I’m in Hollywood – ย้อนเวลามาเป็นเจ้าพ่อฮอลลี - ตอนที่ 170
Chapter 170 ขั้นต่ำ
” ใช่ โรเบิร์ต เชียร์ นี่ก็คือสาเหตุที่ฉันเชิญคุณมาวันนี้ไม่ใช่เหรอ ? ” แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเริ่มพูดก่อน แต่เอริคก็เตรียมพร้อมสำหรับหัวข้อนี้
โรเบิร์ต เชียร์ ที่ได้ยินเอริคพูดมาก็ได้แต่ฝืนยิ้มเท่านั้น ทั้งที่ในใจเขานั้นเต็มไปด้วยความอึดอัด และเขาก็ตัดสินใจยอมแพ้แล้ว แต่เมื่อได้ยินเอริคพูดอย่างนี้ เขาก็เข้าใจผิดและคิดว่าตัวเองจะเสียเปรียบอีกด้วย
ขณะที่ดื่มกาแฟเพื่อให้อารมณ์สงบนิ่ง โรเบิร์ต ถึงเริ่มพูดว่า ” เอาล่ะ เอริคที่จริงแล้ว ฉันก็สนใจการร่วมมือกันระหว่างเราทั้งสองฝ่ายอยู่เหมือนกัน ไหนคุณลองพูดเงื่อนไขของคุณมาให้ฉันฟัง
ก่อนได้ไหม ? “
” คุณก็รู้ โรเบิร์ต ฉันเห็นถึงการสร้างช่องทางของบริษัทNew Line Cinema ดังนั้น ฉันตั้งใจจะซื้อบริษัททั้งหมดของNew Line Cinema ราคาเริ่มต้นที่ 150 ล้านดอลล่าร์ แน่นอนว่าราคานี้ต่อรองกันได้ อีกทั้งหลังจากซื้อเสร็จแล้ว หลังจากนี้หุ้นในบริษัทFirefly ฉันก็จะปรับให้คุณด้วย
ถึงคุณจะอายุ 50 ปีแล้ว คุณยังไม่อยากเกษียณบ้างเหรอ ? “
” ฉันเป็นผู้บริหารมา 20 กว่าปีแล้ว ครั้งหนึ่งฉันเคยเป็นพนักงานทั่วไป ตำแหน่งผู้บริหารก็ไม่ได้ดึงดูดนัก ” โรเบิร์ต เชียร์ยิ้มอย่างปล่อยวาง แล้วพูดต่อไปว่า ” บางทีพวกเราทั้งสองฝ่ายอาจจะร่วมมือกันได้ ก็เหมือนกับบริษัท MGM อย่างนั้น บริษัทNew Line Cinemaมีการสร้างช่องทางจำหน่าย Firefly มีเนื้อหาหนังที่สุดยอด ถ้าพวกเรารวมกันล่ะก็ บางทีฮอลลีวูดในไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ก็จะปรากฏบริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ที่ชื่อว่าFirefly New Line Cinema คุณคิดว่าแบบนั้นดูเป็นไง ? “
” คุณคิดว่าหลังจากรวมกันแล้วควรจะแบ่งหุ้นยังไงล่ะ ? ” เอริคได้ยินคำพูดของโรเบิร์ต เชียร์ ในใจยิ้มออกมา Firefly New Line Cinema ฟังดูดี แต่Firefly ก็คือFirefly เขาไม่ได้กะว่าจะผลักดันอยู่เบื้องหลังยี่ห้อของNew Line Cinemaแน่นอนว่าต้องมีต่อไป แต่เขาแค่จะทำบริษัทลูกของFirefly
เมื่อได้ยินคำถามนี้ โรเบิร์ต เชียร์กวาดสายตาไปที่เอริค ก่อนยกกาแฟขึ้นดื่มอย่างลังเล ที่จริงแล้วคำถามนี้เขาก็ได้เริ่มพิจารณาตั้งแต่ตอนอาหารเย็นไปแล้ว เพราะว่าFireflyเพิ่งจะสร้างมาแค่ครึ่งปี การขายความสามารถยังเป็นศูนย์ สินค้าทั้งหมดก็ไม่ต้องพูดถึงเลย เดิมทีก็มีมูลค่าไม่เท่าไหร่ แต่หลังจากที่เอริคเข้ามาแล้ว Firefly นั้นมีความสามารถในการทำไรที่น่ากลัวมาก
ถึงแม้ว่า《Home Alone》จะไม่นับว่าเป็นสินค้าของ Firefly ไม่รวมในนั้น แต่หนังเรื่อง《Pretty Woman》ก็ทำกำไรเกินกว่า 100 ล้านดอลล่าร์ไปแล้ว ถ้า《Running out of Time》ถึง 200 ล้านในประเทศ และโรงฉายที่ต่างประเทศถึงแม้จะได้ 200 ล้านเท่ากัน
Firefly จะได้ส่วนแบ่งถึง 80 ล้านดอลล่าร์ ยิ่งกว่านี้คือโรเบิร์ต เชียร์ก็เข้าใจดี เอริคยังเคยทำหนังร่วมกับฟอร์ดถึง 2 เรื่อง และยังสร้างภาพยนตร์อีก 3 เรื่อง หนึ่งเรื่องที่ทำกำไรแน่ๆคือ《Home Alone 》และ《Sleepless in Seattle》เอริคก็กำกับด้วยตัวเอง ที่มีทอม แฮงค์มาร่วมเป็นส่วนหนึ่ง นั้นแน่นอนว่าโชคดีมาก บทของภาพยนตร์ เรื่องอื่นๆก็ใช้ต้นทุนไม่เกิน 100 ล้านดอลล่าร์ ด้วยชื่อเสียงของเอริคแล้วก็ต้องทำกำไรได้อย่างแน่นอน จากสถิติทั้งหมดนี้ แผนการทำกำไรของFirefly ปีนี้ที่โรงฉายอย่างเดียว บางทียอดรวมกำไรของโรงฉายทั้งหมดอาจจะมาจากการช่วยโฆษณาของ 2 ษริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ นั้นอาจทำให้มีรายได้ราวๆ 400 ล้านดอลล่าร์
ส่วนมูลค่าตลาดของหนึ่งบริษัท อาจจะทำให้บริษัทนี้ทำกำไรประมาณ 10 เท่า อย่างเช่น 6 ยักษ์ใหญ่ หากเป็นปีที่มีผลกำไรที่ยอดเยี่ยม 1 ปี อาจะได้ประมาณ 200 ล้านดอลล่าร์ ส่วนมูลค่าตลาดทั่วไปอยู่ที่ราวๆ 2 พันล้านดอลล่าร์ ตอนนี้มูลค่าตลาดของ Columbia เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่New Line Cinemaนั้นปีที่แล้วหนัง 6 เรื่องที่สร้างขึ้น มีแค่ 1 เรื่อง《A Nightmare on Elm Street 4》ที่ทำกำไรถึง 100 กว่าล้านดอลล่าร์จริงๆ เรื่องอื่นๆไม่กี่เรื่องนั้นทำกำไรไปแค่ไม่กี่ 10 ล้านดอลล่าร์ แต่ยังเพิ่มส่วนแบ่งให้กับวิดีโอเทปอื่นๆ ได้บ้าง ปีที่แล้วกำไรของNew Line Cinemaประมาณ 300 ล้านดอลล่าร์ก็เรียกได้ว่า เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว มูลค่าตลาดของNew Line Cinemaราวๆ 300 ล้านดอลล่าร์
แน่นอนว่า วิธีคำนวณอย่างนี้แค่ให้มือสมัครเล่นประเมิน
มูลค่าตลาดจริงๆของบริษัทบริษัทหนึ่งไม่คำนวณอย่างนี้แน่นอน ปีที่แล้วกำไรจริงๆของบริษัทNew Line Cinema 300 ล้านดอลล่าร์
นั่นเพราะเป็นเป็นปีมีผลกำไรจาก 《A Nightmare on Elm Street 4》เป็นการขายสินค้าที่โชคดี แต่เรื่องที่ 2 และเรื่องที่ 3 ของ《A Nightmare on Elm Street》 โรงฉายได้แค่ 200 ล้านเท่านั้น หลังจากแบ่งแล้วจึงขาดทุน โดยพื้นฐานของหนัง 2 เรื่องนั้นไม่ได้ทำเงินอะไร ดังนั้นเอริกหยิบเอกสารขึ้นมา การตรวจสอบการเงินบริษัทที่มาตรฐานประเมินค่าบริษัทNew Line Cinemaแค่ 1.5 ร้อยล้านดอลล่าร์ คลังภาพยนตร์ , ลิขสิทธิ์ซีรีย์และทรัพย์สินรวมการสร้างช่องของNew Line Cinemaก็นับรวม แต่ละปีมีการทำกำไรที่ไม่มั่นคงเอามากๆมีผลลัพธ์อ้างถึงน้อยมากๆ แต่Fireflyนับแล้วก็วุ่นวาย เอริกแค่เช่าสำนักงานสำนักงาน และอุปกร์ที่ติดตั้งไปก็จ่ายเงินทุนไปไม่ถึง 100 ล้านดอลล่าร์แล้ว ลิขสิทธิ์《Home Alone》อีกทั้งลิขสิทธิ์《Pretty Woman》และลิขสิทธิ์ครึ่งหนึ่งของ《Running out of Time》 และลิขสิทธิ์หนังอื่นๆอีก เรียกได้ว่าแม้จะมีมูลค่า 100 ล้านดอลล่าร์ ก็ยังเรียกได้ว่ามูลค่าพันล้านดอลล่าร์
ดังนั้น เอริคถามโรเบิร์ตตั้งใจจะรวมกันเท่าไหร่ตอนแบ่งหุ้นบริษัท แม้ว่าจะคิดมาสักพักแล้ว
โรเบิร์ตก็ยังไม่สามารถให้คำตอบได้
พิจารณาอยู่ 5 นาทีเต็มๆ โรเบิร์ตถึงใช้มือซ้ายยกกาแฟขึ้นดื่ม ในตอนนั้นมือขวาที่วางอยู่บนโต๊ะก็ยกขึ้นมา ยื่นมือออกไป 3 นิ้วอย่างไม่มั่นใจ
” 3% ? ” เอริคมองข้างหน้า อ้าปากถามอย่างอยากรู้
ฟูด!!!
โรเบิร์ต เชียร์ทนไม่ได้สำลักกาแฟออกมา โชคดีเขาเปลี่ยนทิศทางทันเวลา เลยไม่ได้สำลักมาบนโต๊ะหรือบนตัวเอริคแต่เพราะเปลี่ยนทิศทาง ก็มีหยดน้ำกระเด็นไปโดนบนหน้าอกของแอนนิสตันอยู่ประปราย
หญิงสาวเดิมทีก็ไม่ได้สนใจอะไรในการพูดคุยของพวกเขาแม้แต่น้อย หญิงสาวคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เลยไม่ได้ระวังตัว จนกระทั่งรู้สึกว่าชื้นที่หน้าอกจึงก้มลงไปมอง ถึงตกใจรีบคว้าผ้าเช็ดปากมาเช็ดคราบกาแฟทันที พลางจ้องไปที่เอริคอย่างไม่พอใจ เธอไม่เข้าใจเลยว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น เธอรู้แค่เอริคพูดว่า ‘3%’อะไรสักอย่าง หลังจากนั้นชุดของเธอก็เปื้อนกาแฟเสียแล้ว
พนักงานร้านอาหารเมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็รีบพุ่งเข้ามายังโต๊ะของเอริคทันที บริกรคนหนึ่งรีบส่งกระดาษทิชชู่ให้กับแอนนิสตันเพื่อเช็คคราบกาแฟบนเสื้อ ในเวลาเดียวกันก็ช่วยทำความสะอาดพื้นและบนโต๊ะที่เลอะคราบกาแฟให้อย่างเรียบร้อย
หลังจากที่บริกรเก็บกวาดเช็ดโต๊ะอย่างดีแล้ว ก็ออกห่างจากโต๊ะของเอริคแล้วกลับไปยืนอยู่ตรงมุมห้องเหมือนเดิม
” ขอโทษจริงๆ ” โรเบิร์ต เชียร์ใช้ผ้าเช็ดปากเช็ดปากและเสื่อผ้าที่หน้าอก แสดงความขอโทษไปทางแอนนิสตัน และก็เอริคอีกด้วยความรู้สึกไม่สู้ดีนัก ” เอริคฉันเปิดบริษัทอย่างอดทนสู้มา กว่า 20 ปีทำไมถึงมีค่าแค่หุ้น 3% ล่ะ ? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ พวกเรายังจะมีอะไรต้องคุยกันอีกล่ะ ? “
” เอาล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว คุณจะพูดว่า…..30% ใช่ไหม ? ” เอริคพูดประโยคที่ถูกต้องอีกครั้ง
โรเบิร์ต เชียร์ พยักหน้า ” ดำเนินการปีนี้ได้เลย ฉันยังต้องให้ครอบครัวอีกสักหน่อย ดังนั้นฉันจะไม่ใช้เงินสดซื้อ ฉันหวังว่าทั้งสองบริษัทจะรวมกันได้นะ อีกทั้งฉันจะถือหุ้น 30% นี่คือขั้นต่ำของฉัน “