I have a capsule system at the end of the world – ผมมีระบบแคปซูลในวันสิ้นโลก - บทที่ 571 ไม่สนใจ
บทที่ 571 ไม่สนใจ
SC:บทที่571 ไม่สนใจ
การค้นพบที่น่าทึ่งเหรอ…
ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะยิ้มแปลกๆ พูดจริงๆเลยนะ ถึงสถาบันของเราจะเจออะไรที่น่าทึ่ง แต่ด้วยตัวตนของฉันเองนั้น ยังระดับสูงไม่พอที่จะรู้มันหรอก! ฉันเป็นเพียงนักวิจัยชั้นล่างๆ เวลาส่วนใหญ่ก็แค่ไปช่วยพวกนักวิจัยระดับสูงจัดการข้อมูลต่างๆ บางส่วนก็เป็นข้อมูลของพวกซอมบี้ที่สังเกตได้ไม่ก็เหล่านักล่า เพราะงั้นฉันไม่รู้อะไรหรอก…
นายแน่ใจนะ?
ได้ยินคำพูดของเขาหลินเฉิงก็เหยียดหยามและเดินไปยังโต๊ะของอีกฝ่าย หยิบเอากองเอกสารและโยนมันลงไปบนเตียง แล้วไอ้สัญลักษณ์ผีนี่มันหมายถึงอะไร!
มันไม่ใช่สัญลักษณ์ผีนี่มันงานวิจัยส่วนตัวของฉัน! เมื่อเห็นหลินเฉิงตีความงานวิจัยที่เขาทุ่มเทอย่างหนักเป็นสัญลักษณ์ผีเขาก็รีบจัดมันออกมาจากนั้นเขาก็ดูเครียดมากๆก่อนจะพูด ถึงแม้ฉันจะเป็นเด็กใหม่ในสถาบันวิจัยแห่งนี้ แต่ฉันก็ไม่อยากจะใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้ไปตลอดหรอกนะ! จุดจบของโลกมันดำเนินมาครึ่งปีแล้ว และโลกก็เปลี่ยนแปลงอย่างมากแบบนี้มาทุกๆวัน ถ้าฉันยังคงอยู่ในสถาบันวิจัยแห่งนี้ ฉันต้องหาทางเลื่อนขั้น ไม่งั้นแล้วซักวันหนึ่งสมุนตัวจ้อยอย่างฉันคงได้เขี่ยทิ่งเข้าซักวันหนึ่ง..
พอพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของชายหนุ่มก็ดูโดดเดี่ยวขึ้นมาเลย สันนิษฐานไว้ก่อนว่าประสบการณ์ของเขากับสถาบันวิจัยแห่งนี้คงจะไม่ดีซักเท่าไหร่
น่าสนใจ…
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายหลินเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะมองเขาอย่างคาดไม่ถึง เขาคิดว่า ในเมื่อวันสิ้นโลกมันเริ่มขึ้นแล้ว มันคงจะดีกว่าถ้าอยู่เฉยๆและรอวันตายไป คนธรรมดาอย่างหมดนี่ที่ทำงานหนักแม้จะไม่มีพลังพิเศษที่ตื่นขึ้นมา มันหาได้ยากนัก ซึ่งนั่นทำให้เขาต้องเอ่ยปากชมชายตรงหน้าทันที
ดีถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าเรื่องที่นายพูดมันเป็นเรื่องจริงขนาดไหน แต่นั่นก็ไม่เป็นไร…
เขายืนขึ้นและจุดบุหรี่หลินเฉิงมองกลับไปก่อนจะเดินดูตามห้องนอนเล็กๆนั้น เขามั่นใจแล้วว่าที่แห่งนี้ไม่มีกล้องซ่อนไว้แน่ๆ ทันใดนั้นด้วยพลังของแหวนที่มือ น้ำแข็งก็เริ่มก่อตัวขึ้นที่ประตู และเพียงพริบตาเดียว ห้องนอนนั้นก็กลายเป็นคุกน้ำแข็งทันที!
ขอโทษนะพ่อหนุ่ม แต่ว่าฉันจำเป็นต้องให้นายอยู่ในนี้ไปก่อนซักพักหนึ่ง มันช่วยไม่ได้เพราะเรายังรู้จักกันดีไม่พอ…
หลังจากที่จัดการเปลี่ยนห้องนอนนั้นให้กลายเป็นคุกน้ำแข็งที่ซึ่งไม่สามารถหนีออกได้ไปแล้วหลินเฉิงก็บอกกับชายหนุ่มขณะที่กำลังคาบบุหรี่ไว้ในปาก แต่นายไม่ต้องกังวลนะ ตราบใดก็ตามที่นายเป็นคนซื่อสัตย์และอยู่บนเตียงดีๆ ฉันจะไม่แช่แข็งนายนานหรอกเสร็จงานแล้วจะรีบกลับมาละลายน้ำแข็งให้
เขาพูดโดยที่ไม่ได้รอให้อีกคนตอบอะไรหลินเฉิงเดินตรงไปที่เตียงและหยิบเอาทุกอย่างของอีกฝ่ายมา ขอยืมชุดหน่อย
ทันทีที่พูดหลินเฉิงก็ถอดเสื้อโค้ทของเขาออกแล้ว จากนั้นเขาก็สวมโค้ทสีขาวเข้าไปแทน แว่นไร้กรอบถูกหยิบออกมาจากคลังของแคปซูลและสวมไปบนจมูก เพียงครู่เดียวหลินเฉิงก็หลายเป็นนักวิจัยแบบจริงจังไปแล้ว!
เปล่าประโยชน์…
เมื่อเห็นหลินเฉิงปลอมตัวเป็นนักวิจัยชายหนุ่มผู้ที่กำลังสั่นและทำได้เพียงอยู่ในนั้นก็พูดขึ้นด้วยเสียงเบา ถึงแม้ว่าจะมีไม่กี่คนที่อยู่ในสถาบันวิจัยนี้ แต่หลังจาก 6 เดือนที่อยู่ด้วยกันมา ทุกๆคนก็เกือบจะจำหน้ากันได้หมดแล้ว เพราะงั้นต่อให้นายจะปลอมตัวเป็นนักวิจัย ยังไงนายก็น่าจะโดนจับได้..
ได้ยินแบบนั้นหลินเฉิงก็ยิ้มออกมา ต่อให้เป็นงั้นมันก็ไม่รบกวนนายหรอก หลังจากนั้นเขาก็เดินไปที่ประตูแนบหูไว้และฟังเสียงด้านนอก เมื่อชัวร์แล้วว่าด้านนอกไม่มีใครเขาผลักประตูเบาๆ และออกจากห้องไป
หลังจากที่ออกจากห้องมาแล้วหลินเฉิงก็หันกลับไปแล้วจับบานประตูไว้ เมื่อแช่แข็งประตูนั้นเสร็จเขาจึงรีบหันกลับไปตามทางเดินและเดินช้าๆเหมือนคนทั่วๆไปต่อเลย
ด้านหน้าของห้องนอนนั้นเป็นทางเดินยาวและมีประตูอยู่ทั้งสองฝั่งทางเดิน นี่น่าจะเป็นเขตผู้อยู่อาศัยของพวกนักวิจัย
เขาพยายามที่จะรักษาระยะเดินไว้แม้จะเดินช้าๆแม้ว่าจะรู้การ์ดภายในสถาบันวิจัยแห่งนี้จะไม่ได้มีพลังอะไรเป็นพิเศษ แต่เขาก็ไม่ได้อยากจะเชื่ออีกฝ่ายด้วยนิสัยส่วนตัวของเขาเอง ก่อนที่เขาจะได้เข้าใจถึงแก่นแท้ของสถาบันวิจัยแห่งนี้ เขาจะไม่เปิดเผยตัวเองง่ายๆเด็ดขาด
ขณะที่กำลังเคลื่อนที่ไปแบช้าๆนี้ไม่ว่าอย่างไรมันก็ใช้เวลากว่านาทีในการเดินในระยะทางกว่าหลายสิบเมตร หลังจากที่เดินมาถึงทาง 3 แยกแล้วเขาก็หยุดในทันที
ยืนตรงหน้าทางแยกหลินเฉิงก็คิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ตรงหน้านิดหน่อยและดักฟังเสียงอยู่ครู่หนึ่ง เขาพบว่าไม่มีเสียงคนคุยกันเช่นเดิม เว้นซะแต่เสียงกรนที่ดังจากรอบๆ เพราะงั้นเขาทำได้เพียง เลือกทางซ้ายและไปต่อ
*กึกกึก*
เพียงแค่หันหน้าเพื่อจะเดินไปทางซ้ายหลินเฉิงก็ต้องหยุดเท้าไว้ก่อนเพราะเขาได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่ด้านหน้าไม่ไกลออกไป!
ฟังเสียงเท้านั้นแล้วหลินเฉิงก็ขมวดคิ้วพวกนั้นไม่หยุด แต่ยังเดินมาเรื่อยๆช้าๆ
ออกเวรแล้วเหรอ?
ไม่กี่วิต่อมาด้วยเสียงของฝีเท้า ชายหนุ่มที่ดูอายุราวๆ 30 ที่สวมชุดสีขาวเช่นเดียวกับเขาและแว่นสีทองก็เดินเข้ามาหาหลินเฉิง หลังจากทักทายด้วยรอยยิ้มเขาก็ไม่ได้สังเกตรูปลักษณ์ใดๆของหลินเฉิงทั้งนั้นก่อนจะเดินจากไป
อืม
เขาตอบเรื่อยเปื่อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติ หลินเฉิงก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย จากนั้นเมื่ออีกฝ่ายไปแล้ว เขาก็จึงไปต่อเช่นกัน
แบบนี้ดีแล้วสินะ?
หลังจากที่รอดพ้นจากนักวิจัยมาได้แล้วขณะที่กำลังสังเกตสถานการณ์รอบๆตัว หลินเฉิงก็บ่นในใจไปด้วยเรื่องที่ว่า แค่เขาใส่เสื้อโค้ทสีขาวก็ไม่มีใครเอะใจอะไรตั้งแต่ครั้งแรกเลยงั้นเหรอจากนั้นก็ใช้เวลาครู่หนึ่งในการทำแบบนั้นอีกรอบ อย่างไม่คาดคิด นักวิจัยคนอื่นๆก็เดินผ่านเขาเลยโดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าเขาจะปลอมตัวมาและกล่าวทักทาย
ดูเหมือนว่าพวกนักวิจัยที่อยู่ภายในชั้นใต้ดินของสถาบันวิจัยนี่จะมีชีวิตที่ดีพอสมควรเลยนะนี่ขนาดไม่สนใจที่จะระวังเนื้อระวังตัวในงานแต่ละวันกันเลย… ในตอนที่เขานั้นเอาแต่วิพากย์วิจารร์เหล่านักวิจัยภายในสถาบันนี้อยู่หลินเฉิงก็รู้สึกได้ถึงแสงสว่างจ้าขึ้นมา และนั่นทำให้เขาพบว่า ตัวเขาเองมาอยู่ในห้องวิจัยที่เปิดกว้างอยู่เสียแล้ว
นักวิจัยกว่าโหลที่สวมชุดโค้ทสีขาวต่างก็กำลังนอนอยู่ด้านหน้าโต๊ะของพวกเขาจับตาดูเครื่องที่เกี่ยวกับการวิจัยตรงหน้านั่นโดยที่ไม่มีใครรับรู้ได้เลยว่าหลินเฉิงมาอยู่ที่นั่นแล้ว แถมป้าที่ดูเหมือนจะเป็นคนทำความสะอาดนั้นเหมือนจะมองหน้าหลินเฉิง แต่ไม่นานเธอก็ก้มหน้าลงไปและทำความสะอาดตามเดิม
นี่…
เมื่อเขาพบว่าตัวเองกลายมาเป็นมนุษย์ล่องหนไปแล้วหลินเฉิงก็พูดอะไรไม่ออก ไม่มีอะไรที่เขาคาดไว้เกิดขึ้นเลย ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่รู้จะทำอะไรไปซักพัก