I have a capsule system at the end of the world – ผมมีระบบแคปซูลในวันสิ้นโลก - บทที่ 532 ผู้ครอบครองสมบัติในวันโลกาวินาศ
- Home
- I have a capsule system at the end of the world – ผมมีระบบแคปซูลในวันสิ้นโลก
- บทที่ 532 ผู้ครอบครองสมบัติในวันโลกาวินาศ
SC:บทที่532 ผู้ครอบครองสมบัติในวันโลกาวินาศ
ได้ยินชูฉิงกระซิบเบาๆหลินเฉิงก็กระแอบไอและกระซิบกลับ ถ้าเธอไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก ฉันก็จะยังชอบที่ได้นั่งข้างๆเธออยู่ ยังไงก็เถอะ เธอคิดว่าจะมีใครกล้าพูดแบบนั้นออกมากับ 1 ใน 4 ดอกไม้งามประจำฐานสมุทรสีครามด้วยหรือไง? ใครบ้างที่ไม่ชอบสาวสวย?
เมื่อเธอได้ยินมันก็อดที่จะหัวเราเบาๆไม่ได้และพูดแดกดันใส่เขา โอ้ นี่นายรู้ด้วยเหรอว่าฉันเป็นผู้หญิง? ฉันคิดว่านายมองฉันเป็นผู้ชายมาตลอดเลยนะเนี่ย!
อืมมมมมันยากเอาการเลยนะที่จะได้พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัวเพื่อมาทานอาหารด้วยกันแบบนี้ เธอช่วยเลิกทำตัวแปลกก่อนจะได้ไหม? หลังจากตระหนักได้ว่าถ้าไม่เลิกกัดกับชูฉิงมันก็น่าจะไม่จบเร็วๆนี้แน่ หลินเฉิงจึงส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้และกระซิบบอกเธอไป
ฮึ่ม…
ได้ฟังดังนั้นชูฉิงก็นึกขึ้นได้ว่าครอบครัวของหลินเฉิงนั้นยังนั่งอยู่ด้วยและเมื่อมองไปก็เห็นฉินซูยี่และคนในครอบครัวกำลังมองมาที่พวกเธอและยิ้มให้ เธอเริ่มอายและไม่กล้าที่จะกระซิบกระซาบกับหลินเฉิงอีกเลย
เอาล่ะในเมื่ออาหารนั้นเสิร์ฟหมดแล้ว เพราะงั้นก็เริ่มทานกันเลยดีกว่า!
เมื่อเห็นว่าชูฉิงนั้นยอมหยุดแล้วหลินเฉิงก็ปล่อยความคิดนั้นไปและยกแก้วขึ้นตรงหน้าให้เป็นสัญญาณแก่ฉินซูยี่และหลี่เฉิงหยี่ หลังจากที่พวกเขายกแก้วขึ้นมากันแล้ว ก็ชนแก้วกันเบาๆและดื่มมันลงไปจนหมดในคราเดียวก่อนจะเริ่มกินอาหารอย่างอื่น
หลินเฉิงนั้นเคี้ยวนู่นเคี้ยวนี่อยู่แทบตลอดเวลาในขณะที่ชูฉิงนั้นไม่สามารถกินอะไรได้เธอกำลังลังเลอะไรบางอย่างมานานแล้ว จากนั้นก็ตัดสินใจสะกิดเอวหลินเฉิงด้วยนิ้วขณะที่เขากำลังคุยกันอยู่โดยไม่ได้สนใจเธอ เมื่อหลินเฉิงหันมามองเธอด้วยความงุนงง เธอก็กระซิบกับเขา นายแน่ใจเหรอว่าจะออกไปพรุ่งนี้น่ะ?
แน่ใจสิ
มองหญิงสาวที่ดูพูดอะไรไม่ออกหลินเฉิงก็พยักหน้าเรื่อยเปื่อยแต่ก็เขาก็หยิบผักมาวางในจานเธอให้แบบไม่หยุด
ถึงแม้ว่าหลินเฉิงจะทำเพื่อพอเป็นพิธีแต่ชูฉิงก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เธอยังคงพูดต่อ ถ้าฉันจำไม่ผิด นายกำลังจะไปหยางจิงสินะ?
เธออยากจะพูดอะไร?
ได้ฟังดังนั้นหลินเฉิงก็ขมวดคิ้วช้าๆและหยุดตะเกียบในมือลง
อย่ามาทำโหดกับฉันน่า!
เมื่อเห็นว่าหลินเฉิงนั้นดูเริ่มจะรีบร้อนชูฉิงก็เริ่มรู้สึกโกรธและพูดด้วยเสียงเบา ฉันแค่อยากจะถาม ในเมื่อนายกำลังจะไปหยางจิง นายรู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ที่นั่นงั้นเหรอ?
สถานการณ์ที่หยางจิง?
ครั้นเมื่อชูฉิงถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมาหลินเฉิงก็ยอมเงยหน้ามองเธอ ถึงแม้ว่าเขามั่นใจเรื่องที่จะไปหยางจิง แต่สถานการณ์ที่นั่นนั้นก็ยังคงมืดสำหรับเขา เขาบอกได้เลยว่าเขาไม่รู้อะไรทั้งนั้น
มองหน้าหลินเฉิงชูฉิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและพูด อะไรกันน่ะ นี่นายบอกว่านายจะไปหยางจิง แต่นี่ก็ผ่านมานานแล้ว แต่นายยังไม่รู้เลยงั้นเหรอว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่นั่นบ้าง?
แล้วจะทำไม?
หลินเฉิงยักไหล่แบบไม่แยแส ตอนนี้หรือเมื่อก่อนก็ไม่ต่างอะไรกันหรอก ไม่มีข่าวอะไรเพิ่มเติม และไม่มีทีวีให้ตามข่าว บางทีต่อให้เมืองนั้นถูกทำลายไปแล้ว เราก็จะยังไม่รู้อยู่ดี! ถึงแม้ว่าดาวเทียมของโทรศัพท์จะยังใช้ได้แต่ในโลก ณ ตอนนี้ เธอคิดว่าจะมีข้อมูลอะไรหลุดมาถึงเราได้ด้วยหรือไง?
นายพูดถูกแต่นายน่ะพลาดอะไรไปบางอย่างนะ
ฟังหลินเฉิงพูดชูฉิงก็พยักหน้าเบาๆและพูด สิ่งที่นายพูดตอนนี้น่ะ คือสิ่งที่คนธรรมดาต้องเผชิญหน้า แต่ฉันน่ะต่างออกไป เพราะเมื่อไม่นานมานี้ฉันเพิ่งจะได้คุยกับเขาผ่านโทรศัพท์เอง!
หลินเฉิงเหลือบตามองเธอก่อนจะตระหนักได้ว่าตัวเขานั้นมองข้ามเรื่องนี้ไปจริงๆ!
เพราะสถานการณ์ปัจจุบันเขาไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลยนอกซะจากการแก้ไขปัญหาต่างๆเท่าที่จะทำได้ แต่ตอนนี้ ชูฉิงได้พูดถึงเรื่องนี้ ซึ่งนั้นทำให้เขาคิดได้ว่า เขาได้ทำอะไรพลาดไปบ้าง!
ใบหน้าหลินเฉิงที่ดูพาลขึ้นมานิดหน่อยนั้นทำเอาชูฉิงอดหัวเราะหึๆไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นล่ะ? นึกได้แล้วหรือไงว่าทำอะไรพลาดไปหืม?
จากสีหน้าของชูฉิงหลินเฉิงก็ยิ้มออกมา อืม ฉันละเลยมันไปเอง จริงสิ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นเลขาของนายพลแห่งฐานสมุทรสีครมแล้ว เธอเองก็เป็นพนักงานรับโทรศัพท์ด้วยนี่ ได้ข้อมูลอะไรที่มีประโยชน์มาบ้างล่ะ?
นายว่าใครเป็นพนักงานรับโทรศัพท์น่ะ!?
ได้ยินดังนั้นชูฉิงก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟและจ้องไปที่เขาอยู่หลายครั้งหลายคราเลย แล้วก็การที่จะบอกนายถึงเรื่องที่ถูกต้องน่ะ บางทีฉันเองก็อาจจะไม่รู้เท่าดิงไฮหยวนแต่ฉันไม่บอกนายหรอก! ให้รู้ไว้เลยว่าฉันน่ะหยิ่งกว่านายเยอะ! แต่ถ้าในเรื่องของท่าทีไม่เป็นมิตร ฉันคิดว่าฉันไม่แข่งกับนายเรื่องนี้ดีกว่า
ฟังเธอพูดไปเขาก็หยิบตะเกียบบนโต๊ะมาคีบผักและกินข้าวต่อ
เข้าใจแล้วๆแล้วฉันจะถูกเธอหลอกหรือเปล่า? มองท่าทีของชูฉิงที่ดูเหมือนจะกำลังหงุดหงิดเพราะเขาหลินเฉิงก็ฝืนยิ้มก่อนจะออดอ้อนเธอนิดๆหน่อยๆ คุณเลขาชู เธอคงไม่จดจำเรื่องเมื่อครู่หรอกจริงมั้ย? ไม่ต้องใส่ใจกับท่าทีหยาบโลนของฉันก็ได้…
ฮึ่ม!
ฟังคำขอโทษของหลินเฉิงชูฉิงก็ไม่ได้อยากจะใส่ใจอะไรมากนัก แต่เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายกำลังจะออกจากที่นี่ในวันพรุ่งนี้ เพราะงั้นแล้วในวันนี้ เธอเองก็มาเพื่อจะบอกบางสิ่งบางอย่างที่ค่อนข้างจะพิเศษให้เขาฟังด้วย ดังนั้นเธอจึงทำเสียงฮึดฉัดอีกครั้งก่อนจะพูด ถ้านายจะถูกฆ่าในซักวันหนึ่ง ก็ขอให้รู้ไว้เลยว่านายจะตายเพราะปาก!
ทันทีที่เธอพูดเธอก็ถือตะเกียบไว้ในมือด้วย ฉันไม่รู้อะไรมากหรอกเกี่ยวกับรายละเอียดของสถานการณ์ในหยางจิง และไม่ใช่ฉันที่รู้แค่นี้ แม้แต่ดิงไฮหยวนที่ดูจะทำเจ้าสิ่งนี้อยู่นานก็ไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่าฉันหรอก นั่นเพราะว่ามันเป็นอย่างที่นายพูด ในตอนนี้น่ะ เขตของการทหารนั้นจะเรียกว่าเป็นเขตที่หาข่าวได้ง่ายก็ได้ แต่จะเรียกว่ากำลังพยายามปิดข่าวอยู่ก็ได้ ดังนั้นแล้วในการที่จะได้มาซึ่งข้อมูลที่จำเป็นนั้นไม่สามารถหามาด้วยวิธีอื่นนอกจากการคุยกันระหว่างกองทหารในระดับสูงเท่านั้น…
แค่นี้เหรอ?
หลินเฉิงอดไม่ได้ที่จะขัดจังหวะเธอ หากพวกกองทหารรักษาการพวกนั้นไหวตัว พวกนั้นจะได้ฐานเสียงเพิ่มเกี่ยวกับยาเพิ่มสมรรถนะหรือเปล่า?
ฟังฉันก่อน!
ชูฉิงโบกมือให้คำถามของหลินเฉิงก่อนจะพูดต่อ ไม่ว่าการป้องกันและการสื่อสารภายในเขตทหารจะเป็นอย่างไร พวกเขาไม่เคย หรือไม่กล้าที่จะคัดค้านอะไรกันทั้งสิ้นถึงเรื่องนี้ นั่นคือ สัญญาณแจ้งเตือนจากกองทหารแห่งเขตหยางจิง!
โอ้? หลินเฉิงนั้นรู้สึกได้ถึงความอยากรู้อยากเห็นที่ปะทุออกมาจากตัวเขาเองเลย นี่มันสุดยอดไปเลยไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมล่ะ?
ชูฉิงใช้น้ำเสียงจริงจังคุยกับเขาต่อในเรื่องนี้ ง่ายมาก นั้นเพราะว่า การทหารของเขตหยางจิงนั้น เป็นผู้ถือครองทรัพย์สินที่มีมูลค่าและสำคัญๆต่างๆเอาไว้ รวมถึงพวกคนที่มีพรสวรรค์เอาไว้ในโลกที่กำลังล่มสลายนี่ด้วย
พรสวรรค์…
ฟังคำง่ายๆพวกนี้แล้วหลินเฉิงก็ขมวดคิ้วช้าๆ อย่างเช่น ฟางซิ่วเฉิง?
ใช่!
เธอพยักหน้าหนักๆ คนอย่างศาสตราจารย์ฟาง ถึงแม้ว่าประสิทธิภาพการต่อสู้นั้นจะไม่ได้ดีจนน่าพูดถึง แต่ผลกระทบที่เกิดจากการต่อสู้กับพวกเขานั้น เป็นอะไรที่หาตัวจับได้ยากหรือบางทีอาจจะไม่มีใครเทียบเท่าเลย! หากพวกเราไม่ได้เอะใจเรื่องนี้ เราคงไม่รู้สึกว่าไอ้ยาเพิ่มสมรรถนะที่กำลังเป็นที่นิยมกันในหมู่ทหารเนี่ย สิ่งเหล่านี้น่ะ มีแค่พวกนักวิจัยอาวุโสอย่างศาตราจารย์ฟางเท่านั้นที่จะคิดมันขึ้นมาได้…