I’m in Hollywood – ย้อนเวลามาเป็นเจ้าพ่อฮอลลี - ตอนที่ 209
ตอนที่ 209 หลายหลายความคิด
รถคันสีดําเคลื่อนตัวไปตามถนน เอริคนึกย้อนกลับไปคิดถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่แล้วถอดทอนใจออกมาก่อนพูดขึ้นว่า “ คิดไม่ถึงจริงๆว่านอกจากสถานีโทรทัศน์รายใหญ่แล้ว สถานีเคเบิ้ลเหล่านั้นก็มาด้วยเหมือนกัน แต่ที่สงสัยคือคุณไมเคิล ไอสเนอร์ส่งคนมาทําไมละ ?”
หลังจากที่ซีรี่ย์เรื่อง Friend ได้รับเรตติ้งถล่มทลาย ในฐานะที่อลันเป็นผู้ช่วยของเอริค เหตุการณ์นี้ก็ทําให้เขารู้สึกภูมิใจไม่น้อย และเมื่อถูกคนกลุ่มหนึ่งตามเมื่อสักครู่ก็ยิ่งรู้สึกภูมิใจในตัวเองมากขึ้นไปอีก อลันรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินถึงสิ่งที่เอริคพูดขึ้นเมื่อสักครู่ เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนพูดขึ้นว่า ” ผมคิดว่าคุณไอสเนอร์น่าจะส่งตัวแทนมารับหน้า”
จู่ๆเอริคก็นึกได้ว่าชีวิตที่แล้วของเขาบริษัท Disney ได้รับซื้อสถานีโทรทัศน์ไว้ด้วย แม้ว่าเขาจะจําไม่ได้ว่าซื้อเมื่อไหร่ แต่ถ้าเทียบกับตอนนี้แน่นอนว่ายังเหลือเวลาอีกหลายปี แล้วทําไมไมเคิล ไอสเนอร์ถึงส่งตัวแทนมาตั้งแต่ตอนนี้ละ ?
อลันมองเห็นสีหน้าสงสัยของเอริคผ่านกระจกหลังก่อนจะอธิบายขึ้นว่า ” ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัท Disney กับบริษัทเหล่านี้ค่อนข้างสนิทสนมกันมาก จากที่ผมดูการ์ตูน Disney ผ่านสถานีโทรทัศน์เหล่านี้ตั้งแต่เด็กๆ ก็น่าจะพอเดาได้บ้าง “
เมื่อได้ยินอย่างนั้นเอริคจึงรีบพูดต่อไปทันทีว่า “ อลัน ภายในสองวันนี้คุณช่วยหาข้อมูลของบริษัท Disney กับบริษัทเหล่านี้ให้ผมหน่อย “ และหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “ แล้วก็หาข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ที่อื่นๆกับบริษัทหนังทั้ง 7 ในฮอลลีวูดให้ ผมอีกชุดหนึ่งด้วยนะครับ”
” ไม่มีปัญหาครับ แต่เรื่องนี้ผมอาจต้องใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์นะครับ” อลันหันไปพูด
“ ไม่รีบ คุณค่อยๆหาก็ได้ ขอแค่ข้อมูลถูกต้องก็พอ ”
” รับทราบครับ เอริคตอนนี้เราจะไปไหนกันครับ ? “ อลันถามขึ้นอีกครั้ง ต่อหน้าคนภายนอกอลันมักจะเรียกเอริคว่าคุณวิลเลียม แต่ถ้าอยู่กันแบบส่วนตัวเขาจะเรียกชื่อเอริคเฉยๆเท่านั้น ซึ่งเอริคตั้งใจให้เป็นแบบนี้ ถึงอย่างไรก็ตามอลันก็อายุใกล้จะ 30 แล้ว ถ้าเทียบกับอายุตามร่างกายของเอริคตอนนี้ก็ถือว่ามากกว่าเกือบ 10 ปีเลย ซึ่งต้องถูกเรียกคุณวิลเลียมแบบนั้นตลอดเวลาทําให้เอริคเองอึดอัดไม่ใช่น้อย
เอริคตอบกลับโดยไม่คิดว่า “ กลับบ้าน ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ไม่มีอะไรต้องรีบร้อนนิ ไม่จําเป็นต้องไปรบกวนคนอื่นในเวลานี้อย่างนี้ เดี๋ยวผมกลับไปถึงบ้านก็แค่โทรไปทักทายเจฟฟรีย์สักหน่อยก็โอเคละ “
เมื่อกลับมาถึงบ้านหรูหราในย่านเบเวอร์ลี่ฮิลส์ อลันกับคนขับช่วยกันยกกระเป๋าของเอิรคเข้าไปเก็บในบ้าน เด็กสาวที่รอคอยการกลับมาของเอริคเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาหล่อนจึงรีบตรงไปยังกระเป๋าเดินทางแล้วเปิดหาของขวัญของตัวเองทันทีโดยไม่รอให้คนอื่นกลับออกไปก่อนแต่อย่างใด เอริคเขกหัวเด็กสาวไปด้วยความเอ็นดูก่อนจะเดินออกไปส่งอลันและคนขับรถ
” ในช่วงนี้ถ้ามีคําเชิญจากบริษัท Fox มาก็ช่วยหาข้ออ้างในการปฏิเสธให้ผมหน่อย แต่ถ้าหากมีสถานีโทรทัศน์ที่อื่นติดต่อมาช่วยจัดการนัดให้ผมด้วยนะครับ ” เอริคยืนพูดกับอลันที่หน้าประตูบ้าน
อลันรู้ว่าเอริคกําลังรอเจรจาเรื่องราคากับสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่หลายแห่งเหล่านั้นอยู่ แต่ก็ยังไม่วายสงสัยก่อนจะถามขึ้นว่า ” เอริค แล้วเรื่องที่เมอร์ด๊อกจะคุณไปอยู่กับเขานั้นจะทํายังไง”
” เขาไม่ทําหรอก ” เอริคพูดอย่างมั่นใจ ที่คุณเมอร์ด็อกส่งเครื่องบินส่วนตัวไปรับผมที่เวนิสนั้นเป็นการก่อกวนเล็กๆ เขาแค่ต้องการแสดงความจริงใจในนามบริษัท Fox เท่านั้น เห็นชัดว่าการที่เราทําแบบนี้ทําให้เขาร้อนรนไม่ใช่น้อย และถ้าคุณเมอร์ด๊อกยังต้องการให้ผมไปอยู่ด้วยอีก ผมก็คงจะไม่มีความเกรงใจที่จะพูดกับเขาอีก “
” เอริค คุณเคยคิดที่จะเปลี่ยนสถานีโทรทัศน์ในการออกอากาศซีรี่ย์เรื่อง Friend ไหม ? “ อลันยิ้มแล้วถามขึ้น แต่เมื่อถามออกไปแล้วเขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที เพราะเรื่องนี้ค่อนข้างอ่อนไหวเกินไป
เอริคไม่สามารถบอกแผนการของตัวเองกับอลันได้ ถึงแม้ว่าอลันจะทําหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีก็ตาม แต่เขาก็ไม่อยากให้ผลประโยชน์นี้เป็นตัวล่อให้นําความลับไปเปิดเผยสู่ภายนอกได้ ดังนั้น เขาจึงต้องคนที่ซื่อสัตย์ และเก็บความลับได้ สิ่งคัญที่สุดคือเขาไม่อยากถูกคนที่ไว้ใจหักหลัง ถ้าคู่แข่งรู้แผนการนี้จากอลันแล้วละก็ การได้ผลประโยชน์เหล่านั้นอีกครั้งก็คงเป็นเรื่องที่ยากมากสําหรับเอริค
แต่เมื่อเอริคเห็นสีหน้าของอลันที่ไม่ได้ตั้งใจจะถามคําถามแบบนี้ เขายิ้มบางๆก็พูดขึ้นว่า “ เราจําเป็นต้องดูใบเสนอราคาของทุกฝ่ายก่อน ซึ่งเราต้องเลือกราคาสูงอย่างแน่นอน “
อลันพยักหน้า และไม่ถามอะไรอีกก่อนจะขึ้นรถจากไป
เมื่อเอริคกลับเข้ามาในบ้าน ก็เห็นดูรซ์ที่กําลังรับโทรศัพท์อยู่ในห้องรับแขกพอดี สายที่โทรเข้ามาก็คงเหมือนสายเมื่อเช้าที่โทรมาหาเขาเรื่องเรตติ้งของซีรี่ย์เรื่อง Friend และมันก็ยังเป็นแบบนั้นอีก 1-2 ชั่วโมง สายแรกที่โทรเข้ามาก็คือรูเพิร์ต เมอร์ด็อกเขาโทรมาเชิญเอริคไปร่วมรับประทานอาหารเที่ยงในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเอริคก็หาเหตุผลปฏิเสธเขาไปแล้ว
เขามีแผนที่จะติดต่อกับสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ที่อื่นอีกหลายแห่ง เพราะเหตุนี้จึงทําให้บริษัท Fox นั้นร้อนใจ อีกฝ่ายจึงอยากจะนัดคุยเจรจาธุรกิจการค้าขายกันอีกครั้ง นี่เป็นแผนการหนึ่งที่จะทําให้เอริคได้ผลกําไรที่มากขึ้น ถึงแม้ว่าสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่เหล่านั้นจะมีความกระตือรือร้นในการเจรจามากแค่ไหนก็ตาม แต่เอริคก็ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนสถานีโทรทัศน์ในการออกอากาศซีรีย์เรื่อง Friend นั้นอยู่แล้ว
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วสถานีโทรทัศน์ Fox เปรียบเสมือนเด็กวัยรุ่นที่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์มากนัก และสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่อีกหลายแห่งนั้นเปรียบเสมือนชายชราผู้ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ถ้าหากว่าพวกเขาไว้วางใจให้เอริคเข้าไปร่วมงานด้วย เหตุการณ์ที่ผู้อาวุโสดูหมิ่นผู้ที่อายุน้อยกว่าก็คงเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง ซึ่งสถานีโทรทัศน์ Fox นั้นไม่เหมือนกับในชีวิตที่แล้วของเอริค สถานีโทรทัศน์ Fox ใช้เวลามากกว่า 10 ปีในการก่อร้างสร้างตัวจนเติบโตมาจนมีชื่อเสียงโด่งดังเคียงข้างกับทั้งสามสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาเหนือ มีเพียงเอริคเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ ผู้ที่ดูแลบริษัท New Crop อย่างเมอร์ด๊อกก็ไม่รู้เรื่องเหล่านี้แน่นอน ซึ่งเอริคเองก็ไม่มั่นใจพอกับเครือข่ายโทรทัศน์ของ Fox ที่เกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าแต่อย่างใด จากสถานการณ์นี้ซีรี่ย์เรื่อง Friend จึงมีความสําคัญอย่างมากกับสถานีโทรทัศน์ Fox
เช้าวันที่สอง เรื่องที่เอริคทําเป็นเรื่องแรกคือตรงไปหาทีมงานของซีรี่ย์เรื่อง Friend เพื่อแสดงความยินดี แล้วหลังจากนั้นตอนเที่ยงก็ไปรับประทานอาหารกับรองผู้อํานวยการของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งที่มาลอสแองเจลิสโดยคําสั่งของไมเคิลไอสเนอร์ ตกค่ำก็ถูกโรเบิร์ตเชียร์พาไป พบกับผู้บริหารคนหนึ่ง แล้วเช้าของวันที่ 7 กันยายนเขาก็ถูกผู้จัดการของบริษัท CBS ในลอสแอง เจลิสพาไปตีกอล์ฟ
พูดได้ว่าทั้งสามสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ต่างใจกว้างมาก ซึ่งเรื่องที่น่าแปลกใจคือพวกเขาไม่พูดถึงเรื่องราคาแต่อย่างใด แต่กลับเสนอเงื่อนไขในการโฆษณาซีรี่ย์แทน เท่าที่เอริครู้มาจากข้อมูลที่ตัวเองมี อีกฝ่ายตั้งเงื่อนไขที่ค่อนข้างยากมาก ซึ่งที่พวกเขาทําอย่างนี้ก็เพราะพวกเขาต้องการที่จะสกัดสถานีโทรทัศน์ Fox โดยการยึดการออกอากาศซีรี่ย์เรื่อง Friend ซีซั่น 1 มาเป็นของตัวเอง
หลังจากผ่านการติดต่อกับสถานีโทรทัศน์เหล่านี้แล้ว เอริคก็พบว่าสถานีโทรทัศน์ทั้งสามแห่งต่างมีความเห็นตรงกัน จึงได้ก่อตั้งพันธมิตรร่วมกัน ซึ่งพันธมิตรนี้ค่อนข้างดูเปราะบางมาก ลมพัดนิดเดียวก็สามารถปลิวหายไปได้เลย สถานีโทรทัศน์ทั้งสามแห่งต่างก็แข่งขันกันอย่างดุเดือด ถึงแม้ว่าจะจับมือร่วมมือกันอยู่ก็ตาม แต่ต่างฝ่ายก็ต่างไม่ยอมให้อีกสองฝ่ายที่เหลือมีอํานาจเหนือตน เพราะต่างฝ่ายต่างคิดที่จะครอบครองซีรี่ย์เรื่อง Friend ทั้งนั้น เพราะเรตติ้งของซีรี่ย์เรื่องนี้ไม่ว่าจะออกอากาศบนสถานีโทรทัศน์ช่องไหนก็จะประสบความสําเร็จอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าสถานีโทรทัศน์ทั้งสามแห่งจะเห็นด้วยกับวิธีการนี้ก็ตาม แต่ต่างฝ่ายต่างเริ่มดําเนินการให้บรรลุตามเป้าหมายของตัวเองโดยไม่ทําให้เอริคกดดันแต่อย่างใด เพราะถ้าสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ทั้งสามแห่งทําให้เขากดดันแล้วละก็ เอริคจะต้องพิจารณาถึงผลลัพท์ที่จะเกิดขึ้นของทั้งสามสถานีโทรทัศน์อย่างแน่นอน