I Became Friends with the Second Cutest Girl in My Class - ตอนที่ 62
เหตุการณ์นั้นมันเกิดขึ้นในช่วงกลางฤดูหนาวในตอนที่ผมยังเรียนอยู่ชั้นม.3
ถ้าผมจำไม่ผิดมันน่าจะอยู่ในช่วงใกล้ๆคริสต์มาสพอดีล่ะมั้ง? เพราะในวันนั้น…ตอนที่พ่อกับแม่หย่ากันมันเป็นวันที่มีหิมะตก
เหตุผลของการหย่าร้างของทั้งสองคนไม่ได้มีสาเหตุมาจากการนอกใจหรืออะไรทำนองนั้น แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะทั้งคู่ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้แล้วต่างหาก…แต่เอาจริงๆผมก็ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรลึกมากเท่าไหร่ เพราะว่าผมไม่ได้ถามรายละเอียดกับพ่อและแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ชัดเจนด้วยล่ะนะ
แต่ไม่ใช่ว่าพ่อกับแม่ของผม ทั้งสองคนเข้ากันไม่ได้ตั้งแต่แรกหรอกนะ ถึงพ่อจะงานยุ่งมากจนต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่และกลับบ้านดึกดื่นทุกวัน แต่พ่อก็ดูแลแม่เป็นอย่างดีในตอนที่พ่อกลับมาบ้านตลอด และรวมถึงการแบ่งเวลามาเล่นกับผมในตอนที่พ่อมีเวลาว่างด้วย
ผมไม่สามารถหาเพื่อนได้เพราะว่ารูปแบบงานของพ่อที่ต้องเดินทางบ่อย และบวกกับการที่ผมเป็นพวกขี้อายไปด้วยยิ่งแล้วใหญ่…แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเพราะในช่วงเวลานั้นในตอนที่ผมกลับถึงบ้าน…ผมยังมีพ่อกับแม่รออยู่เสมอ
ทั้งพ่อและแม่ต่างก็มีความสุข บ้านของพวกเราเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่พ่อของผมได้รับการเลื่อนตำแหน่ง…ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป…
อย่างแรกเลยคือจำนวนวันที่พ่อไม่กลับบ้านเนื่องจากติดงานค่อยๆเพิ่มขึ้น จากสัปดาห์ละหนึ่งวัน ค่อยๆกลายเป็นสัปดาห์ละสองถึงสามวัน และเนื่องจากพ่อของผมได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการของบริษัทขนาดใหญ่ที่ใครๆก็รู้จัก บวกกับความที่พ่ออายุยังน้อย เขาจึงทุ่มทำงานให้หนักขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นงานของตัวเองหรือว่างานในส่วนของผู้ใต้บังคับบัญชาก็ตาม
“พ่อจะทำให้ดีที่สุดเพื่อให้ลูกกับแม่ของลูกอยู่กันอย่างสุขสบาย” –พ่อบอกแบบนั้นในตอนที่กำลังลูบหัวของผม
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมกับแม่ให้การสนับสนุนการตัดสินใจพ่ออย่างเต็มที่ แม้ว่าพวกเราอาจจะไม่ได้เจอพ่อหลายวันก็ตาม แต่พวกเราก็ต้องอดทนเพื่อตอบแทนในสิ่งที่พ่อทำเพื่อพวกเรา
…แต่เมื่อได้มองย้อนกลับไป…ผมคิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นชนวนเหตุแรกที่นำทั้งคู่ไปสู่การหย่าร้างก็ได้
ไม่ว่าจะเรื่องงาน ไม่ว่าจะเรื่องของที่บ้าน…ในตอนแรก พวกเราต่างก็คิดว่าพวกเรากำลังทำเพื่อครอบครัว…แต่แล้วเวลาที่พวกเราอยู่ด้วยกันสามคนพร้อมหน้าก็ค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ ในทางกลับกัน…การใช้ชีวิตเพียงลำพังของแต่ละคนก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
และถึงแม้ว่าในตอนแรกพ่อกับแม่จะรักกันมากจนในที่สุดก็ได้ตัดสินใจแต่งงานกัน…แต่ก่อนที่พ่อกับแม่จะรู้ตัว…ความรู้สึกของทั้งสองคนก็ได้เปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว
…ครั้งสุดท้ายที่ครอบครัวของพวกเราได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า…ก็คือตอนที่พ่อกับแม่มาร่วมกันเซ็นลงนามในใบหย่า…
“…จริงๆมันก็ฟังดูไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่นะ แต่ในตอนนั้นผมกับแม่ก็เคว้งกันไปพักใหญ่เลยล่ะ จนตอนที่แม่ได้งานใหม่นั่นแหละพวกเราถึงดีขึ้นหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้น…แล้วพ่อของมากิล่ะ?”
“พวกเราไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่…แต่ก็ยังติดต่อกันอยู่บ้างเป็นครั้งคราวน่ะ”
แม่บอกว่าพ่อโอนเงินมาเข้าบัญชีของผมทุกเดือนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียนต่อมหาวิทยาลัยของผม…แต่เอาจริงๆผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับเงินในส่วนนี้หรอก
“เอาล่ะ ถึงจะเกริ่นยาวไปสักหน่อย…แต่นี่ก็เป็นสาเหตุที่ผมไม่อยากจะพูดปลอบอุมิว่า「รักเธอที่สุด」หรือ「ผมจะไม่มีวันทรยศเธอ」อะไรแบบนั้น แม้ว่าตอนนี้ผมจะชอบอุมิจริงๆ…แต่ในอนาคตใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง…บางทีผมอาจจะทำให้อุมิเกลียดก็ได้ หรือบางทีความรู้สึกของผมที่มีต่ออุมิอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้…ใครจะไปรู้จริงไหม?”
บางทีนี่อาจจะเป็นโชคร้ายของผมที่เคยได้เห็นตัวอย่างมาด้วยตาของตัวเอง
เพราะผมเป็นแบบนี้…ผมจึงไม่สามารถพูดปลอบใจได้ตามที่อุมิต้องการได้
ถ้าผมเป็นคนประเภทที่สามารถพูดเรื่องแบบนั้นได้หน้าตาเฉย บางทีผมอาจจะได้มีแฟนมาสักคนสองคนไปแล้ว…หรืออย่างน้อยที่สุดก็คงสามารถหาเพื่อนได้มากเท่าที่ต้องการล่ะนะ
เพราะว่าผมไม่ได้เป็นคนที่มีความสามารถในการที่จะพูดอะไรแบบนั้นได้…อย่างน้อยก็ในตอนนี้ล่ะนะ
“ดังนั้นถ้าตอนนี้อุมิยังกังวลเรื่องที่จะคบกับผมอยู่ ผมก็จะรอจนกว่าอุมิจะพร้อมที่จะมาเป็นแฟนกับผมโดยไม่ต้องกังวลอะไร แต่ในตอนนี้ผมจะยอมทำทุกอย่างให้อุมิเท่าที่ทำได้ในฐานะ「เพื่อน」”
“เรื่องนั้น…เช่นเรื่องอะไรล่ะ?”
“เรื่องนั้นคิดเอาไว้แล้วล่ะนะ”
ผมชี้ไปที่พื้นแล้วบอกกับอุมิ
“ในทุกๆสัปดาห์ ผมจะรออุมิอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าถ้าอุมิมีธุระอื่นต้องทำผมก็ไม่ว่าอะไร…แต่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่อุมิต้องการผม ผมจะอยู่ที่นี่เพื่ออุมิเสมอ”
ผมจะทำเหมือนเดิม…เหมือนกับที่เคยทำมาโดยตลอด
ผมคิดว่านี่คือคำตอบที่ผมสามารถให้กับอุมิได้ในตอนนี้
“…มากิ”
“อะ-อะไรเหรอ?”
“ถึงมันไม่ใช่สิ่งที่ฉันควรจะพูดก็เถอะ…แต่มากิเองก็เป็นคนเจ้าปัญหาเหมือนกันสินะ”
“แน่นอนสิ ผมน่ะทั้งเจ้าปัญหา ทั้งน่าหนักใจ เพราะแบบนี้เลยไม่มีเพื่อนเลยสักคนยังไงล่ะ”
“ไม่คิดจะแก้ตัวสักหน่อยหรอ โม่~”
พูดจบอุมิก็หัวเราะคิกคัก
สุดท้ายแล้ว…อุมิที่กำลังยิ้มจนเห็นฟันสีขาวนี่แหละคือสิ่งที่「ดีที่สุด」สำหรับผมแล้วล่ะ
…สำหรับตอนนี้ล่ะนะ
“ฉันเข้าใจแล้วล่ะ…ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ฉันขอติดค้างคำตอบกับมากิเรื่องที่พวกเราจะมาเป็น「คู่รัก」กันไว้ก่อนได้ไหม?”
“ไม่มีปัญหา ผมรออุมิได้เสมอ”
“ขอบคุณนะ…แล้วก็ต้องขอโทษด้วย ฉันนี่เป็นคนที่แย่จริงๆ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย แบบนี้สิถึงจะเป็นอาซานางิที่ผมรู้จัก”
“อ๊ะ! ทำไมมากิถึงไม่เรียกฉันว่าอุมิแล้วล่ะ แบบนี้มันไม่โหดร้ายไปหน่อยหรอ?”
“ก็เราเป็น「เพื่อน」กันอยู่นี่นา”
“อะไรล่ะนั่นน่ะ แล้วอีกอย่าง「เพื่อน」กันน่ะปกติเค้าก็เรียกกันด้วยชื่ออยู่แล้วนะ…แล้วที่นายไม่มีเพื่อนกับเค้าสักคนก็เพราะมัวแต่มาคอยตั้งกำแพงอะไรแปลกๆแบบนี้นั่นแหละ”
“…ไม่เห็นเป็นไรนี่ ฉันแค่มีอุมิคนเดียวก็พอแล้วล่ะ”
“ระ..เรื่องนั้น…ถะ-ถึงฉันจะดีใจก็เถอะ แต่ว่า…”
จู่ๆใบหน้าของอุมิก็เปลี่ยนเป็นสีแดง
ถ้าอามามิซังมาเห็นพวกเราในตอนนี้…เธอจะคิดว่ายังไงนะ?
…คู่รักงี่เง่า…ใช่ไหม?
“อ๊า~ โม่~ หยุดพูดถึงเรื่องนี้ได้แล้ว! ฉันไม่อยากคิดเรื่องยุ่งยากอย่างพวกคนรักหรือเพื่อนอะไรพวกนี้ต่อแล้ว! พวกเราเองก็มีแนวทางของตัวเองนะ ก็อย่างที่เคยบอกไปก่อนหน้านี้แล้วนี่ว่าพวกเราจะค่อยเป็นค่อยไปตามจังหวะของพวกเรา! มากิเองก็คิดเหมือนกันใช่ไหม?”
“อะ-โอ้…ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรสักหน่อย”
“โอเค…ฉันตัดสินใจแล้ว! ต่อไปเอาเป็นว่า! พวกเราไปเล่นเกมกันเถอะ! วันนี้ฉันจะต้องชนะให้ได้…มากิ เปิดเครื่องสักทีสิ!”
“ครับ รับทราบครับ…”
ในที่สุดผมกับอุมิก็กลับมาเล่นเกมกันเหมือนปกติ
“…คือว่านะ อุมิ”
“หืม? อะไรเหรอ?”
“ถ้าเธอยังกอดแขนผมไว้แบบนี้…มันทำให้เล่นไม่ถนัดอะ”
“ก็ฉันอยากทำแบบนี้นี่”
“…ครับ ครับ”
กว่าจะถึงเวลากลับบ้านของอุมิ พวกเราก็ได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุขกันสองต่อสอง…ได้ใกล้ชิดกันแบบนี้พร้อมกับทำตัวงี่เง่ากันเหมือนเช่นเคย
ค่อยเป็นค่อยไป…ผมรู้สึกว่าบทสรุปของวันนี้อาจจะไม่ค่อยถูกต้องสักเท่าไหร่…เพราะถ้าพวกเรารักกันจริงๆ ในอนาคตแล้วสุดท้ายมันก็ต้องมีสักวันที่พวกเราต้องก้าวขาออกจากคอมฟอร์ทโซนนี้ และเดินเคียงข้างกันไปในฐานะของคนรักกันอยู่ดี
แต่ตอนนี้ผมขอมีความสุขกับช่วงเวลาแบบนี้ไปอีกสักหน่อยก็แล้วกันนะ…
☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆