I’m in Hollywood – ย้อนเวลามาเป็นเจ้าพ่อฮอลลี - ตอนที่ 190
ตอนที่ 190 วิสัยทัศน์ที่เลวร้าย
“ทำไมยังดีใจอยู่ได้ ทั้งๆที่เมื่อกี้เพิ่งจะโดนไมเคิล ไอสเนอร์แบล็คเมล์เรื่องหนังนะ” เอริคพูดออกมาอย่างจนปัญญา
ถึงแม้เอริคไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่เจฟฟรีย์ก็เข้าใจความหมายที่เขาต้องการสื่ออกมาได้ “แล้ว …. บริษัท Disney เสนอเงื่อนไขอะไรละ?”
“ยังไม่ได้คุย” เอริคส่ายหน้าแล้วตอบกลับ “ฉันเพียงแค่สัญญาปากเปล่ากับไมเคิล ไอสเนอร์เท่านั้น”
เจฟฟรีย์ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี การถ่ายหนังก็เหมือนกับแม่ไก่ฝักไข่ เราต้องใช้ความพยายามและความอดทนอย่างมาก กว่าจะได้หนังออกมาแต่ละเรื่อง อ่ะ จริงสิเมื่อสองวันก่อนฉันได้ยินข่าวมาว่าบริษัท Disney กับบริษัท Warner ยุติการร่วมมือกันแล้ว ธุรกิจหนังทั้งหมดถูกโอนกรรมสิทธิ์ไปให้บริษัท Buena Vista International เป็นผู้ควบคุมดูแลแทน
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมละ ? “เมื่อได้ยินประโยคหลังของเจฟฟรีย์ เอริคจึงถามออกมาโดยไม่คิด
“เกี่ยวข้องแน่นอน หลังจากที่ Warner ตัดความสัมพันธ์กับ Disney แล้ว จึงทำให้บริษัท Disney เกิดคามกลลหลวุ่ยวายกันยกใหญ่ จากการประเมินแล้วการจะรวมธุรกิจนี้ไว้ด้วยกัน Buena Vista International ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปี หากคุณรับปากว่าจะให้หนังของ Disney มีกำหนดฉายในครึ่งปีแรกของปีหน้า มีความเป็นไปได้ว่า Buena Vista International ใช้หนังเป็นเหยื่อล่อบุกตลาดต่างประเทศ แต่หากคุณกำหนดฉายในครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่ามาก”
“Disney `คงไม่ใช้หนังของผมเป็นเหยื่อล่อหรอก พวกเขาไม่อยากได้เงินแล้วเหรอ?” เอริคกล่าวถามด้วยความสงสัย
เจฟฟรีย์เก็บผ้าเช็ดหน้าใส่กระเป๋า ก่อนจะเรียกบริกรที่อยู่ไม่ไกลนักมาเสิร์ฟไวน์ให้เขา หลังจากนั้นเจฟฟรีย์ก็หันไปพูดกับเอริคต่อว่า “Disney `ใหญ่โตขนาดนี้เขาคงไม่หวังกำไรจากหนังแค่ 1-2 เรื่องในบ๊อกออฟฟิสเท่านั้นหรอก พวกเขาต้องการขยายช่องทางอื่นเพิ่ม อีกทั้งหนังหลายเรื่องของคุณก็ได้รับเสียงตอบรับจากทั่วโลก นี่คือวิธีการที่ดีที่สุดที่เขาจะสามารถขยายช่องทางได้ Disney สร้างชื่อเสียงให้กับหนังของคุณ และในเวลาเดียวกันเขาก็ได้รับผลกำไรจากการทำธุรกิจหนังในต่างประเทศด้วย ซึ่งทำให้เรื่องอื่นๆนั้นดำเนินการไปอย่างราบรื่น ไม่แน่ว่าหนังเพียงเรื่องเดียวอาจจะทำให้ Disney เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายได้อีกหลายๆประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ววิธีการนี้ทำให้ได้รับผลกำไรในระยะยาว หนังเพียงเรื่องเดียวสามารถสร้างผลกำไรได้มากมายขนาดนนี้ เป็นคุณจะไม่เอาเหรอ “
เอริคพยักหน้าอย่างเข้าใจ Disney ใช้หนังของเอริคเพื่อเปิดช่องทาง ซึ่งวิธีการนี้หากทำไม่สำเร็จบริษัทจะต้องสูญเสียรายได้จากบ๊อกออฟิสต่างประเทศจำนวนมาก ถ้าเป็นเช่นนี้ ถึงแม้ว่า Disney จะขยายช่องทางแล้วก็ตาม แต่เอริคและบริษัท Firefly `จะไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆเลย และถึงแม้ส่วนแบ่งในบ๊อกออฟฟิสต่างประเทศจะไม่ได้สูงมากนัก แต่ยังดีที่หนังอีกหลายเรื่องที่ถูกจำหน่ายในบ๊อกออฟฟิสต่างประเทศก่อนหน้านั้น ทำให้เขาได้รับผลกำไรกว่า 10 ล้านดอลลาห์ เขาจะไม่ยอมเสียสละผลประโยชน์ของตัวเองเพราะความหวังดีของ Disney เป็นแน่ นอกเสียจากว่า Disney จะชดใช้ค่าเสียหายให้กับเอริคก่อน
เอริคจึงครุ่นคิดอย่างระมัดระวังก่อนจะถามขึ้นว่า “คุณเจฟฟรีย์ ผมเพิ่งนึกได้ว่า ที่คุณบอกว่าคุณกับ โรเบิร์ต เชียร์ ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกนั้นหมายความว่ายังไงเหรอ?”
“ก็หมายความว่าไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกไง โรเบิร์ต เชียร์ยืนยันที่จะรับส่วนแบ่ง 15 % `บวกกับเงินสดอีก 60 ล้านดอลลาห์ ฉันจะไม่ยอมเขาอีกแล้ว ดังนั้นฉันเลยรีบมาหาคุณ เพราะเรื่องนี้ต้องให้ประธานอย่างคุณเป็นคนตัดสินใจ”
เอริคครุ่นคิดพักใหญ่ก่อนจะถามว่า “คุณแน่ใจใช่ไหมว่านั้นคือไม้เด็ดสุดท้ายของเขาแล้ว?”
เจฟฟรีย์พยักหน้า “แน่ใจสิ โรเบิร์ต เชียร์แสดงออกมาอย่างชัดเจนขนาดนั้น นี้คือไม้เด็ดสุดท้ายของเขาแล้วจริงๆ เราจะต้องไม่ยอมให้เขาอีก อีกอย่าง….” เจฟฟรีย์พูดถึงตรงนี้แล้วยิ้มแปลกๆออกมาก่อนจะพูดต่อว่า “โรเบิร์ต เชียร์ย้ำกับฉันว่า ถ้าคุณไม่ตกลงกับราคานี้ เขาจะปฏิเสธทุกคำเชิญของคุณ”
“อ่า…..นี่” เอริคสงสัย
เจฟฟรีย์ไม่ปล่อยให้เอริคสงสัยนานเกินไป เขาหัวเราะออกมาแล้วจึงอธิบายให้เอริคฟังว่า “เมื่อตอนที่คุณไปกินข้าวกับเขาครั้งแรก บทสนทนาของคุณทำให้โรเบิร์ต เชียร์ประทับใจอย่างมาก เขากลัวว่าถ้าเผชิญหน้ากับคุณอีกครั้งอาจจะต้องถอยออกมาอีก อื้อ ฉันคิดว่ามันต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน ถึงแม้ว่าการเจอกันครั้งนั้นฉันจะไม่ได้เข้าร่วมด้วยก็ตาม แต่เหมือนว่าครั้งนั้นเขาจะถูกคุณพูดยั่วยุใส่จนต้องดิ้นพล่านขนาดนี้ และคิดว่าคุณต้องยอมเขาแน่นอน ใช่ไหมละ?”
“ผมพูดยั่วยุตรงไหน ผมแค่พูดความจริง” เอริคแย้งขึ้นอย่างยิ้มๆ
“ถึงอย่างไรเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว จริงๆแล้วฉันรู้สึกว่าราคานี้ก็เหมาะสมดีแล้วนะ การเปิดเส้นทางจัดจำหน่ายใหม่ยังไงก็ต้องอาศัยบริษัทหนังที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปีอยู่แล้ว งั้นฉันไปเตรียมความพร้อมสำหรับหนังเรื่อง Sleepless in Seattle ส่วนเรื่องของ New Line Cinema ฉันส่งต่อให้คุณละกัน เรื่องเอกสารต่างๆฉันเตรียมไว้ให้คุณเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้จะให้เลขานำไปให้คุณที่ออฟฟิศ”
“อื้อ ผมรู้แล้ว” เอริคพยักหน้า แต่ไม่วายหันไปถามเจฟฟรีย์ด้วยความกังวลว่า “คุณเจฟฟรีย์ คุณรู้ใช่ไหมว่าหากผมซื้อNew Line Cinemaนั้นสำเร็จ คุณจะ….”
เจฟฟรีย์ตบไหล่เอริคเบาๆ แววตาที่แสดงออกมาอย่างมีความหมายภายใต้กรอบแว่นสี่เหลี่ยมนั้น “เรื่องนี้ฉันใช้เวลาไตร่ตรองหลายวันมาก จึงได้ตัดสินใจมอบตำแหน่งนี้ให้กับโรเบิร์ต เชียร์ไป ถึงฉันจะเป็นแค่ผู้อำนวยการการสร้างหนังหรือรองผู้อำนวยการก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
“ขอบคุณมากครับ คุณเจฟฟรีย์”เอริคตอบกลับด้วยความซาบซึ้งใจ ตั้งแต่เอริคเริ่มทำหนังเรื่อง The Others `ก็ได้รับการสนับสนุนจากชายชราร่างท้วมคนนี้มาโดยตลอด
“เรายังต้องคุยเรื่องนี้กันอีกเหรอ” เจฟฟรีย์ยกแก้วชนกับแก้วเอริคเบาๆ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงสิ โจนาธานเดมี่อยู่คนเดียวที่เวนิสได้ใช่ไหม ให้ฉันไปเป็นเพื่อเขาสักรอบดีไหม ที่จริงแล้วถ้าเป็นเช่นนี้เราน่าจะส่งคาร์พลูไป เพราะเขาคุ้นเคยกับเส้นทางในยุโรปมากกว่า น่าเสียดายที่เขาเป็นได้แค่นายหน้า อีกอย่างเขาก็ไม่ยอมเปลี่ยนอาชีพนี้ด้วย”
“ก่อนคุณมาไมเคิล ไอสเนอร์ได้มาคุยกับผมแล้ว เขาใช้ทุนทรัพย์จาก Disney `ช่วยจัดการเรื่องนี้ให้ เขาทำเพื่อเข้าชิงรางวัลจากเทศกาลหนังที่เวนิสด้วย งานเทศกาลครั้งนี้มีคณะกรรมการถึง 9 คน ผู้กำกับของฮอลลีวูดอย่าง จอร์น แลนดิสก็คือหนึ่งในนั้น”
เจฟฟรีย์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “จอร์น แลนดิสผู้กำกับหนังเรื่อง Coming to America ที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้วนั้นนะเหรอ?”
“อื้อ ที่จริงแล้ว จอร์น แลนดิสถนัดหนังแนวสยองขัวญมากกว่า ดังนั้นคุณก็น่าจะเข้าใจว่าหนังเรื่อง The Others เป็นจุดขายของฮอลลีวูดเลยนะ เนื้อหาเรื่องนี้ทำให้เขาประทับใจไม่ใช่น้อย บริษัท Disney จะต้องส่งคนไปติดต่อเขาแน่นอน”
“คุณจะไปเวนิสเมื่อไหร่ครับ”
“สองสามวันหลังเปิดงาน กว่าจะประกาศรางวัลก็กลางเดือนกันยายน ผมอยู่รอนานขนาดนั้นไม่ได้หรอก วันที่ประกาศรางวัลผมก็ว่าจะไม่เข้าร่วมด้วย เพราะตารางงานในปีนี้ของผมค่อนข้างแน่นมาก ตั้งแต่เดือนกันยายน ตุลาคมไปจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน ผมต้องถ่ายหนังเรื่อง Sleepless in Seattle และ เรื่อง The Others 2 ให้เสร็จ ช่วงนี้ก็ยังคงวุ่นๆอยู่กับการเปิดNew Line Cinema ไหนจะเรื่อง Scent of a Woman ที่ผมต้องให้ความสนใจอีก คิดๆดูแล้วในหนึ่งวันผมแทบจะไม่มีเวลาได้พักผ่อนเลย” เอริคคิดคำนวณในหัวพร้อมทั้งบ่นออกมาให้เจฟฟรีย์ฟัง
“ใครให้คุณทำงานหนักอย่างนี้ละ ผู้กำกับที่ถ่ายหนังได้สองเรื่องได้ภายในระยะเวลา 1ปีถือว่าเก่งแล้วนะ นี่คุณเล่นวางแผนตั้ง 4 เรื่อง แล้วคุณยังกำกับเองอีก 2 เรื่อง ” เจฟฟรีย์กล่าวอย่างยิ้มๆต่อว่า “สงสัยปีหน้าคุณคงยุ่งตลอดทั้งปีใช่ไหม?”
“ฆ่าผมให้ตายเถอะ ปีหน้าผมจะเที่ยวให้หนำใจเลย ชีวิตคนเรายังอีกยาวไกล ผมเองก็ยังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลยด้วยซ้ำ!”
“ก็ใช่นะสิ คุณเพิ่งจะอายุ 19 ปีเอง” เจฟฟรีย์กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอิจฉาเล็กน้อย หลังจากนั้นก็มองไปรอบๆก่อนจะตบที่ไหล่ของเอริคอีกครั้ง “ดูท่าคุณคงเหนื่อยมากแล้วกลับไปพักก่อนก็ได้นะ ฉันเจอคนรู้จักว่าจะเข้าไปทักทายสักหน่อย “
“อื้อ” เอริคตอบเพียงสั้น แต่ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นแต่อย่างใด เจฟฟรีย์จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก เขาลุกขึ้นพร้อมถือแก้วไวน์แล้วเดินจากไป
เอริคนั่งจิบไวน์อย่างช้าๆ คิดว่าหลังจากดื่มไวน์แก้วนี้หมดก็จะกลับบ้านไปพักผ่อนทันที แต่ทว่านั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดราตรีเกาะอกสีเงินยาวปรากฏขึ้นตรงหน้าของเอริค
“คุณเอริค ฉันจะเข้ามาทักทายคุณหลายครั้งแล้วแต่คุณก็มีแขกตลอดเลย” บรูค ชิลส์กล่าวทักทายแล้วลงนั่งข้างๆของเอริค
“คืนนี้คุณสวยมาก คุณบรูค”เอริคกล่าวชมบรูค ชิลส์อย่างยิ้มๆพร้อมทั้งยกแก้วไวน์ขึ้น
“ขอบคุณคะ แต่คนบางคนก็ไม่ได้มองตลอดเวลานิเนอะ” สายตาของหญิงสาวแสดงออกถึงความคับแค้นใจ ดูเหมือนยังเคืองเรื่องที่เอริคปฏิเสธหล่อนหลายครั้ง
เอริคยิ้มบางๆและไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด หญิงสาวคนนี้ชำนาญเรื่องการยั่วยวนอารมณ์ผู้ชายอยู่แล้ว ก่อนที่หญิงสาวจะได้แสดงหนังเรื่อง Running Out of Time บรูค ชิลส์พยายามจะใกล้ชิดเอคริคอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้หล่อนได้แสดงบทบาทอันน่าทึ่งในหนังเรื่อง Running Out of Time แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเสียสละร่างกายเข้าแลกกับบทบาทนั้นอีกแล้ว
เอริคมองความสวยของหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ที่จริงแล้วเขาอยากให้หญิงสาวลุกขึ้นยืนแล้วหมุนตัวให้เอริคได้ชื่นชมด้วยซ้ำ แต่เขาทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น “ได้ยินมาว่าเมื่อไม่นานนี้ คุณ ได้รับบทหนังฟอร์มยักษ์จาก Warner นิ เรื่องอะไรเหรอ ใช่ภาคต่อไปของหนังเรื่อง Batman ไหม?” ภาคต่อของหนังเรื่อง Batman เป็นหนังฟอร์มยักษ์ ในการทำหนังเรื่องนี้ไม่เพียงแต่ต้องใช้เงินลงทุนกว่าพันล้านดอลลาห์ อีกทั้งยังได้สร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกอีกด้วย
บรูค ชิลส์ส่ายหน้าหล่อนยิ้มออกมาก่อนจะพูดว่า “ไม่ใช่ ฉันกับ Warner ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว ตอนนี้ฉันเลือกที่จะร่วมงานกับ Disney แล้ว ดังนั้นคืนนี้ฉันจะจึงได้มางานนี้ยังไงละ”
“อ่อ ถ้าอย่างนั้น….ก็ไม่ใช่เรื่องเศร้าใจอะไร แล้วหนังของ Disney คือเรื่องอะไรละ เป็นความลับรึเปล่าบอกฉันได้ไหม ? ” เอริคถามขึ้นด้วยความสงสัย
บรูค ชิลส์พยักหน้า “เรื่องรายละเอียดฉันบอกอะไรมากไม่ได้หรอกนะ แต่ชื่อหนังฉันสามารถบอกคุณได้ ชื่อหนังว่า Rocketeer แต่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้อีก ฉันจึงบอกคุณได้”
“Rocketeer …” เอริคพ่นไวน์ออกมาทันทีเมื่อได้ยินชื่อนั้น เขาจำได้ว่าหนังเรื่องนี้มีกำหนดฉายขึ้นในปี 91 ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรอถึงปีหน้าจึงจะเริ่มถ่ายได้ แม้ว่าหนังของฮอลลีวูดจะยังไม่ได้สูญหายไปก็ตาม แต่การถ่ายทำและการกำหนดฉายนั้นยุ่งวุ่นวายมาก แต่นั้นไม่ใช่จุดสำคัญ จุดสำคัญก็คือเอริคจำได้ว่าหนังเรื่องนี้ได้นักแสดงที่ห่างหายจากวงการไปนานกว่า 5 ปี อย่าง เจนนิเฟอร์ คอนเนอร์กลับมารับบทจนดังเป็นพุแตกในชั่วข้ามคืน
เอริคที่กำลังนั่งมองหญิงสาวตรงหน้าเขา หญิงสาวยังคงรักษาภาพลักษณ์และความอ่อนโยนจากหนังเรื่อง Rocketeer ไว้อยู่ ตัวหล่อนเองก็ตระหนักได้ว่าภาพลักษณ์นี้เหมาะสมที่จะพัฒนาต่อไปในฮอลลีวูดมากกว่าภาพลักษณ์ภายนอกที่มีเสน่ห์นั้นสะอีก
เอริคทำได้เพียงแค่เสียงจึ๊กจั๊กอยู่ในใจ พร้อมทั้งมองดูหญิงสาวอีกครั้ง สายตาของหญิงสาวคนนี้ที่แสดงออกมานั้นช่างดุร้ายจริงๆ