I’m in Hollywood – ย้อนเวลามาเป็นเจ้าพ่อฮอลลี - ตอนที่ 204
ตอนที่ 204 เป็นไปไม่ได้
คนพายเรือที่ชื่อว่าโลวิโซที่พายเรืออยู่ท้ายเรือ ถึงแม้ว่าเขาจะอายุ50กว่าแล้วก็ตาม อีกทั้งผมของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีขาวแล้วด้วย แต่เขาไม่เคยเห็นหญิงสาว 2 คนจูบกันใต้สะพานถอนหายใจนี้แบบนี้มาก่อน เขานิ่งอึ้งไปสักพักก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง เขาชูนิ้วโป้งไปทางหญิงสาวทั้งสองพร้อมทั้งชําเลืองมองด้วยสายตายินดีปนเสียใจไปยังเอริคที่ยังคงตกตะลึงกับภาพตรงหน้าอยู่ แล้วพูดบางประโยคออกมา
ถึงแม้เอริคจะไม่เข้าใจก็ตาม แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่าสายตาของชายชราคนนี้กําลังสื่อถึงอะไร คนพายเรือยังคิดว่าเอริคเป็นคนวางแผนและเป็นพ่อสื่อให้กับหนึ่งในหญิงสาวสองคนนี้ด้วยซ้ํา แต่ตัวเอริคเองก็ยังตกใจ เขาทําได้เพียงยิ้มออกมาด้วยความลําบากใจเท่านั้น เพราะต่างภาษากัน ทําให้ยากที่จะอธิยายให้เข้าใจได้อยู่แล้ว
เพราะว่าภาพที่หญิงสาวทั้งสองจูบกันใต้สะพานถอนหายใจนั้นสวยงามมาก เมื่อเอริคเห็นภาพนั้นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ก่อนจะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายชอตนั้นเก็บไว้ทันที
จูเลียตาโต พร้อมกับรู้สึกได้ถึงมือของเอลิซาเบธที่โอบเอวหล่อนไว้ ปากแดงๆนั้นประกบที่ริมฝีปากของหล่อน หญิงสาวทั้งสองอยู่อย่างนั้นประมาณกว่าครึ่งนาที เมื่อได้ยินเสียงรัวชัตเตอร์ของเอริค สติของจูเลียก็กลับมา หล่อนรีบใช้มือผลักเอลิซาเบธออกไปทันที ก่อนจะพูดท้วงขึ้นว่า “ลิซ เธอ … ทําไมเธอถึงทําแบบนี้! ”
เมื่อเอลิซาเบธเห็นหน้าแดงด้วยความอายแบบนั้นของจูเลีย หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะโอบเอวของจูเลียแล้วก้มลงจูบอีกครั้ง หลังจากนั้นก็เงยหน้าไปพูดกับเอริคด้วยความเย่อหยิ่งว่า “เอริค ต่อไปนี้ พี่จูเลียเป็นของฉันแล้ว คุณห้ามมายุ่งวุ่นวายกับหล่อนอีก”
“ลิซ เธอพูดไร้สาระอะไร”
เมื่อจูเลียได้ยินคํานั้นของเอลิซาเบธก็ทําให้หล่อนร้อนใจขึ้นมา หล่อนยื่นมือไปหยิกที่เอวของอีกฝ่ายทันที เอลิซาเบธกรีดร้องเสียงแหลมออกมาและโต้กลับอีกฝ่ายทันที หญิงสาวทั้งสองทะเลาะกันอยู่พักใหญ่ จนทําให้เรือกอนโดล่าโคลงเคลงไปมา คนพายเรือที่ชื่อว่าโลวีโซจึงตะโกนห้ามปรามออกมา ทันที จูเลียและเอลิซาเบธจึงได้หยุดลง
ทั้งสามคนใช้เวลาตอนเช้าไปกับการล่องเรือไปตามลําคลองเพื่อชื่นชมทิวทัศน์ทั้งสองฝั่ง หลังจากนั้นก็มากินอาหารเที่ยง เอริคหาคนในพื้นที่เพื่อสอบบางอย่าง ก่อนที่ทั้งสามจะนั่งเรือโดยสารไปยังร้านหน้ากากที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองเวนิส
“ฉันไม่ชอบของแบบนี้”
หลังจากที่ทั้งสามเดินเข้ามาในร้าน เอลิซาเบธก็เดินดูหน้ากากหลากหลายลายที่แขวนอยู่บนกําแพงรอบร้าน ก่อนจะเอ่ยประโยคแรกขึ้น
” ทําไมละ” เอริคที่กําลังหยิบหน้ากากสีทองไม่มีปากใบหนึ่งขึ้นมาดูก่อนจะพูดขึ้น
เอลิซาเบธมาหยุดอยู่ข้างๆเอริคก่อนจะพูดว่า “ฉันเคยอ่านประวัติมาก่อน หน้ากากพวกนี้เริ่มต้นที่เหล่าขุนนางชั้นสูงกับนักโทษถูกกล่าวหาว่าคบชู้กัน พวกเขาจึงใส่หน้ากากนี้เพื่ออําพรางใบหน้าและความอับอาย
“อื้อ เธอคิดว่าผู้คนที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้จะไม่ใส่นางกากเข้าหากันเหรอ”
เอริคตอบตามใจตัวเอง แล้ววางหน้ากากใบนั้นลง แล้วเขาก็หยิบหน้ากากผีสีขาวที่ตกแต่งด้วยลวดลายสีทองอีกใบหนึ่งขึ้นมาดูแทน ก่อนจะหันไปคว้าตัวจูเลียเข้ามาใกล้ๆแล้วนําหน้ากากนั้นมันใส่ใบหน้าของหญิงสาวแล้วพินิจพิเคราะห์ซ้ายขวาของหญิงสาวอย่างละเอียด
เมื่อเอลิซาเบธได้ยินคําพูดของเอริค หล่อนอึ้งไปเล็กน้อยแล้วโต้กลับไปทันที “มีสิ … มีแน่นอน แต่อย่างน้อยก็ไม่แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งหรอก”
” คุณทําให้ฉันสับสนไปหมดแล้วนะว่าเรื่องไหนเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก มันค่อนข้างอธิบายยาก ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้ฉันไม่ได้ใส่หน้ากาก แต่จริงๆฉันกําลังใส่อยู่ เพื่อไม่ให้คนอื่นมองทะลุเข้ามาเห็น แต่ฉันกลับไม่สามารถบอกคนอื่นได้ว่าฉันใส่หรือไม่ใส่หน้ากากอยู่ แต่ถ้ามีคนใส่หน้ากากเหล่านี้จริงๆ คุณก็สามารถเห็นได้ตั้งแต่แวบแรก อ่ะ อย่างเช่นชายหนุ่มคนนั้นก็ใส่หน้ากากอยู่ ลองตั้งใจดูสิ คนที่ใส่หน้ากากเหล่านี้กลับดูจริงใจมากกว่า แต่คนที่ยิ้มภายใต้หน้ากากเหล่านั้นดูแสร้งมากกว่า”
เอลิซาเบธครุ่งคิดตามคําพูดของเอริค ถึงแม้ว่าหล่อนจะมีข้อแก้ต่างในใจก็ตาม แต่ปากก็ยังคงพูดต่อว่า “คุณ…คุณมองแค่ภาพรวมเท่านั้น”
“แล้วเธอคิดว่าไงละ” เอริคถามกลับไปพร้อมกับยกมือโบกทักทายเถ้าแก่ในร้าน ” ขอ ถามหน่อยครับ คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหมครับ? ”
“ได้ครับ” เถ้าแก่มีหนวดอายุราว 40 ปีพยักหน้าและตอบขึ้น แล้วก็ใช้ภาษาอังกฤษ ถามกลับไปอย่างคุ้นเคยว่า “คุณครับ คุณมองอันไหนเป็นพิเศษไหมครับ? ”
เอริคมองไปรอบๆอีกครั้งและตอบกลับไปว่า “ผมอยากได้เป็นชุดอะครับที่มีหมวกกับผ้าคลุม แต่ผมยังไม่เห็นชุดแบบนั้นเลยครับ? ”
“มากับผม” เถ้าแก่พยักหน้าก่อนเดินนําเอริคไปยังห้องที่อยู่ถัดไป “ในนี้ครับ เชิญดูตามสบายเลยนะครับ”
เถ้าแก้ไม่ได้พูดแนะนําอะไรต่อปล่อยให้เอริคเดินดูสินค้าเอง ส่วนตัวนั้นก็กลับไปยังเคาร์เตอร์สินค้าในห้องแรก
เอริคเองก็ไม่ได้ถือสามากนัก เพราะเขาเองก็ค่อนข้างชอบที่จะยืนเลือกสินค้าด้วยตัวเองมากกว่า เขาหยิบหมวก ผ้าคลุม พัดพับรวมไปถึงสิ่งของเล็กๆขึ้นมาดูอย่างสนใจ
“เฮ้ คุณไม่มีมารยาทจริงๆ คุณไม่ถามพี่จูเลียสักคําเหรอว่าหล่อนยอมที่จะทําตามคุณไหม” เอลิซาเบธเข้ามาและแสดงความไม่พอใจอีกครั้ง”
จูเลียที่ถือหน้ากากอยู่นั้นส่ายหน้า “ไม่…ไม่เป็นไร”
เอริคเชิดหน้าขึ้น ทําให้หล่อนกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ หล่อนเองไม่ได้สนใจจูเลียที่ยังยืนอยู่ที่เดิม กลับมีความรู้สึกสะใจอยู่ในใจ
หลังจากชั่วขณะเดียว เมื่อผ่านฝีมือการแต่งตัวของเอริค จูเลียเองก็ที่ถูกปิดบังใบหน้าด้วยหน้ากากและผ้าคลุม บนหมวกด้านบนถูกตกแต่งด้วยขนนกสีม่วง ส่วนด้านล่างที่ตกแต่งด้วยผ้าคลุมสีม่วงที่ปักด้วยลวดลายสีทอง ลงมามีผ้าพันคอสีม่วงอ่อนที่พันอยู่รอบคอของหล่อน มือที่สวมถุงมือสีดําแขนยาวก็ถือพัดที่ทําจากผาไหมไว้ด้วย
“เป็นไง” หลังจากที่ลากหล่อนมายืนอยู่หน้ากระจกในห้องแต่งตัวเขาจึงถามขึ้น
“สวย…สวยมาก” จูเลียที่มองผ่านหน้ากากไปยังกระจกเบื้องหน้าพร้อมทั้งพยักหน้าด้วยความพอใจ
เอลิซาเบธเดินเข้ามาใกล้จูเลียและมองหล่อนอย่างพิจารณา ถึงแม้ว่าในใจหล่อนจะตื่นเต้นมากก็ตามแต่ก็ไม่วายถามขึ้นว่า “ทําไมต้องสีม่วง? ”
“สีม่วงแสดงถึงความลึกลับ คุณไม่รู้สึกเหรอว่าจูเลียกับหน้ากากสไตล์นี้ช่างเข้ากันดีมาก”
“แต่ฉันคิดว่าสีขาวสวยกว่า” เอลิซาเบธชี้ไปยังผ้าคลุมสีขาวตัวหนึ่งที่วางอยู่บนชั้นวาง
เอริคยิ้มก่อนพูดว่า “งั้นเอาชุดที่เป็นผ้าคลุมสีขาวด้วยอีกชุด” พูดจบเอริคก็ดึงหน้ากากที่มีผ้าคลุมนั้นออกแล้วยื่นให้เถ้าแก่ช่วยใส่ห่อ เขาใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมงในการเลือกหน้ากากหลายหลายลวดลาย
“ เอลิซาเบธช่วยหยิบหมวกยื่นให้เอริคพร้อมถามขึ้นว่า “คุณซื้อไปทําอะไรเยอะแยะขนาด
เอริคยิ้มขึ้นก่อนตอบว่า “ของฝาก มาเวนิสทั้งทีก็ต้องมีของฝากเล็กๆน้อยๆบ้างสิ”
เอลิซาเบธกระตุกยิ้มมุมปากด้วยความเยาะเย้นก่อนพูดว่า “ ของฝากสาวๆละสิ? ”
เอริคยิ้มอย่างไม่มความเห็นใดๆ เมื่อเอลิซาเบธเห็นท่าทางอย่างนั้นของเอริค ปฏิกิริยาของหล่อนที่ดูเฉื่อยชาลงแล้ว ก่อนที่หล่อนจะโพล่งด่าออกไปทันทีว่า “คุณมันไอ้เจ้าชู้ตัวพ่อ”
เมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างเอริคกับเอลิซาเบธ จูเลียเดิมทีที่ซ่อนความตื่นเต้นไว้ภายหน้ากากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความขุ่นมัวลงทันที
หลังจากได้ชุดหน้ากากประมาณสัก 5 ชุด เอริคจึงไปจ่ายเงิน
หลังจากที่เขาถามสกุลเงินที่ใช้ได้แล้ว เถ้าแก่รวมราคาทั้งหมดสักครู่ก่อนเงยหน้าขึ้นบอกว่า “ทั้งหมดราค 2200 ดอลลาร์สหรัฐ คิดคุณแค่ 2000 ดอลลาร์สหรัฐละกันครับ”
ขณะที่เอริคกําลังดึงกระเป๋าเงินออกมาเตรียมจะจ่ายเงินเงยหน้าขึ้นมองเถ้าแก่อย่างสงสัย เถ้าแก่ก็อธิบายว่า “ฉันชอบตอนที่คุณเข้าไปดูหน้ากากเหล่านั้นในห้อง ฉันเลยลดให้คุณ”
เอริคยิ้ม” งั้นขอบคุณมากครับ”
เอริคคิ้วถุงหลายใบเดินออกจากร้าน เขายัดถุงใบหนึ่งใส่ในมือของจูเลีย แล้วมองไปไปถุงอีกใบก่อนตัดสินใจยื่นให้เอลิซาเบธ
“ฉันไม่อยากช่วยคุณถือของหรอก” เอลิซาเบธวางถุงใบเล็กนั้นลง แล้วล่วงไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์ของตัวเองแล้วเชิดหน้าขึ้นด้วยความเย่อหยิ่ง
“คุณไม่ได้บอกว่าชอบชุดสีขาวเหรอ? อันนี้ให้คุณ จะเอาไม่เอาถ้าไม่เอาฉันให้จูเลียนะ”
“เหอะ บอกว่าไม่เอาสีขาว” เอลิซาเบธแย่งมาทันที
เอริคถือถุงอีกสามถุงที่เหลือเดินขึ้นไปยืนอยู่บนเรือโดยสารทั้งสองคนก็เดินตามเอริคไปเช่นกัน ขณะอยู่บนเรือเอลิซาเบธที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เขยิบเข้ามาใกล้จูเลียแล้วถามขึ้นว่า “พี่จูเลีย ของพี่เป็นแบบไหนเหรอ? ”
ถึงแม้เอริคไม่ได้บอกก็ตาม แต่จูเลียก็รู้อยู่แล้วว่านี่เป็นขอขวัญจากเอริค หล่อนเปิดดูแวบหนึ่งก่อนจะกอดมันไว้ในออ้อมแขนแล้วบอกเอลิซาเบธว่า “เป็นชุดสีม่วงชุดนั้น”
“ เอลิซาเบธเบะปากเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยความไม่พอใจว่า “จะกอดแน่นอะไรขนาดนั้น ฉันไม่แย่งพี่หรอกน้า”
จูเลียรีบเดินไปหาเอริคทันที หล่อนไม่สนใจคํายั่วเย้าของเอลิซาเบธ ส่วนเอลิซาเบธก็ทําได้แค่สอยเท้าตามไป
“เอริค พรุ่งนี้คุณจะมาเที่ยวอีกไหม? ” ขณะที่นั่งอยู่บนเรือ เอลิซาเบธก็ถามขึ้น
จูเลียเองก็เงยหน้าขึ้นไปมองเอริคด้วยความคาดหวัง
เอริคส่ายหน้า “พรุ่งเป็นงานแถลงข่าวแล้ว เกรงว่าจะไม่มีเวลาแล้วละ”
“งั้นคุณพอจะมีเวลาบอกฉันเกี่ยวกับหนังของคุณได้ตอนไหน? ”
“ฉันแบ่งเวลากว่าแสนนาที ” ระหว่างที่เอริคแสดงสีหน้าลําบากใจ อยู่นั้น เอลิซาเบธก็สอดมือเข้ามาควงแขนเอริคทันที
หลังจากที่เอลิซาเบธสอดแขนเข้ามาควงแขนแล้ว ทั้งเอริคและจูเลียต่างก็อึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนที่ทั้งคู่มองไปยังแขนของเอริค ซึ่งวันนี้เอริคใส่เสื้อแขนกุดสีดํา ด้วยเหตุนี้ทําให้มีช่วงว่างตรงกลางระหว่างแขน แต่นั้นไม่ใช่เรื่องสําคัญอะไร เรื่องที่สําคัญก็คือการกระทําแบบนี้เป็นการกระทําที่ค่อนข้างแสดงความสนิทสนมกัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นการกระทําของคู่รัก
แต่เอลิซาเบธก็ไม่ได้รู้ตัวแต่อย่างใด หล่อนมองไปยังคนทั้งสองก่อนจะถามขึ้นว่า “เป็นอะไรกันเหรอ เขาสมควรได้รับสิ ช่างหยายคายจริงๆผู้ชายคนนี้ ” หญิงสาวพูดด้วยความโกรธแล้วไม่สนใจเอริคอีก
จูเลียเองก็รู้สึกเมื่อยเช่นกันแต่เมื่อเห็นสีหน้าลําบากใจของเอริค หล่อนก็ก้มหน้าลงทุนที่พร้อมทั้งกระตุกยิ้มมุมปากด้วยความไม่เข้าใจ
“ไอหยา เมื่อยขาอ่ะ ” เมื่อกลับมาถึงโรงแรมบนเกาะ Lido เอลิซาเบธวางถุงที่เอริคซื้อให้ลงทันที แล้วตรงไปทิ้งตัวบนโซฟาอย่างเมื่อยล้า หล่อนหันไปมองจูเลียที่เดินเข้ามาในห้องแล้วพูดขึ้นว่า ” พี่จูเลีย ช่วยบีบขาให้ฉันหน่อยได้ไหม แล้วเดี๋ยวฉันช่วยบีบขาพี่ ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้น่องของฉันต้องปวดมากแน่ๆเลย”
“ได้ๆ” จูเลียนั่งลงโซฟาอีกด้าน ก่อนจะยกขาเล็กนั้นของเอลิซาเบธวางบนต้นขาของตัวเองแล้วค่อยๆบีบมันเบาๆ
เอลิซาเบธเปล่งเสียงออกมาด้วยความสบาย ก่อนพึมพําออกมาว่า “ไม่ได้สิ ฉันต้องคิดหาวิธีให้ผู้ชายคนนั้นมีเวลาว่างให้ฉัน ฉันไม่อยากทําวิทยานิพนธ์แบบลวกๆส่งนะ”
ขณะที่จูเลียกําลังบีบน่องของเอลิซาเบธอย่างเบาๆอยู่พร้อมกับคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ลิซ วันนี้ทั้งวันเธอก็เอาแต่ทะเลาะกับเอริค เธอลองคิดดูสิว่ามันจะเป็นไปได้เหรอ? ”
“หือ ? ” เอลิซาเบธก็ไม่ได้แสดงความสงสัยแต่อย่างใด
จูเลียยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าเธอชอบดูหนังหรือชอบดูละครละก็เธอจะพบว่าคู่รักที่ชอ บทะเลาะกันแบบนี้จะเรียกว่า คู่กัด”
เอลิซาเบธหันหน้ามาแล้วดีดตัวขึ้นมาวาทันทีก่อนจะเหยียบขึ้นไปบนโซฟา พร้อมกับโบกไม้โบกมือแล้วตะโกนว่า “ไม่–มี-ทาง! ”