I Became Friends with the Second Cutest Girl in My Class - ตอนที่ 73
เมื่อวันก่อนผมพึ่งจะเคยมาที่แห่งนี้เป็นครั้งแรกและคิดว่าคงไม่ได้มาที่แห่งนี่ไปอีกสักพัก แต่ผมไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้มาที่นี่เป็นครั้งที่สองเร็วขนาดนี้
“มาเอะฮาระ!”
เป็นไปตามที่คิด ในตอนนี้เซกิคุงกำลังนั่งดูดนมอยู่ที่ม้านั่งที่ตั้งอยู่ตรงพื้นที่จัดเก็บอุปกรณ์ที่ด้านหลังอาคารชมรมเบสบอล
ตามปกติแล้วเซกิคุงจะมีบรรยากาศที่เป็นเหมือนจุดศูนย์รวมของห้องเรียน แต่ในตอนนี้เขาเอาแต่นั่งก้มหน้าจนผมไม่รู้สึกถึงบรรยากาศแบบนั้นจากตัวเขาได้เลยแม้แต่น้อย
ผมรู้สึกเห็นใจเขาขึ้นมานิดหน่อย
“เซกิคุง…ขอนั่งข้างๆ ได้ไหม?”
“ดะ ได้สิ”
ตอนที่เขาเห็นผมเข้ามาใกล้ๆ เซกิคุงก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมปาดน้ำตาของเขาด้วยแขนเสื้อ
ถึงผมจะคาดไว้แล้วก็เถอะ แต่ดูเจ้าตัวจะช็อกไม่น้อยที่โดนปฏิเสธ ดังนั้นผมจะไม่ยื่นมือเข้าไปแตะต้องเรื่องนั้น แล้วนั่งลงข้างๆเซกิคุงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฉันไม่ได้คิดเลยว่าคนที่มาจะเป็นมาเอะฮาระ”
“อา…ก็เพราะเรื่องเมื่อวานล่ะนะ”
“คนอื่นๆว่ายังไงกันบ้างล่ะ? ฉันเห็นว่าพวกเขาแอบตามมาดู บางทีนายน่าจะได้ยินอะไรมาบ้างใช่ไหม?”
“นั่นสิ ผมเองก็ไม่เข้าใจภาษาของพวกสุดฮอตซะด้วยสิ ก็เลยไม่เข้าใจที่พวกนั้นพูดสักเท่าไหร่”
“ฟังดูประชดประชันจังเลยนะ”
“แม้แต่ผมก็มีเรื่องที่ไม่เข้าใจเหมือนกันนะ…”
“ฮะๆ”
แม้จะดูประหลาดใจ แต่ใบหน้าของเขาก็ปรากฎรอยยิ้มขึ้นมา
โดยปกติผมจะพยายามหลบเลี่ยงที่จะพูดคุยกับเซกิคุงเนื่องจากความสว่างสดใสที่มากเกินไปของเขา แต่พอได้คุยกันจริงๆดูเหมือนว่าเราจะคุยกันถูกคอกว่าที่คิด
“แล้วนายมาหาฉันทำไมล่ะ? หรือจะมาปลอบใจ?”
“ถ้าเซกิคุงอยากให้ผมปลอบใจจริงๆผมก็พอจะมีคลังคำศัพท์ที่ใช้ปลอบใจอยู่บ้าง เซกิคุงอยากฟังไหม?”
“ไม่ล่ะ รู้สึกไม่อยากฟังเลยสักนิด แต่ถ้าจะให้ดีของเป็นเซ็ตอาหารกลางวันได้ไหม ราคาแค่ 500 เยนเอง”
“เอาเป็นอุด้งราคา 190 เยนแทนได้ไหม”
“นั่นมันของที่ถูกที่สุดเลยไม่ใช่เรอะ”
โดยปกติผมจะเก็บเงินเพื่อไปใช้ในวันศุกร์ ดังนั้นตอนต้นสัปดาห์ก็ต้องประหยัดกันหน่อย
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมทำข้าวกล่องมากินเองด้วย
แต่ผมก็ไม่ได้มีแผนที่จะประหยัดอะไรในช่วงนี้หรอกนะ
“เซกิคุงใจร้อนจังเลยนะ”
“อา จริงๆแล้วฉันแค่ตั้งใจจะชวนเธอไปงานปาตี้เท่านั้นเอง…แต่เหมือนว่าจะประหม่าไปหน่อยก็เลยพูดอะไรไปเยอะแยะเลย…แล้วจนถึงตอนนี้ก็ยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไรไปบ้าง…”
–ขอโทษนะคะ
ตามที่เซกิคุงเล่า ดูเหมือนว่าหลังจากที่เขาพูดสารภาพจบ อามามิซังก็ก้มศีรษะลงและกล่าวขอโทษอย่างสุภาพ แล้วดูเหมือนหลังจากนั้นพวกเขาก็จะคุยอะไรกันอีกสักพัก แต่เนื่องจากความช็อกที่โดนปฏิเสธ เซกิคุงก็เลยจำอะไรไม่ได้เลย
อา…อาจจะเพราะเซกิคุงจริงจังเกินไป ผมจะไม่โทษเขาในเรื่องนี้แล้วกัน แต่คนที่น่าเป็นห่วงมากกว่าน่าจะเป็นฝั่งของอามามิซัง
หลังจากปฏิเสธ อามามิซังก็ไม่ได้กลับมาที่ห้องเรียน แต่เลือกที่จะโทรหาอุมิแทน
เนื่องจากอามามิซังมี่ท่าทางที่แตกต่างไปจากปกติ ดังนั้นผมจึงคิดว่าอาจจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
“เซกิคุง ผมขอถามอะไรสักหน่อย…นายไม่ได้ทำอะไรแปลกๆกับอามามิซังใช่ไหม?”
“แน่นอนสิ ฉันไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว”
“นั่นสินะ”
ผมกำลังสงสัยว่าอุมิกับอามามิซัง ทั้งสองคนกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ในตอนนี้ แต่ก็แค่สงสัยเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจะอยากรู้รายละเอียดอะไร และผมแน่ใจว่าอุมิเองก็คงไม่เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังด้วยล่ะนะ
ถ้าเป็นแบบนี้ ในตอนนี้ผมก็คงช่วยอะไรเซกิคุงไม่ได้
“เซกิคุง คือว่านะ”
“หืม?”
“ถึงจะโดนปฏิเสธ แต่เซกิคุงก็ยังชอบอามามิซังอยู่ใช่ไหม?”
“นี่เล่นถามกันตรงๆแบบนี้เลยจริงดิ…แต่ก็นะ เพราะเป็นนายหรอกนะ ดังนั้นฉันจะยอมบอกนายก็ได้”
แม้ว่าท่าทางของเซกิคุงจะดูเขินๆ แต่เขาก็ยังยอมเปิดปากพูดออกมา
“ฉันยังไม่เข้มแข็งพอที่จะก้าวข้ามเรื่องแบบนี้ไปได้หลังจากที่พึ่งจะโดนปฏิเสธหรอกนะ…แต่แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้ฉันก็ยังชอบเธออยู่”
“…ถ้าอย่างนั้นนายจะทำยังไงถ้าผมบอกว่าหลังจากนี้ผมจะยอมให้ความร่วมมือกับนาย”
“! มาเอะฮาระ นี่นาย…”
เมื่อได้ยินคำพูดของผม เซกิคุงก็เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยความประหลาดใจ
“…ผมแค่รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย…ทั้งๆที่เซกิคุงแค่สารภาพความรู้สึกของตัวเองออกไปอย่างตรงไปตรงมา แต่คนพวกนั้นดันทำเหมือนนายเป็นตัวตลก”
บางที 『เพื่อน』ของเซกิคุงพวกนี้อาจจะคอยมาช่วยปลอบใจเซกิคุงก็ได้ ทำนองว่า『ไม่ต้องคิดมาก』 『โอกาสหน้ายังรออยู่』『เราจะช่วยแนะนำนายเอง』–แต่เบื้องหลังของพวกเขาก็ยังจะคอยแอบหัวเราะและเยาะเย้ยเซกิคุงอยู่ดี
ทำเป็นให้อภัยเรื่องการที่ทำพลาด หรือทำเป็นให้อภัยเรื่องที่ดูบรรยากาศไม่ออกจนเผลอทำเรื่องโง่ๆลงไป –ตั้งแต่สมัยประถม ม.ต้น หรือตอนนี้ ผมเห็นเรื่องพวกนี้มาจนเอียนแล้วล่ะ เพราะว่าผมคอยนั่งสังเกตอยู่ที่มุมห้องเรียนมาโดยตลอด
พูดตามตรงว่าผมไม่ชอบเห็นอะไรแบบนั้น
“แค่โดนปฏิเสธครั้งเดียวไม่ได้หมายความว่าหมดหวังแล้วสักหน่อย ถ้าเซกิคุงคอยดูอามามิซังอย่างใจเย็น และค่อยเป็นค่อยไป บางทีความรู้สึกของอามามิซังอาจจะเอนเอียงมาทางเซกิคุงก็ได้ ใครจะไปรู้”
เหตุผลที่เซกิคุงโดนอามามิซังปฏิเสธในตอนนี้เนื่องมาจากว่าในตอนนี้อามามิซังสนใจอยู่กับเพียงเรื่องของอุมิเท่านั้น แต่ในตอนนี้ความสัมพันธ์ของเธอกับอุมิกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าเธออาจจะเริ่มสนใจเรื่องอื่นๆขึ้นมาบ้าง
ผมเชื่อว่าถึงเซกิคุงจะโดนปฏิเสธในคราวนี้ แต่ไม่ใช่ว่าโอกาสของเขาจะหมดไปสักหน่อย
“คงจะสัญญาว่าจะให้อุมิมาช่วยด้วยไม่ได้ เพราะนี่เป็นการตัดสินใจของผมคนเดียว แต่ก็คิดว่าตัวเองคงจะพอช่วยอะไรได้บ้างล่ะนะ”
“อุมิ?…อา นายหมายถึงอาซานางิใช่ไหม?”
“อ๊ะ! โทษที…เผลอไปน่ะ”
“ไม่ต้องกังวลอะไรหรอก พวกนายกำลังคบกันอยู่ใช่ไหมล่ะ? ถ้าแบบนั้นมันก็เป็นธรรมดาที่จะเรียกกันด้วยชื่ออยู่แล้ว…แต่ว่านะ ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะโดนมาเอะฮาระนำไปก้าวนึง…แล้วอีกอย่าง…ช่วงนี้ดูเหมือนอาซานางิจะเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นด้วยล่ะนะ”
“เอ๊ะ? ทำไมล่ะ?”
แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับตอนช่วงแรกที่ผมกับอุมิเริ่มเป็นเพื่อนกัน บรรยากาศของเธอดูจะเย็นชากว่านี้ แต่ในตอนนี้บรรยากาศรอบๆตัวอุมิดูจะให้ความรู้สึกนุ่มนวลกว่าเดิมมาก
“อา…ก็ตั้งแต่ที่พวกนายเริ่มคบกัน ถึงภายนอกจะดูเงียบๆกันก็จริง…แต่ก็มีพวกผู้ชายบางคนในกลุ่มของฉันทำตัวน่ารำคาญอยู่เหมือนกัน”
อย่างงั้นเหรอ? แต่ยังไงมันก็สายไปแล้วล่ะ แล้วอีกอย่างต่อให้อุมิไม่ได้สนิทกับผมก็ตาม โอกาสที่อุมิจะหันไปสนใจพวกนั้นก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว
“เอาล่ะ หยุดพูดถึงเรื่องของอุมิก่อนดีกว่า…แล้วนายว่าไง ถึงผมอาจจะทำอะไรมากไม่ได้ แต่ก็น่าจะดีกว่าการทำอะไรด้วยตัวคนเดียวมากอยู่นะ”
“แม้ว่าพึ่งจะโดนปฏิเสธ แต่ในอนาคตก็ยังมีโอกาสอย่างนั้นเหรอ?”
มันก็แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง พวกเราพึ่งจะอยู่ในช่วงปีแรก ยังมีเวลาอีกสองปีกว่าจะเรียนจบ และหากความสัมพันธ์ของพวกเรายังคงดำเนินต่อไป มันก็มีความเป็นไปได้อยู่แล้วที่ความสัมพันธ์ของพวกเราในอนาคตจะพัฒนาไปจากที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้
เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับอามามิซังมาจนถึงตอนนี้ มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าการที่จะจีบอามามิซังนั้นไม่ง่ายเลย แล้วผมคิดว่าถ้าหากใครที่ต้องการที่จะคบกับเธอจริงๆล่ะก็ถ้าคนๆนั้นไม่ตั้งใจทุ่มจนสุดตัว อามามิซังก็ไม่มีทางที่จะหันมามองหรอกนะ
“…ตอนแรกมันก็เป็นคำขอของฉันตั้งแต่แรกด้วยนี่นะ”
“อือ ก็จริง…”
ในขณะที่พวกเรากำลังจะยื่นมือไปจับมือกันเพื่อแสดงถึงความร่วมมือ
“…แต่ว่า ขอโทษนะ สุดท้ายแล้ว ฉันก็อยากจะลองพยายามทำให้ดีที่สุดด้วยตัวเองดูน่ะ”
“เอ๊ะ?”
เซกิคุงกำหมัดก่อนที่มือของพวกเราจะสัมผัสกัน
“ไม่สิ แทนที่จะให้นายมาคอยช่วย เอาเป็นว่าฉันไปไหนมาไหนกับนายน่าจะดีกว่า ถึงจะไม่มีอะไรยืนยัน แต่ถ้าฉันอยู่กับนาย ไม่ว่ายังไงอาซานางิก็ตัวติดกับนายอยู่แล้ว แล้วถ้าเป็นแบบนั้นอามามิซังก็จะต้องอยู่ด้วยเพราะอาซานางิคือเพื่อนสนิทของอามามิซัง และนั่นก็จะทำให้พวกเราได้รู้จักกันมากขึ้น ถ้าเป็นแบบนี้ทุกอย่างก็จะลงตัวพอดี”
ผมคิดตามที่เซกิคุงพูด ดูเหมือนสถานการณ์ในปัจจุบันจะเป็น (ผม ← อุมิ ← อามามิซัง) ดังนั้นตามความคิดของเซกิคุง ดูเหมือนว่าเขาพยายามจะเปลี่ยนสถานการณ์ให้มาเป็น (เซกิคุง ← ผม ← อุมิ ← อามามิซัง) แบบนี้สินะ
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้น แล้วทำไมถึง?”
“อา…บางทีมันอาจจะสายไปสักหน่อยที่จะมาพูดอะไรแบบนี้เอาป่านนี้”
เซกิคุงพึมพัมในขณะที่ใช้มืออีกข้างเกาหัว
“อย่างแรกเลยก็คือ…ฉันอยากจะเป็นเพื่อนกับนายอย่างถูกต้อง”
“……”
ผมไม่คาดคิดว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้จนเผลอไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงไปชั่วขณะ
“เฮ้ยๆ อย่าเงียบแบบนั้นสิ ก็รู้อยู่ว่าที่พูดไปมันน่าอาย นายก็รู้ใช่มั้ย?”
“อะ ขะ ขอโทษที พอดีไม่คิดว่านายจะพูดแบบนั้น”
ในตอนแรกเป็นเพราะว่าผมได้ยินสิ่งที่คนอื่นๆในชั้นเรียนพูดกัน ก็เลยเปลี่ยนใจและอยากที่จะให้ความช่วยเหลือกับเซกิคุง
แต่พอได้มาคุยกับเซกิคุงจริงๆ ก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจของเขา และถ้าผมบอกว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกประทับใจกับความรู้สึกที่จริงใจของเซกิคุงก็คงจะเป็นการโกหกเช่นกัน
“สารภาพตามตรงเลยว่าฉันเองเมื่อก่อนก็เคยคิดดูถูกมาเอะฮาระด้วย…ไม่คุยกับใคร แถมยังมืดมน แล้วบางครั้งพวกเราก็ยังแอบพูดล้อเลียนนายในกลุ่มด้วย”
“นั้นมัน…อืม”
“แต่นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดผิด ไม่ว่าจะตอนงานโรงเรียน ไม่ว่าจะเรื่องของอาซานางิ แล้วก็เรื่องของฉันในตอนนี้ด้วย…ในตอนที่คนอื่นๆเอาแต่หัวเราะเยาะสิ่งที่ฉันทำพลาด…ตอนที่ฉันกำลังเสียใจ นายก็ยังมาหาฉัน หรือแม้แต่เรื่องของเมื่อวานที่ฉันขอให้นายช่วย ถึงมันจะน่ารำคาญแต่นายก็ยังยอมฟังและตั้งใจฟังเรื่องคำขอไร้สาระของฉัน…นั่นทำให้ฉันรู้ว่า ใครคือคนที่เราควรรักษาเอาไว้ให้ดี”
“…เซกิคุง”
“มาเอะฮาระ ถ้านายไม่รังเกียจคนแบบฉัน ต่อจากนี้ไปเราสามารถเป็นเพื่อนกันได้ไหม? ไม่ต้องสนใจเรื่องของอามามิซังก็ได้ ถ้านายไม่อยาก…นายก็ไม่จำเป็นช่วยอะไรเลยก็ได้”
ในบางครั้งเราก็ควรมีความกล้าที่ก้าวเดินออกไปข้างหน้า
ผมคิดไม่ถึงว่าจะมีคนอื่นมาขอให้ผมเป็นเพื่อนนอกจากอุมิกับอามามิซังอยู่ด้วย
“…เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้ไปเราคือเพื่อนกัน”
“โอ้ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะมาเอะฮาระ…ไม่สิ มากิ”
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ…เอ่อ ขอเรียกว่าโนโซมุ…ได้ไหม?”
“โอ้ ได้อยู่แล้ว”
เซกิคุง ไม่สิ…โนโซมุคลายกำปั้นที่กำไว้ออกมา และเราก็จับมือกันอีกครั้งเพื่อยืนยันถึงมิตรภาพใหม่ของพวกเรา
นี่ถือเป็นก้าวแรก และผมก็รู้สึกอยากกลับไปเล่าให้อุมิฟังไวๆ…แต่ว่าตอนนี้ทางฝั่งของอุมิจะเป็นยังไงบ้างกันนะ?