I have a capsule system at the end of the world – ผมมีระบบแคปซูลในวันสิ้นโลก - บทที่ 479: โล่งอก!
SC:บทที่479: โล่งอก!
สรุปว่าคุณรู้รึเปล่าว่าบานประตูหินนั่นอยู่ที่ไหน?
หลังจากหยุดลงข้างๆหลิงเหมิงหลินเฉิงก็หยิบบุหรี่ออกมาและจุดขึ้นสูบ เขาถามด้วยท่าทางสบายๆ
เมื่อได้ยินคำถามหลิงเชิงก็กัดฟันทันที มันอาจจะดูเหมือนว่าหลินเฉิงแค่เดินเล่นรอบๆเท่านั้น แต่การหยุดลงของเขานั่นบ่งบอกถึงหลายอย่าง ถ้าหากเขามองไม่เห็นสิ่งนี้ เขาคงลืมความจริงที่ว่าผู้ชายตรงหน้านี้ได้เป็นผู้นำของฐานทัพสมุทรสีครามมาเป็นเวลานานไปแล้ว!
นาย…นายจะหามันไปทำไม?
เนื่องจากกลัวว่าหลินเฉิงจะทำอันตรายหลิงเหมิงหลิงเชิงก็ปฏิเสธอะไรไม่ได้ หลังจากที่สูดหายใจเข้าลึกๆ เขาก็พยักหน้า และจากนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เมื่อเห็นว่าในที่สุดหลิงเชิงก็ยอมรับหลินเฉิงเพียงแค่ยิ้มบางๆ จากนั้นจึงเดินออกมาจากหลิงเหมิงและนั่งลงตรงที่ของตัวเองอีกครั้ง ผมบอกไปก่อนหน้านี้แล้วหนิ ประตูหินนี่มีความสำคัญกับผมมาก แต่ผมจะไม่พูดอะไรที่ลึกไปมากกว่านี้ จนกว่าผมจะได้เห็นประตูหินก่อน….
ก็ได้!
ถึงแม้ว่าหลินเฉิงจะไม่อธิบายให้เขาฟังอย่างชัดเจนแต่หลิงเชิงก็โล่งอก ในเมื่ออีกฝ่ายมาเพื่อประตูหิน มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้จะมาคุกคามคนของเขาแต่อย่างใด ตราบใดที่ทำตามสิ่งที่หลินเฉิงขอ มันก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร
ได้โปรดอย่าถือสาเหมิงเรื่องประตูหินเลยเพราะในคนของกลุ่มทั้งหมด นอกจากฉัน ก็มีแค่ท่านผู้เฒ่าฟางเท่านั้นที่รู้ว่ามีประตูหินนี้อยู่!
หลังจากเรียบเรียงคำพูดเล็กน้อยทันใดนั้นหลิงเชิงก็ลุกขึ้นและเอ่ยกับหลินเฉิงด้วยความขึงขัง ฉันไม่รู้ว่านายไปเห็นประตูหินแบบนี้มากจากไหน แต่มันก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าการที่นายเคยเห็นประตูนี้จากที่อื่น มันหมายความว่าพวกเราไม่ใช่เผ่ารัตติกาลกลุ่มเดียวในโลก!
เมื่อเห็นว่าถึงแม้หลิงเชิงจะพยายามซ่อนมันแต่ความตื่นเต้นบนหน้าของเขากลับไม่สามารถปกปิดได้มิด หลินเฉิงยิ้มและพยักหน้า คุณพูดถูกแล้ว และผมขอบอกคุณเลยว่าสถานที่ที่ผมเห็นประตูหินนี่ครั้งสุดท้ายอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณ1,000กิโลเมตร และยังต้องข้ามผ่านทะเลไปอีกประมาณหลายร้อยไมล์!
นี่นี่…
เมื่อได้ยินแบบนั้นหลิงเชิงก็จ้องหน้าอีกฝ่าย ไม่ใช่ว่ามันหมายความว่าคนของเผ่ารัตติกาลได้กระจัดกระจายไปทั่วทั้งประเทศจีนหรอกหรอ?
ผมไม่รู้ หลินเฉิงส่ายหน้าเบาๆ แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณไม่น่าจะบังเอิญเป็นเผ่ารัตติกาลกลุ่มเดียว!
นั่นน่าจะเป็นข่าวที่ดีที่สุดตั้งแต่ที่ฉันได้ยินเมื่อไม่นานมานี้เลย….
เมื่อได้รับคำยืนยันจากหลินเฉิงหลิงเชิงก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนหน้านี้ ภาระหนักที่สุดในใจของฉันก็คือปัญหาเรื่องจำนวนประชากรของเผ่ารัตติกาล ฉันกังวลเรื่องนี้มาตลอด ถ้าหากเผ่ารัตติกาลต้องถูกทำลายลงเพราะฉัน ฉันจะทำยังไง? แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าฉันจะกังวลเกินไป….
ใช่!แต่มันก็มีคำถามที่ผมอยากจะถามคุณมาตลอด แต่ผมยังไม่มีโอกาสได้ถามเสียทีเนื่องจากเหตุผลหลายประการ แต่ตอนนี้ที่ผมได้เจอคุณในวันนี้ รบกวนช่วยแก้ข้อสงสัยของผมด้วย!
เมื่อเห็นท่าทางของหลิงเชิงเขาก็ละทิ้งความรู้สึกหนักอึ้งก่อนหน้านี้ไปและกระฉับกระเฉงขึ้น หลินเฉิงที่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ก้าวออกมาจากความกดดันในล้างเผ่าพันธุ์ทำได้แค่หัวเราะออกมา จากนั้นจึงเอ่ยถาม ผมได้ยินที่หลิงเหมิงพูดก่อนหน้านี้ว่าจู่ๆ เผ่ารัตติกาลก็ตื่นขึ้นมาในโพรงนี้? อ้อแล้วก็ พวกคุณเองก็ตื่นขึ้นมาในโพรงหลังจากวันสิ้นโลกเหมือนกัน…
หลังจากฟังจบหลิงเชิงก็พยักหน้าเล็กน้อย ใช่ แล้วมันทำไม?
แต่ในเมื่อคุณมีชีวิตหลังขึ้นมาจากเวลาสิ้นสุดลงแล้วคุณรู้จักเครือญาติของคุณได้ยังไง? อย่างเช่น คุณกับหลิงเหมิง คุณรู้ตั้งแต่ที่ลืมตาตื่นเลยหรอว่าคุณมีสายสัมพันธ์กัน?
เมื่อเห็นหลิงเชิงพยักหน้าหลินเฉิงก็พยักหน้าจากนั้นจึงถามคำถามอย่างสงสัย
นี่…
เมื่อได้ยินคำถามหลิงเชิงก็ย่นคิ้วเข้าหากันอย่างอดไม่ได้ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอย่างนั้นนะ! หลังจากที่พวกเราตื่นจากการหลับไหล มันเหมือนกับว่าช่วงเวลาก่อนหน้านี้แค่ถูกแช่แข็งไป หลังจากที่ถูกละลาย สายสัมพันธ์ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมต่อไป เพราะฉะนั้นฉันก็ไม่รู้ในตอบคำถามนายเรื่องนี้ยังไงดีเหมือนกัน เพราะตั้งแต่ที่พวกเราตื่นมา เผ่ารัตติกาลก็สร้างกฎ ลำดับ และสายสัมพันธ์ไปแล้วโดยธรรมชาติ…..
อ๋อ!
หลังจากได้ยินคำอธิบายของหลิงเชิงถึงแม้ว่าหลินเฉิงจะยังมีข้อสงสัยอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ถามอะไรอีก เพราะอย่างไรแล้ว หลิงเชิงก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาที่เป็นคนนอกจะทำอะไรได้?
เมื่อเห็นว่าหลินเฉิงไม่ถามอะไรไปมากกว่านี้หลิงเชิงก็ยืนขึ้นและพูดกับเขาและหลิงเหมิง ไปกันเถอะ ในเมื่อในเคยเห็นประตูนั่นแล้ว ฉันก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรนายอีก บางทีอาจจะเป็นอย่างที่ท่านผู้เฒ่าหลิงเฟิงเคยพูด ยังมีหลายอย่างที่จะต้องถูกเปิดเผยเพื่อไขข้อสงสัย…
ท่านผู้เฒ่าหลิงเฟิง?
เมื่อได้ยินชื่อผู้เฒ่าประหลาดหลินเฉิงก็สงสัย เมื่อหลิงเหมิงเห็นใบหน้าสงสัยของเขา เธอก็พูดเสียงเบา ท่านหลิงเฟิงคือคนที่มีอาวุมากที่สุดและทรงพลังมากที่สุดในเผ่ารัตติกาล! ความจริงแล้วท่านคือผู้เฒ่าที่รู้เรื่องเกี่ยวกับความลับของเผ่ารัตติกาลมากที่สุด แต่ท่านเพิ่งเสียไปไม่นานเนื่องจากอายุของท่าน…
ชิ…เสียดาย!
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของหลิงเหมิงหลินเฉิงก็เข้าใจทันที ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกเสียดาย ถ้าเขาสามารถทำสัญญาพันธมิตรกับเผ่ารัตติกาลและเข้ามาเร็วกว่านี้ เขาก็อาจจะมีโอกาสได้คุยกับท่านผู้เฒ่าหลิงเฟิงคนนี้ ข้อสงสัยของเขาอาจจะได้รับการอธิบายที่ละเอียดมากกว่านี้
เขาถอนหายใจออกมาหลินเฉิงไม่คิดเรื่องนั้นต่อ เพราะอย่างไรแล้วคนตายก็ได้ตายไปแล้ว และเขาไม่มีพลังที่จะเปลี่ยนชีวิตของอีกฝ่ายจากสวรรค์ได้ ดังนั้นเขาจึงต้องวางความหวังทั้งหมดของตัวเองไว้ที่ท่านหัวหน้ากลุ่มหลิงเชิงที่ยังมีชีวิตอยู่
หลังจากหลิงเชิงทั้งสามคนที่เพิ่งออกมาจากที่ทำการและกำลังจะเดินลงไป ทันใดนั้นหลินเฉิงก็ชะงักและชี้ไปที่ สัญลักษณ์วิญญาณ ที่อยู่บนผนังด้านข้างของตนและเอ่ยถาม จะว่าไป มีอีกเรื่องนึงที่ผมไม่เข้าใจ รูปพวกนั้นมันหมายความว่าอะไร? แล้วใครเป็นคนวาด?
เมื่อหลินเฉิงหยุดเดินหลิงเชิงก็หันกลับมามองและได้ยินคำถามของหลินเฉิง เขามองไปที่รูปบนผนัง จากนั้นก็ยิ้มออกมาและเอ่ยตอบ อ๋อ มันก็แค่รูปวาดของท่านผู้เฒ่าหลิงเฟิงวาดตอนเขายังมีชีวิตน่ะ!
อย่างนั้นหรอ?
เมื่อได้ยินคำตอบหลินเฉิงก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ เขาชี้ไปที่ สัญลักษณ์วิญญาณ ที่เห็นได้ชัดว่าดูเหมือนกับรูปคนและพูด ภาพวาดขยุกขยิกนี่จะมีรูปร่างเหมือนคนตัวเล็กๆได้หรอ? และถึงแม้ว่าภาพวาดพวกนี้จะดูไม่เป็นระเบียบ แต่ผมสังเกตมันอย่างละเอียดอยู่พักนึงก่อนหน้านี้และก็มารู้ทีหลังว่ามันน่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน!
การรวมกลุ่ม?!
เมื่อได้ยินคำของหลินเฉิงทันใดนั้นหลิงเชิงก็ตั้งสติได้ เขารีบเดินไปที่ผนัง มองตามหลินเฉิงและพินิจมันอย่างละเอียดอยู่เป็นเวลานาน จู่ๆ เขาก็ตบมือและอุทานออกมาอย่างตกใจ มันเป็นเรื่องจริง!
——————————
SC:บทที่480: ภาพความทรงจำ?
นี่…
เมื่อถูกหลินเฉิงจ้องหลิงเชิงก็รู้สึกอายขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ โอเค! มันแปลกที่ฉันไม่รู้ถึงมันจนถึงตอนนี้ แต่มันเป็นเพราะนอกจากสมาชิกหลักของกลุ่มแล้ว อย่าว่าแต่นายเลย คนในกลุ่มหลายคนก็ไม่รู้…..
ขณะพูดเรื่องนี้หลิงเชิงก็เหลือบไปมองหลิงเหมิงและเห็นว่าเด็กสาวกำลังจ้องมาที่ตนด้วยตากลมโตทั้งสองข้าง เขาถอนหายใจออกมาและเอ่ยต่อ ท่านผู้เฒ่าหลิงเฟิง ผู้ที่อาวุโสสุดของที่นี่ ตอนที่เขาลืมตาขึ้นมาเขามีอายุ110ปี! ถึงแม้ว่าช่วงชีวิตของคนเผ่ารัตติกาลอย่างพวกเราจะยาวนานกว่าพวกนาย ซึ่งอันที่จริงมันก็ไม่ได้ยาวกว่ามากนัก ท่านผู้เฒ่าหลิงเฟิงที่มีอายุถึง110ปี นับว่าเป็นช่วงชีวิตที่หาได้ยากมาก เพราะฉะนั้นความคิดของเขาจึงค่อนข้างสับสนเล็กน้อยก่อนที่เขาจะตาย…
คุณต้องการหมายความว่าท่านผู้เฒ่าหลิงเฟิงเป็นคนวาดภาพวาดพวกนี้ทั้งหมดก่อนที่เขาจะตาย?
เมื่อได้ยินแบบนั้นในที่สุดหลินเฉิงก็เข้าใจความหมายของหลิงเชิง และเพราะเขาอายุมากและความคิดสับสน คุณก็เลยคิดว่ารูปภาพทั้งหมดนี่เป็นแค่ภาพวาดธรรมดาที่ไม่มีความหมายอะไร?
ถูกต้อง!
เมื่อเห็นว่าหลินเฉิงเข้าใจที่ตนอธิบายหลิงเชิงพยักหน้า พวกเราไม่ได้เก่งไปกว่านายหรอก ก่อนที่ฉันจะเจอนาย ฉันคิดมาตลอดว่าพวกเราคือกลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่ ดังนั้นกำลังของฉันทั้งหมดเลยมุ่งเป้าไปที่การเพิ่มจำนวนประชากรของเผ่ารัตติกาลให้ได้มากที่สุด เพราะฉะนั้นฉันเลยไม่ได้สนใจการกระทำของท่าผู้เฒ่าหลิงเฟิงเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าฉันจะพลาดเรื่องสำคัญมากไปเรื่องนึง…
ใช่…
เมื่อรู้สึกได้ถึงอาการเสียใจจนพูดไม่ออกและอับอายจากหลิงเชิงหลินเฉิงก็ถอนหายใจออกมา หลังจากที่เขามองดูรูปภาพทั้งหมดอีกครั้ง เขาก็มั่นใจว่ามันจะต้องมีข้อมูลที่สำคัญมากๆซ่อนอยู่ในภาพวาดพวกนี้แน่ๆ แต่น่าเสียดาย เนื่องจากว่าทั้งเขาและหลิงเชิงไม่สามารถแก้ปริศนาของมันได้ และคนเดียวที่รู้ความจริงอย่างหลิงเฟิงก็ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากที่สุด!
คุณคิดว่า…
หลังจากขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานานจู่ๆหลินเฉิงก็เอ่ยถามหลิงเชิง จากความเข้าใจในตัวของท่านผู้เฒ่าหลิงเฟิงของคุณ คุณคิดว่าเขาจะตั้งใจวาดภาพพวกนึ้ก่อนตายไปทำไม?
อืม…
เมื่อได้ยินคำถามหลิงเชิงก็ข่นคิ้วและคิดเป็นเวลานานโดยที่มือซ้ายจับอยู่ที่ปลายคาง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ ตอนแรกฉันคิดว่ามันเป็นแค่ภาพวาดขยุกขยิกของท่านผู้เฒ่า แต่หลังจากที่นายบอกและพอมอดีๆแล้ว ฉันก็พบว่ามันมีกฎบางอย่างซ่อนอยู่ในภาพวาดพวกนี้ เพราะฉะนั้นฉันคิดว่าภาพวาดพวกนี้น่าจะเป็นเหมือนกับชิ้นส่วนของความทรงจำที่เขานึกขึ้นมาได้ตอนที่เขาสับสน!
ใช่ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน
เมื่อได้ยินการวิเคราะห์ของหลิงเชิงหลินเฉิงก็พยักหน้า แต่คำถามก็คือ ในเมื่อความทรงจำก่อนที่จะหลับไหลไป แล้วทำไมเขาถึงต้องวาดภาพวิญญาณแบบนี้? เขาบอกอะไรรึเปล่า? แต่หลิงเชิงก็ทำได้แต่ยิ้มขมขื่นออกมาและเอ่ย แต่นายก็ต้องรู้ด้วยว่าความคิดของท่านผู้เฒ่าหลิงเฟิงนั้นสับสนอยู่ตอนที่ท่านวาดรูปพวกนี้ มันมหัศจรรย์แล้วที่ท่านสามารถวาด ภาพ ได้ในสภาวะนั้น!
คุณพูดถูก!
เมื่อได้ยินที่หลิงเชิงพูดหลินเฉิงก็ยิ้มแห้งๆออกมา ช่างเถอะ! ตอนนี้คุณมองมันมาตั้งนานแล้ว เห็นคำใบ้อะไรจากรูปภาพพวกนี้บ้างรึเปล่า? เพราะอย่างไรแล้วคุณก็เป็นครอบครัวเดียวกันนี่ คุณน่าจะเห็นอะไรบางอย่างจากรูปวาดของท่านผู้เฒ่า ถูกมั้ย?
นี่…
เมื่อได้ยินคำถามของหลินเฉิงหลิงเชิงก็เกาหัวด้วยความอาย เอาจริงๆเลยนะ ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกว่ามันอาจจะมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ในภาพวาดพวกนี้ แต่จากความทรงจำของฉัน ฉันยังมองไม่ออกจริงๆว่ารูปวาดพวกนี้พยายามจะสื่อถึงอะไร ดังนั้น…..
ไม่เลยหรอ? เมื่อเห็นว่าหลิงเชิงไม่เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งของภาพได้หลินเฉิงก็เอ่ยถามอย่างเหลือเชื่อ คุณเป็นหัวหน้าของเผ่ารัตติกาลนะ! ผมคิดว่าคงไม่มีใครในเผ่ารัตติกาลจะรู้ความลับทั้งหมดมากไปกว่าคุณ คุณจะไม่รู้ได้ยังไง? มันมีช่องว่างอะไรระหว่างคุณกับท่านผู้เฒ่าหลิงเฟิงรึไง?
จะเป็นไปได้ยังไง!
เมื่อได้ยินแบบนั้นหลิงเชิงก็หันไปมองและรีบทำมือปฏิเสธ ท่านผู้เฒ่าหลิงเฟิงเป็นเสาหลักเทพเจ้าสมุทรที่ได้รับความเคารพมากที่สุดในเผ่ารัตติกาล พวกเราปฏิบัติดูแลท่านเป็นอย่างดี แล้วเราจะไปมีช่องว่างกับท่านได้ยังไง? ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าภาพวาดพวกนี้ต้องการจะสื่ออะไร เพราะยังไงแล้วมันเป็นความคิดของคนอื่น และท่านผู้เฒ่าหลิงเฟิงเอง ความคิดท่านค่อนข้างสับสนก่อนที่ท่านจะเสียไป เพราะฉะนั้นมันเลยยากจริงๆที่ฉันจะเห็นคำใบ้อะไรจากภาพวาดที่ไม่สมเหตุสมผลพวกนี้… นี่…ก็ได้!
เมื่อเห็นว่าหลิงเชิงจะไม่รู้ความหมายของภาพวาดจริงๆหลินเฉิงก็ไม่บังคับอีกฝ่ายอีกต่อไป เพราะอย่างไรแล้ว ที่เขามาที่นี่วันนี้ก็เพราะต้องการจะหาคำตอบบางอย่างและไม่ได้อยากจะทำอะไรกับคนของเผ่ารัตติกาล หลิงเชิงเองก็คงไม่สามารถซ่อนอะไรจากเขาได้ถ้าหากอีกฝ่ายรู้เรื่องอะไร ยิ่งไปกว่านั้น ต่อหน้าเขา มันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะซ่อนอะไร ตอนนี้ถ้าหากหลิงเชิงปกปิดอะไรไว้ ไม่นานเขาก็จะรู้ดีอยู่!
รอฉันแปปนึงในเมื่อหัวหน้าหลิงจำความหมายของภาพวาดพวกนี้ไม่ได้ ฉันจะต้องบันทึกภาพนี้เอาไว้ก่อน และเมื่อไหร่ที่มีโอกาส ฉันจะขอให้ใครสักคนมาช่วยฉันแกะความหมายของมัน!
หลังจากทำท่าจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อหลินเฉิงก็พูดกับหลิงเชิงขณะที่เปิดเครื่อง
คนทั้งสองกลับยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิมเมื่อพวกเขาเห็นว่าโทรศัพท์ของหลินเฉิงหน้าจอสว่างขึ้นเพราะตั้งแต่ที่คนของเผ่ารัตติกาลตื่นขึ้นมาหลังจากวันสิ้นโลก ถึงแม้พวกเขาจะเคยเห็นโทรศัพท์ แต่ไม่เคยเห็นโทรศํพท์ที่เปิดเครื่องได้
โดยที่ไม่อธิบายอะไรให้คนทั้งสองหลินเฉิงกดปุ่มถ่ายรูปและแฟลชทันทีหลังจากโทรศัพท์เริ่มทำงาน และจากนั้นจึงค่อยๆถ่ายรูปภาพบนผนังอย่างระมัดระวัง
โทรศัพท์เครื่องนี้ถูกหลินเฉิงเก็บได้ตอนที่เขาไปตามหาวัสดุในเมืองเขาเกือบจะโยนมันทิ้งไปแล้ว เพราะอย่างไรแล้ว อุปกรณ์สื่อสารทั้งหมดได้ถูกทำลายไปหลังจากวันสิ้นโลก แต่ในภายหลังเขาก็พบว่าบ้านของเขาสามารถชาร์จมันได้ และโทรศัพท์นี้ก็สามารถใช้งานได้หลายอย่างนอกเหนือจากการสื่อสาร ดังนั้นเขาเลยเก็บมันไว้ แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์ขึ้นมา
หลังจากที่ค่อยๆถ่ายรูปภาพวาดทั้งหมดที่ละรูปหลินเฉิงก็ทำการคัดลอกและจัดเก็บภาพวาดทั้งหมดอยู่หลายครั้ง จากนั้นจึงปิดเครื่องไปด้วยความพอใจ
นายนั่นใช่โทรศัพท์ที่นายใช้ตอนอยู่ในช่วงสงบสุขรึเปล่า?
เมื่อเห็นว่าหลินเฉิงทำงานของตัวเองเสร็จในที่สุดหลิงเหมิงที่รู้สึกคันอยากรู้เรื่องโทรศัพท์เครื่องนั้นเป็นอย่างมากก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอรีบถามออกไปทันที
เมื่อได้ยินคำถามหลินเฉิงก็มอง จากนั้นก็ยิ้มและถาม ใช่ ทำไมหรอ เธออยากดูหรอ?
———————————–