วยตาตัวเอง
แต่ว่านะ…วันนี้ดูเหมือนอามามิซังจะดูตื่นเต้นมากกว่าปกตินิดหน่อย…บางทีอาจจะเป็นเพราะเธอตื่นเต้นไปกับงานเทศกาลวัฒนธรรมที่จัดขึ้นทุกๆสองปีก็ได้ แล้วอีกอย่าง…วันนี้ก็เป็นวันแห่ง「คำสัญญา」ด้วย
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ผมเลือกที่จะเดินไปพร้อมกับอาซานางิและอามามิซัง…อาซานางิบอกกับผมว่า「รู้สึกประหม่ามาก」แต่ตัวผมเองก็รู้สึกประหม่าเหมือนกัน
“โธ่ ยัยยู…ไม่เห็นต้องพยายามขนาดนั้นสักหน่อย”
“อาซานางิ? อามามิซังเป็นอะไรงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่คิดว่ายูในตอนนี้กำลังฝืนทำตัวเองให้ดูร่าเริงอยู่น่ะสิ”
“งั้นเหรอ? สำหรับผมอามามิซังก็ดูปกติดีนะ…ดูไม่ออกเลยแฮะ”
อามามิซังเดินนำอยู่ด้านหน้าในขณะที่กำลังฮัมเพลงด้วยท่าทางอารมณ์ดี แต่อาซานางิเพื่อนสนิทของอามามิซังดูเหมือนจะไม่ได้คิดอย่างนั้น
“ยูมีนิสัยแบบนี้แหละ พยายามฝืนบังคับตัวเองให้ดูร่าเริงเพื่อปิดบังความกังวลของตัวเองเอาไว้…แต่มันค่อนข้างหายากนะที่ยูจะอยู่ในสภาพนี้…ที่นึกออกก็มีแค่ตอนสอบเข้ากับตอนงานกิจกรรมครั้งสุดท้ายช่วงที่อยู่ม.ต้นแค่นั้นเอง”
“พยายามทำตัวให้เข้มแข็งอย่างงั้นเหรอ?”
“อืม”
หมายความว่า…แม้แต่อามามิซังก็ยังรู้สึกประหม่าได้
แม้แต่ดาวเด่นที่สุดในชั้นเรียนที่ยิ้มแย้มอยู่เสมอก็ยังมีมุมแบบนี้…การเข้าสังคมนั้นลำบากขนาดไหน…ผมพึ่งจะเข้าใจในตอนนี้นี่เอง
ถ้าอย่างนั้น…การเป็นพวกโดดเดี่ยวอาจจะดีกว่าก็ได้…
ทั้งผม อาซานางิ อามามิซัง รวมถึงคนอื่นๆด้วย
“ยูชิน ไปตรงนั่นกันเถอะ! ตรงนั้นน่าจะถ่ายรูปแล้วเห็นพวกเราทุกคนพร้อมกับเห็นงานศิลปะทั้งหมดด้วย!”
“นั่นสินะ! นี่ทุกคน~ ช่วยมารวมกันตรงนี่หน่อย~! จะถ่ายรูปรวมกันแล้วน้า~!”
เมื่อตัดสินใจเลือกสถานที่ถ่ายรูปเรียบร้อยแล้ว นิตตะซังที่ดูเหมือนจะทำหน้าที่เป็นตากล้องก็ทำการจัดแถวให้ทุกคน
นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของผมในการถ่ายรูปหมู่ที่ไม่ใช่ตอนพิธีเปิดการศึกษาหรือตอนพิธีจบการศึกษา
“มานี่เลย ตัวแทนคุง! ที่ของนายอยู่ตรงกลางนี่”
“นิตตะซัง…นั่นกำลังคุยกับผมใช่ไหม?”
“จะมีใครนอกจากนายอีกรึไง งานวันนี้นายเป็นพระเอกนะ”
เพราะรู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นคนถ่ายรูปไม่ขึ้น ผมจึงกำลังเดินไปหลบตรงมุมเพื่อไม่ให้ตัวเองดูเด่นแต่ก็โดนนิตตะซังทักขึ้นมาซะก่อน
จริงอยู่ที่การจัดนิทรรศการครั้งนี้อิงจากความคิดของผมเป็นหลัก ดังนั้นจะเรียกว่าผมเป็นพระเอกก็ไม่ผิดซะทีเดียว
“เอาล่ะ เอาล่ะ มากิคุง ไม่ต้องอายนะ~ รีบมาได้แล้ว~”
“มาเอะฮาระคุง เอาล่ะ…มายืนตรงนี้มา”
ตำแหน่งของผมอยู่ตรงกลางระหว่างอาซานางิกับอามามิซัง
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือผมถูกประกบด้วยสาวน่ารักอันดับหนึ่งและสองของชั้นเรียน
…แน่นอนว่าสายตาของนักเรียนชายคนอื่นๆเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเนื่องจากความอิจฉา
ดูเหมือนว่าผมจะไม่มีทางเลือก ได้แต่เดินไปตรงกลางของทั้งคู่ตามคำสั่ง
“โอเค! ฉันจะถ่ายรูปละน้า~ แต่ก่อนหน้านั้น…พระเอกคุง…ใส่อันนี้ด้วย”
“เอ๊ะ? นั่นมันอะไร? สายสะพาย?”
บางทีพวกเขาน่าจะไปซื้อมันมาตอนที่ออกไปซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติมจากร้านร้อยเยน แล้วนอกจากนี้บนสายสะพายยังมีคำว่า「พระเอกของวันนี้」ตัวเบ่อเริ่มเขียนไว้ด้วย
“โอ้ ฉันชอบแฮะ! มากิคุง ใส่แล้วมาถ่ายรูปกันเถอะ! มันดูเท่มากเลยล่ะ จริงไหมอุมิ?”
“อุ๊ฟ…ใช่เลย มันดูเท่เหมือนที่ยูบอกนั่นแหละ…มาเอะฮาระคุงเท่สุดๆ”
“…ยัยบ้านี่”
ผมแอบพูดเบาๆที่หูของอาซานางิ
มันค่อนข้างน่าสิ้นหวังที่นอกจากอามามิซังแล้ว อาซานางิก็เล่นตามน้ำไปด้วย…ฝากไว้ก่อนเถอะ!
“เอาล่ะ จะถ่ายแล้วน้า~! งานวัฒนธรรมโรงเรียนของปีหนึ่งห้องสาม…พระเอกของงานก็คือ~?”
「「「หมอนี่~~!!!」」」
นี่พวกนายนัดกันมาใช่ไหม? ทุกคนยกเว้นตัวผมเองต่างพร้อมใจกันโพสท่าชี้มาที่ผมกันหมดทุกคนอย่างพร้อมเพรียง
ถึงแม้ผมจะรู้สึกเครียดๆมาตลอดทั้งคืน แต่สิ่งนี้กลับทำให้อารมณ์ของผมดีขึ้นได้อย่างน่าประหลาดใจ…และในอนาคต…พอผมได้ลองมองย้อนกลับมาถึงเรื่องนี้ทีไรมันก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทุกครั้ง
เมื่อพวกเราโตขึ้นและแยกย้ายกันไปตามทาง…ภาพถ่ายนี้จะกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้มองมาที่รูปนี้
หลังจากที่พวกเราถ่ายรูปกันเสร็จเรียบร้อย ในที่สุดผมก็ถูกปล่อยจากการเป็น「พระเอกของวันนี้」สักที และสุดท้ายผมก็ตัดสินใจที่จะไปเดินตรวจตรางานโรงเรียนกับอาซานางิและอามามิซัง
ตอนแรกผมคิดว่าสมาชิกกลุ่มคนอื่นๆของอามามิซัง เช่น นิตตะซังหรือซากิคุงจะมากับพวกเราด้วย แต่ดูเหมือนว่าวันนี้พวกเขาจะมีเพื่อนเก่าจากโรงเรียนสมัยม.ต้นแวะมาหา ก็เลยทำให้หลังจากถ่ายรูปเสร็จพวกเราต่างกระจายตัวกันออกไป
“มาเอะฮาระ ลำบากหน่อยนะ อะนี่…น้ำผลไม้”
“อืม ขอบคุณนะ”
(TL:จริงๆอยากให้มาเอะฮาระพูดแบบเป็นกันเองเหมือนกันนะครับ เช่น ขอบใจนะ อะไรแบบนี้ แต่เนื่องจากตัวอักษรมันออกเสียงไม่ได้ จึงไม่รู้ว่าจริงๆพูดด้วยน้ำเสียงแบบไหน แล้วอีกอย่างบักมาเอะฮาระคุงก็ชอบใช้คำสุภาพกับคนอื่น แถมชอบพูดว่าผมด้วยก็เลยเอาแบบนี้ไปก่อนนะครับ…แต่หลังๆน่าจะมีเปลี่ยนบริบทบ้างแหละ)
เนื่องจากพวกเรายังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า พวกเราจึงตัดสินใจหยุดพักในสถานที่ที่ไม่ค่อยมีคนและถือโอกาสนี้กินข้าวเช้าในช่วงสายๆไปในตัว
“แล้วอามามิซังล่ะ?”
“เธอไปรับผิดชอบเรื่องอาหารน่ะ แต่ตอนนี้คนแน่นมาก คงใช้เวลาอีกสักพักล่ะนะกว่าจะกลับมา ดังนั้นดื่มน้ำผลไม้นี่รอไปก่อนนะ”
ผมนั่งลงบนม้านั่งและจิบน้ำผลไม้ที่อาซานางิซื้อมา
(TL: ผมล่ะชอบพวกคำศัพท์ที่ใช้ตัวอักษรคาตาคานะจริงๆ แบบว่าตอนอ่านทีนึงก็ต้องมานั่งนึกว่ามันคืออะไรตลอด เช่นอันนี้ パイプ椅子 = ไปปุอิซึ = เก้าอี้ทำจากท่อไปป์…จ้า 555+)
มันเป็นน้ำผลไม้แบบอัดลม ดังนั้นรสชาติของมันจึงไม่เหมือนกับโค้ก และเนื่องจากมันเป็นรสผลไม้แบบปรุงแต่งเลียนแบบธรรมชาติ รสของมันจึงค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์
“อ๊ะ นี่มันเมล่อนโซดาใช่ไหม?”
“ใช่ ฉันไม่เคยกินอันนี้เหมือนกัน แต่ก็คิดขึ้นมาได้ว่า…ทำไมเราถึงไม่ลองกินมันดูล่ะ?”
“เข้าใจล่ะ ถึงจะไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ แต่ผมชอบตรงที่มันเป็นสีเขียวนี่แหละ”
“แล้วก็โดยเฉพาะอันที่ขายที่โรงหนัง…อ๊ะ มาเอะฮาระ ปกตินายชอบไปดูหนังที่โรงหนังไหม?”
“ไม่ใช่ว่าไม่ชอบหรอก ปกติถ้าไม่ใช่เรื่องที่อยากดูจริงๆก็จะรอจนกว่าแผ่น BD<<Blu-Ray>> จะออกแล้วค่อยไปเช่ามาดูน่ะ”
ผมชอบไปดูหนังที่โรงหนังนะ แต่จะให้ไปดูคนเดียวมันก็ยังไงอยู่
แน่นอนว่ายังมีคนที่มาดูหนังคนเดียวอยู่บ้าง แต่คนส่วนใหญ่มักจะมาดูกับกลุ่มเพื่อนหรือไม่ก็เป็นพวกที่มาเป็นคู่ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นแฟนกัน ดังนั้นมันจึงรู้สึกว่าการไปดูคนเดียวเหมือนกับตัวเราไปอยู่ผิดที่ผิดทางล่ะนะ
“หรือว่าปกตินายจะไปดูกับคนอื่น…เป็นไปไม่ได้แน่นอน”
“อย่ามาดูถูกกันนะเฟ้ย…แต่ก็จริงของเธอล่ะนะ…”
ถ้าผมไปดูหนังที่โรงหนังกับคนอื่น มีโอกาสสูงมากที่ผมจะอินไปกับหนังและสร้างความลำบากใจให้กับคนที่ไปด้วยได้ ดังนั้นการไปดูหนังคนเดียวจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าสำหรับตัวผมเอง
“หื~ม นั่นสินะ….ถ้าอย่างนั้นทำไมเราไม่ไปดูหนังด้วยกันตอนวันหยุดครั้งถัดไปล่ะ?”
“ที่โรงหนังงั้นเหรอ? มีเรื่องแนะนำไหมล่ะ ตอนช่วงวันหยุดว่างพะ…เดี๋ยวก่อนนะ…”
ตอนที่ผมกำลังจะตอบเห็นด้วยกับอาซานางิ ผมก็คิดเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนที่ผมจะหยุดพูดไปกลางคัน
วันหยุดครั้งถัดไป? แค่สองคน? ไปดูหนัง?
เป็นเรื่องปกติที่ผมกับอาซานางิจะมาเล่นด้วยกัน แต่ว่าเราไม่เคยนัดกันออกไปเที่ยวในวันหยุดมาก่อน
…อาเระ?
อาซานางิ หรือว่า…มันก็คือ…
“เอ่อ คือว่านะ…อาซานางิ เรื่องนั้น”
“อะ-อืม…นายวะ…”
“…ขอโทษนะ อุมิ มากิคุง! พอดีเจอหลายๆเรื่องก็เลยมาช้าไปหน่อย!”
“”……””
ก่อนที่อาซานางิจะพูด เสียงของอามามิซังก็ดังเข้ามาขัดเสียก่อน
ผมไม่รู้ว่าจะพูดว่าอามามิซังมาได้จังหวะพอดีหรือไม่ดีกันแน่?
อาซานางิที่กำลังรอคำตอบจากผมอยู่ก็พลอยทำสีหน้างี่เง่าออกมาเหมือนกัน
“ยู เธอมาช้าเกินไปแล้ว!”
“ขอโทษนะอุมิ! พอดีคุยเพลินไปหน่อย…เฮ้~ ทั้งสองคน ทางนี้ ทางนี้~!”
หลังจากที่อามามิซังตะโกนและโบกมือเรียก ก็มีนักเรียนหญิงสองคนที่อยู่ในเครื่องแบบโรงเรียนอื่นปรากฏตัวขึ้น
ทั้งสองเป็นเด็กสาวที่มีบรรยากาศแบบลูกคุณหนู…บางทีล่ะนะ…
“อ๊ะ ขอแนะนำให้รู้จักนะ มากิคุง ทั้งสองคนเป็นเพื่อนของฉันกับอุมิตั้งแต่สมัยเราเรียนอยู่ชั้นประถม…”
“…ไม่ใช่หรอก ยู”
ทันทีที่อาซานางิที่เห็นการปรากฏตัวของเพื่อนทั้งสองคน เธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ
“ทั้งสองคนเป็น「เพื่อน」ของยู แต่ไม่ใช่สำหรับฉันหรอก…เพราะทั้งสองคนไม่มีใครมองว่าฉันเป็น「เพื่อน」ของพวกเธออยู่แล้ว…ใช่ไหมล่ะ”
“เอ๊ะ? เอ่อ….”
ดูเหมือนว่าอามามิซังจะได้ยินสิ่งที่อาซานางิพูด และสังเกตเห็นท่าทางของทั้งสองสาวที่ทำหน้าแข็งทื่อทันทีที่สังเกตุเห็นอาซานางิ
“อาซานางิ ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“อืม…ถึงจะเร็วกว่าที่วางแผนไว้นิดหน่อยก็เถอะ แต่ว่า…มาเอะฮาระ นายช่วยฟังเรื่องของฉันหน่อยได้ไหม…เรื่องปมด้อยเล็กๆของฉันคนนี้…”
☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆
ปล. อีกตอนดึกๆนะครับ
ปล2. ยังไม่ได้เช็คคำผิด ถ้าเจอแจ้งไว้ที่คอมเม้น หรือจะ DM มาก็ได้ครับที่ Durimtok Channel