I have a capsule system at the end of the world – ผมมีระบบแคปซูลในวันสิ้นโลก - บทที่ 341 ผู้หญิงกระโปรงดำ
- Home
- I have a capsule system at the end of the world – ผมมีระบบแคปซูลในวันสิ้นโลก
- บทที่ 341 ผู้หญิงกระโปรงดำ
ตามแผนการของเขาในตอนนี้เขาจะยังคงไปที่กองพันที่หนึ่งก่อน แต่เขาก็สัญญากับฉีเซี่ยวฮันเอาไว้แล้ว เพราะงั้นเขาจึงอยู่ที่นั้นได้มากสุด 2 วัน และใน 2 วันนี้ สิ่งที่เขาต้องทำคือไปพบฉางเหวินฉวน และยั่วยุเขา!
ตอนนี้เริ่มเห็นทางออกแล้วยังไงเขาก็ต้องทำแผนนี้ให้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นบทสนทานาของเขากับลุงหลี หรือ ข้อมูลที่ฉีเซี่ยวฮันมอบให้กับเขามานั้น หลินเฉิงยังไม่มีข้อมูลอะไรที่ทำให้เขาเข้าใจฉางเหวินฉวนได้เลย ตอนนี้เขาจึงได้แต่คิดว่าจะดึงคนที่เป็นที่รักใคร่แบบนี้ลงมาได้ยังไง!
หลังจากที่ไขข้อข้องใจเดียวกับภัยที่ซ่อนอยู่ในตัวของฉางเหวินฉวนได้เขาจะได้มุ่งตรงไปแก้ไขปริศนาของพวกเผ่าวิญญาณรัตติการได้อย่างสบายใจเสียที!
เพราะมีความรู้สึกแบบนี้หลินเฉิงจึงคิดว่าพวกวิญญาณรัตติการนั้นไม่ได้เเป็นอะไรที่ธรรมดาๆ เหมือนที่หลิงเหมิงพูดเอาไว้ แต่ที่ทำให้เขาสนใจมากที่สุดคือพวกที่อาศัยอยู่ใต้โลก สิ่งมีชีวิตพวกนั้นมีความสัมพันอะไรกับผู้หญิงที่เขาบนหุบเขาฟีนิกส์!
หลังจากที่วางแผนเกี่ยวกับเป้าหมายตอนนี้ได้สำเร็จหลินเฉิงก็รู้สึกสบายใจมากแบบไม่เคยโล่งใจขนาดนี้มาก่อน หลังจากที่เขามาถึงฐานทัพ เขารู้สึกเหมือนถูกมัดไว้ด้วยความไม่รู้แจ้งมาโดยตลอด ไหนจะเรื่องที่ครอบครัวของป้าฉินต้องแบกรับ ไหนจะเรื่องแรงกดดันปริศนาที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งฐานทัพ!
ตอนนี้หลินเฉิงก็เข้าใจอะไรหลายๆอย่างแล้ว ตอนนี้เขาไม่ได้กังวลถึงเรื่องพวกนี้ เพราะพละกำลังที่แทบจะเป็นที่สุดของเขา ไม่ว่าปีศาจที่เขาจะต้องเจอต่อไปนั้นตัวใหญ่กวาเขาสัก 10 เท่า เขาก็ยังมีความมั่นใจมาก ว่าจะสามารถเห็นการเคลื่อนไหวและต่อต้านสัตว์ประหลาดเหล่านั้นได้! เนื่องจากอารมณ์สบายเนื้อสบายตัวของเขาเขาพูดคุยกับพนักงานต้อนรับสาวสวยสักหน่อย ก่อนที่เขาจะนึกได้ว่าต้องไปหาเลาฟางและเฉินฉีที่ห้องรับรองอีกห้อง
หลังจากที่เขารีบเดินขึ้นไปตามตำแนะนำของเฉิงเล้อ หลินเฉิงก็เจอห้องที่เล็กกว่าห้อง 002 นิดหน่อย แต่มันก็แตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้มาก เขาเห็นชายทั้งสองกอดเอวสาวๆ นั่งดื่มและร้องเพลงเกาหลีกันอย่างสบายใจ เหมือนจะลืมไปแล้วว่าใครต้องออกเงินให้
“ไอบ้าสองคนนี่มัน….”
เห็นคนทั้งสองที่จิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัวถือไมค์ร้องเพลงชื่อดังอย่างไม่แยแสต่อภาวะภายใต้วันสิ้นโลก หลินเฉิงก็ได้แต่กระแอ่มสองครั้ง แต่นั้นก็ไม่ได้หยุดการร้องเพลงอันสำราญของพวกเขาไดเ หลินเฉิลจึงนั้นบนที่ว่างและสูบบุหรี่ดื่มไวน์อยู่คนเดียว
“ของทราบชื่อสกุลหน่อยค่ะ?”
ทันทีที่ถือแก้วไวน์หญิงสาวผมยาวหน้าตาดีในชุดเดรสสีดำก็เดินเข้ามานั่งข้างๆ หลินเฉิงมองไปทางเธอเหมือนถูกดึงดูดไว้สักพัก เกิ่นที่เธอจะยกมุมปากขึ้นยิ้มให้กับเขา
มีกลิ่นหอมลอยตามลมมาถึงจมูกของเขาหลินเฉิงก็ส่งยิ้มให้บ้างก่อนที่จะบอก “ไม่ต้องหรอกครับ หลิน ก็พอ!”
“คุณหลินสินะค่ะ!”
เธอยิ้มให้อีกครั้งและพูดด้วยความเคารพ
หลังจากที่ถามนามสกุลของหลินเฉิงไปเหมือนสาวชุดดำยังไม่พอใจเท่าไรนัก หลังจากที่เปลี่ยนท่านั่งอย่างเย้ายวนไปสองสามท่า เธอก็ถามอีกครั้ง “คุณหลินดูสุขุมมากเลย พึ่งมาที่นี่ครั้งแรกใช่ไหมค่ะ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหลินเฉิงก็ซดเบียเข้าไปและตอบกลับมาง่ายๆ“ฮึ่ม….”
เมื่อเธอรู้ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนตรงๆ และไม่ได้อยากพูดอะไรมาก เธอก็ไม่ตอแยอะไรเขาแล้ว แต่เธอยกแก้วไวน์ของเธอมาชนกับแก้วกับของหลินเฉิง ก่อนที่จะปล่อยให้ไวน์ไหลผ่านคอที่ขาวราวหิมะของเธอ!
“ดีเลย”
จังหวะนั้นเลาฟางและเฉินฉีก็ร้องเพลงเสร็จแล้วหลังจากที่พวกเขาเห็นสาวชุดดำยอมดื่มแล้ว พวกเขาก็ปรบมือและตะโกนแสดงความยินดีมาให้!
หลังจากที่สิ้นเสียงปรบมือพวกเขาก็พึ่งสังเกตุเห็นว่าเธอกำลังนั่งอยู่กับหลินเฉิงพวกเขามองหน้ากันเองก่อนที่จะหน้าแดงด้วยความเขิน
“น้องหลินมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันไม่บอกกล่าวกันเลย?”
พวกเขาเข้ามาประกบหลินเฉิงทันทีเลาฟางยกเบียร์กระป๋องมาให้ก่อนที่จะบ่นอย่างไม่พอใจเล็กน้อย
ได้ยินคำติของเลาฟางหลินเฉิงก็ได้แต่โบกมือใส่เขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ “พอเลย! ให้บอกตรงๆ นะ พวกนายอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว แต่รอบนี้พวกนายร้องเพลง take care ofyourself กันอย่างสบายใจ ฉันเลยไม่อยากกวน….”
“แค๊ก!แค๊ก!”
ได้ยินแบบนั้นเฉินฉีที่นั่งอยู่ทางขวามือก็สำลักเบียร์ออกมา ก่อนที่จะเช็ดมันออกไป มองไปยังเลาฟางและบ่านอย่างอดไม่ได้ “บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าร้องเพลงนี้! เห็นไหมน้อหลินต้องมาเห็นพวกเราสภาพแบบนั้นเลย!”
เมื่อได้ยินเฉินฉีต่อว่าเลาฟางก็โมโหและบ่นกลับไปบ้าง “บ้าจริง มันก็แน่อยุ่แล้วป๊ะ ว่าพวกเราร้องเพลงนี้ให้กับสาวๆ ถ้าเพลงแค่นี้ร้องไม่ได้ก็แย่แล้ว ตอนแรกนายต้องร้องคนเดียวด้วยซ้ำฉันเลยลุกขึ้นมาช่วย!”
พูดจบเลาฟางก็เหมือนจะไม่พอใจนิดหน่อยก่อนที่จะยกเบียร์ขึ้นมาอีกสองกระป๋องและชนมันข้างหน้าเฉิงฉี “มาม๊ะ เจ้ากระต๋ายน้อย ถ้าวันนี้ดื่มไม่ไหวแล้วระวังจะได้อ่านชื่อของฉันแบบกลับหัวน๊ะ!”
“ดื่มเลยเท่าไหร่ก็ได้!” “ดื่ม!”
“ดื่ม!”
เห็นชายทั้งสองเมาเละเทะแล้วในตอนนี้หลินเฉิงก็รู้สึกผิดที่ให้ฉีเซี่ยวฮันกลับไปก่อนโดยไม่ต้องกลับมาเจอะสภาพนี้เป็นเพื่อนเขา
“เพื่อนของคุณหลินดูน่าสนใจกันดีจังนะค่ะ”
เมื่อเห็นหลินเฉิงไม่พูดจาอะไรสาวชุดดำก็กลับมา ยิ้มให้กับชายสุดเมาทั้งสอง และหันกลับมาคุยกับหลินเฉิง
เขาชายตามองสาวชุดดำและพูดอย่างสบายๆ“ฉันไม่คิดอย่างงั้นหนะสิ ฉันหวังเหลือเกินว่าจะไม่รู้จักตาบ้าสองคนนี้…”
“อย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ”
แม้หลินเฉิงจะพูดอย่างไม่สนใจสาวชุดดำไม่ยอมหยุดแต่เพียงเท่านี้ เธอก็พูดต่อไป “ตอนนี้โลกก็เละเทะขนาดนี้แล้ว ไม่ง่ายเลยที่มนุษย์จะทำงานอย่างสุขสบายได้ข้างนอกนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็อยากจะหาโอกาสที่ได้ทำอะไรแบบนี้ ที่คุณหลินพูดดูจะรุนแรงไปหน่อยนะค่ะ”
“รุนแรงหนะหรอ….”
หลินเฮิงกระซิบอยู่คนเดียวอยู่ๆ เขาก็นึกถึงความเครียดในช่วงที่ผ่านๆ มาก ในวันที่เขาต้องนึกว่าวันนี้จะขับรถไปไกลอีกกี่กิโล จะหาเสบียงใหม่ๆ เจอบ้างไหม และจะต้องเพิ่มพลังให้กับตัวเองได้อย่างไร เหมือนช่วงเวลานั้นเขาจะไม่ได้คิดเรื่องของผู้หญิงกับผู้ชายบ้างเลย
———————-SC: บทที่ 342 หลินเหยาเหว่ย
ตอนนี้เริ่มเห็นทางออกแล้วยังไงเขาก็ต้องทำแผนนี้ให้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นบทสนทานาของเขากับลุงหลี หรือ ข้อมูลที่ฉีเซี่ยวฮันมอบให้กับเขามานั้น หลินเฉิงยังไม่มีข้อมูลอะไรที่ทำให้เขาเข้าใจฉางเหวินฉวนได้เลย ตอนนี้เขาจึงได้แต่คิดว่าจะดึงคนที่เป็นที่รักใคร่แบบนี้ลงมาได้ยังไง!
หลังจากที่ไขข้อข้องใจเดียวกับภัยที่ซ่อนอยู่ในตัวของฉางเหวินฉวนได้เขาจะได้มุ่งตรงไปแก้ไขปริศนาของพวกเผ่าวิญญาณรัตติการได้อย่างสบายใจเสียที!
เพราะมีความรู้สึกแบบนี้หลินเฉิงจึงคิดว่าพวกวิญญาณรัตติการนั้นไม่ได้เเป็นอะไรที่ธรรมดาๆ เหมือนที่หลิงเหมิงพูดเอาไว้ แต่ที่ทำให้เขาสนใจมากที่สุดคือพวกที่อาศัยอยู่ใต้โลก สิ่งมีชีวิตพวกนั้นมีความสัมพันอะไรกับผู้หญิงที่เขาบนหุบเขาฟีนิกส์!
หลังจากที่วางแผนเกี่ยวกับเป้าหมายตอนนี้ได้สำเร็จหลินเฉิงก็รู้สึกสบายใจมากแบบไม่เคยโล่งใจขนาดนี้มาก่อน หลังจากที่เขามาถึงฐานทัพ เขารู้สึกเหมือนถูกมัดไว้ด้วยความไม่รู้แจ้งมาโดยตลอด ไหนจะเรื่องที่ครอบครัวของป้าฉินต้องแบกรับ ไหนจะเรื่องแรงกดดันปริศนาที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งฐานทัพ!
ตอนนี้หลินเฉิงก็เข้าใจอะไรหลายๆอย่างแล้ว ตอนนี้เขาไม่ได้กังวลถึงเรื่องพวกนี้ เพราะพละกำลังที่แทบจะเป็นที่สุดของเขา ไม่ว่าปีศาจที่เขาจะต้องเจอต่อไปนั้นตัวใหญ่กวาเขาสัก 10 เท่า เขาก็ยังมีความมั่นใจมาก ว่าจะสามารถเห็นการเคลื่อนไหวและต่อต้านสัตว์ประหลาดเหล่านั้นได้! เนื่องจากอารมณ์สบายเนื้อสบายตัวของเขาเขาพูดคุยกับพนักงานต้อนรับสาวสวยสักหน่อย ก่อนที่เขาจะนึกได้ว่าต้องไปหาเลาฟางและเฉินฉีที่ห้องรับรองอีกห้อง
หลังจากที่เขารีบเดินขึ้นไปตามตำแนะนำของเฉิงเล้อ หลินเฉิงก็เจอห้องที่เล็กกว่าห้อง 002 นิดหน่อย แต่มันก็แตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้มาก เขาเห็นชายทั้งสองกอดเอวสาวๆ นั่งดื่มและร้องเพลงเกาหลีกันอย่างสบายใจ เหมือนจะลืมไปแล้วว่าใครต้องออกเงินให้
“ไอบ้าสองคนนี่มัน….”
เห็นคนทั้งสองที่จิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัวถือไมค์ร้องเพลงชื่อดังอย่างไม่แยแสต่อภาวะภายใต้วันสิ้นโลก หลินเฉิงก็ได้แต่กระแอ่มสองครั้ง แต่นั้นก็ไม่ได้หยุดการร้องเพลงอันสำราญของพวกเขาไดเ หลินเฉิลจึงนั้นบนที่ว่างและสูบบุหรี่ดื่มไวน์อยู่คนเดียว
“ของทราบชื่อสกุลหน่อยค่ะ?”
ทันทีที่ถือแก้วไวน์หญิงสาวผมยาวหน้าตาดีในชุดเดรสสีดำก็เดินเข้ามานั่งข้างๆ หลินเฉิงมองไปทางเธอเหมือนถูกดึงดูดไว้สักพัก เกิ่นที่เธอจะยกมุมปากขึ้นยิ้มให้กับเขา
มีกลิ่นหอมลอยตามลมมาถึงจมูกของเขาหลินเฉิงก็ส่งยิ้มให้บ้างก่อนที่จะบอก “ไม่ต้องหรอกครับ หลิน ก็พอ!”
“คุณหลินสินะค่ะ!”
เธอยิ้มให้อีกครั้งและพูดด้วยความเคารพ
หลังจากที่ถามนามสกุลของหลินเฉิงไปเหมือนสาวชุดดำยังไม่พอใจเท่าไรนัก หลังจากที่เปลี่ยนท่านั่งอย่างเย้ายวนไปสองสามท่า เธอก็ถามอีกครั้ง “คุณหลินดูสุขุมมากเลย พึ่งมาที่นี่ครั้งแรกใช่ไหมค่ะ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหลินเฉิงก็ซดเบียเข้าไปและตอบกลับมาง่ายๆ“ฮึ่ม….”
เมื่อเธอรู้ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนตรงๆ และไม่ได้อยากพูดอะไรมาก เธอก็ไม่ตอแยอะไรเขาแล้ว แต่เธอยกแก้วไวน์ของเธอมาชนกับแก้วกับของหลินเฉิง ก่อนที่จะปล่อยให้ไวน์ไหลผ่านคอที่ขาวราวหิมะของเธอ!
“ดีเลย”
จังหวะนั้นเลาฟางและเฉินฉีก็ร้องเพลงเสร็จแล้วหลังจากที่พวกเขาเห็นสาวชุดดำยอมดื่มแล้ว พวกเขาก็ปรบมือและตะโกนแสดงความยินดีมาให้!
หลังจากที่สิ้นเสียงปรบมือพวกเขาก็พึ่งสังเกตุเห็นว่าเธอกำลังนั่งอยู่กับหลินเฉิงพวกเขามองหน้ากันเองก่อนที่จะหน้าแดงด้วยความเขิน
“น้องหลินมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันไม่บอกกล่าวกันเลย?”
พวกเขาเข้ามาประกบหลินเฉิงทันทีเลาฟางยกเบียร์กระป๋องมาให้ก่อนที่จะบ่นอย่างไม่พอใจเล็กน้อย
ได้ยินคำติของเลาฟางหลินเฉิงก็ได้แต่โบกมือใส่เขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ “พอเลย! ให้บอกตรงๆ นะ พวกนายอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว แต่รอบนี้พวกนายร้องเพลง take care ofyourself กันอย่างสบายใจ ฉันเลยไม่อยากกวน….”
“แค๊ก!แค๊ก!”
ได้ยินแบบนั้นเฉินฉีที่นั่งอยู่ทางขวามือก็สำลักเบียร์ออกมา ก่อนที่จะเช็ดมันออกไป มองไปยังเลาฟางและบ่านอย่างอดไม่ได้ “บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าร้องเพลงนี้! เห็นไหมน้อหลินต้องมาเห็นพวกเราสภาพแบบนั้นเลย!”
เมื่อได้ยินเฉินฉีต่อว่าเลาฟางก็โมโหและบ่นกลับไปบ้าง “บ้าจริง มันก็แน่อยุ่แล้วป๊ะ ว่าพวกเราร้องเพลงนี้ให้กับสาวๆ ถ้าเพลงแค่นี้ร้องไม่ได้ก็แย่แล้ว ตอนแรกนายต้องร้องคนเดียวด้วยซ้ำฉันเลยลุกขึ้นมาช่วย!”
พูดจบเลาฟางก็เหมือนจะไม่พอใจนิดหน่อยก่อนที่จะยกเบียร์ขึ้นมาอีกสองกระป๋องและชนมันข้างหน้าเฉิงฉี “มาม๊ะ เจ้ากระต๋ายน้อย ถ้าวันนี้ดื่มไม่ไหวแล้วระวังจะได้อ่านชื่อของฉันแบบกลับหัวน๊ะ!”
“ดื่มเลยเท่าไหร่ก็ได้!” “ดื่ม!”
“ดื่ม!”
เห็นชายทั้งสองเมาเละเทะแล้วในตอนนี้หลินเฉิงก็รู้สึกผิดที่ให้ฉีเซี่ยวฮันกลับไปก่อนโดยไม่ต้องกลับมาเจอะสภาพนี้เป็นเพื่อนเขา
“เพื่อนของคุณหลินดูน่าสนใจกันดีจังนะค่ะ”
เมื่อเห็นหลินเฉิงไม่พูดจาอะไรสาวชุดดำก็กลับมา ยิ้มให้กับชายสุดเมาทั้งสอง และหันกลับมาคุยกับหลินเฉิง
เขาชายตามองสาวชุดดำและพูดอย่างสบายๆ“ฉันไม่คิดอย่างงั้นหนะสิ ฉันหวังเหลือเกินว่าจะไม่รู้จักตาบ้าสองคนนี้…”
“อย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ”
แม้หลินเฉิงจะพูดอย่างไม่สนใจสาวชุดดำไม่ยอมหยุดแต่เพียงเท่านี้ เธอก็พูดต่อไป “ตอนนี้โลกก็เละเทะขนาดนี้แล้ว ไม่ง่ายเลยที่มนุษย์จะทำงานอย่างสุขสบายได้ข้างนอกนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็อยากจะหาโอกาสที่ได้ทำอะไรแบบนี้ ที่คุณหลินพูดดูจะรุนแรงไปหน่อยนะค่ะ”
“รุนแรงหนะหรอ….”
หลินเฮิงกระซิบอยู่คนเดียวอยู่ๆ เขาก็นึกถึงความเครียดในช่วงที่ผ่านๆ มาก ในวันที่เขาต้องนึกว่าวันนี้จะขับรถไปไกลอีกกี่กิโล จะหาเสบียงใหม่ๆ เจอบ้างไหม และจะต้องเพิ่มพลังให้กับตัวเองได้อย่างไร เหมือนช่วงเวลานั้นเขาจะไม่ได้คิดเรื่องของผู้หญิงกับผู้ชายบ้างเลย
———————-SC: บทที่ 342 หลินเหยาเหว่ย