I’m in Hollywood – ย้อนเวลามาเป็นเจ้าพ่อฮอลลี - ตอนที่ 225
ตอนที่ 225 บิ๊กซอว์
“คุณวิลเลี่ยม ไม่ทราบว่า เบร์ท”ที่คุณพูดถึงคืออะไรเหรอคะ ? “หลังจากที่เอริคพูดจบ เอลิซาเบธที่นั่งอยู่ตรงมุมโต๊ะหลังห้องก็ยกมือถามขึ้น พร้อมกับดวงตาที่เปล่งประกายวิบวับ”
เอริคจ้องตาหญิงสาวก่อนที่จะถามขึ้นว่า “ลิซ เธอลองบอกฉันมาสิว่าคอรัสซังที่อยู่ในหนังเรื่อง Star Wars หรือไซเบอร์ตรอนที่อยู่ในหนังเรื่อง Transformer คืออะไร ?”
” ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกัน ! ” เอลิซาเบธตอบกลับไปพร้อมกับกรอกตามองขึ้น
” งั้นก็เงียบเสียงของเธอซะ ” เอริคไม่คิดที่จะไว้หน้าของหญิงสาวแม้แต่น้อย สําหรับเขาหากหญิงสาวคิดที่จะพูดเล่นเป็นการส่วนตัวก็คงไม่เป็นไร แต่ในเวลาทํางานเช่นนี้ขีดจํากัดของเอริคมีอยู่อย่างจํากัด “ หากเธอยังพูดแทรกขึ้นมาอีก ฉันจะให้คนมาลากเธอออกไป “
เอลิซาเบธได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะโพล่งคําว่า “นายกล้าเหรอ” ออกไป ทว่าเมื่อเห็นว่าสีหน้าของเอริคไม่ได้รื่นรมย์อีกต่อไป หญิงสาวจึงไม่ได้กล่าวอะไรออกไปแต่ทําได้เพียงแลบลิ้นออกมาเงียบๆ
“ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ เบร็ทสตาร์ที่มีสติปัญญาเกิดมาบนดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าเบร็ท หลังจากการสะสมเทคโนโลยีมากว่าหลายร้อยปี เบร็ทสตาร์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการเดินทางในอวกาศซึ่งนี่ทําให้เบร็ทสตาร์กลายเป็นกองกําลังที่ทรงพลังมากในจักรวาล เมื่อเวลาผ่านไปได้ไม่นานไม่เพียงแต่โลกแห่งการเอาชีวิตรอดของพวกเขากําลังจะล่มสลายเท่านั้น เบร็ทสตาร์ที่มีวิวัฒนาการทางธรรมชาติในระยะยาวก็เริ่มที่จะสูญสลายไปเช่นกัน…”
เอริคเล่าถึงตรงนี้ก็มองเห็นมือเล็กของเอลิซาเบธที่ยกขึ้นมาจากด้านหลัง แต่ในครั้งนี้หญิงสาวได้เรียนรู้จากครั้งแรกแล้วหล่อนจึงไม่ได้เปิดปากพูดอะไรออกมา ทว่ากลับใช้สายตาของหล่อนจับจ้องมองไปที่เอริค
การบรรยายได้ถึงขัดจังหวะอีกครั้ง เอริคคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาว่า “พูด!”
ในเวลาเดียวกันเขาก็คิดในใจว่าหากครั้งนี้หญิงสาวถามคําถามไร้สาระขึ้นมาอีกเขาจะไล่หญิงสาวออกจากห้องนี้ไปในทันที
“คุณวิลเลี่ยมคะ ตามทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน ชีวิตควรที่จะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆไม่ใช่เหรอ ? ทําไมคุณถึงพูดว่าเบร์ทสตาร์ได้พบกับวิวัฒนาการของธรรมชาติที่เกือบจะสูญพันธุ์หล่ะ ? “
เอริคคิดอยู่ภายในใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า ” ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินครอบคลุมเฉพาะช่วงเวลาที่สั้นที่สุดของวิวัฒนาการของชีวิต อีกอย่างสิ่งที่ผมพูดถึงคือแนวโน้มการพัฒนาของสายพันธุ์ในระดับพันธุกรรม ในเรื่องของการเกิด การพัฒนา ความเจริญรุ่งเรือง หรือภาวะถดถอยเป็นสิ่งที่ไม่อาจต้านทานได้ภายในจักรวาล และมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกําจัดสิ่งเหล่านี้ออกไป สําหรับกาแลคซี่ขนาดใหญ่จนไปถึงอะตอมขนาดเล็กหากคุณอ่านหนังสือมากกว่านี้คุณจะพบว่ายืนของสายพันธุ์นั้นไม่ได้มีวิวัฒนาการเสมอไป เมื่อถึงระดับหนึ่งของการพัฒนาลําดับของยีนก็ จะเริ่มลดลงและสลายตัวไป ในเวลานี้โลกวิทยาศาสตร์ได้อธิบายไว้ว่าโครโมโซม Y ของมนุษย์เริ่มเสื่อมสภาพแล้ว บางทีหลังจากหลายล้านปีหลังจากนี้บนโลกใบนี้อาจจะหลงเหลือแค่เพียงผู้หญิงเท่านั้น หากมีมนุษย์อยู่บนโลกในเวลานั้น”
ภายใต้เสียงหัวเราะเบาๆของคนอื่นๆ เอริคก็พูดออกมาด้วยน้ําเสียงหนักแน่นว่า “ ลิซ ครั้งนี้ จะเป็นครั้งสุดท้ายของคุณ ครั้งต่อไปไม่ว่าคุณจะสงสัยอะไรถ้าคุณทนไม่ได้ที่จะเก็บความอยากรู้อยากเห็นของคุณ ขอให้คุณออกจากห้องนี้ไปซะ”
หลังจากที่หญิงสาวพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจเอริคก็พูดขึ้นว่า “เอาหล่ะ ต่อจากเมื่อกี้ที่ผมเล่าในกรณีที่จะมีการสูญพันธุ์ เพื่อที่เบร์ทสตาร์จะสามารถรักษาสายพันธุ์ของตนเองไว้ต่อไป เขาจึงพัฒนาโปรแกรมอาณานิคมมนุษย์ต่างดาวที่ยิ่งใหญ่และงดงามขึ้น พวกเขาใช้ผลประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ตนเองเชี่ยวชาญ พร้อมกับผลิตยานอวกาศที่ทันสมัยออกมา ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ได้นําพลังชีวิตของตนเองบีบอัดเป็นของเหลวสีดําที่มีความรู้สึกนึกคิดไว้ภายใน”
เอริครีบเขียนคําหลักที่เกี่ยวข้องไว้บนกระดาน “ของเหลวสีดําที่มีพลังของเบร็ทสตาร์ถูกเรียกว่า ‘แบล็คออย’ หลังจากนั้นยานอวกาศที่บรรทุกเศษซากของเบร็ทสตาร์และแบล็คออยก็เริ่มบินไปในจักรวาลที่ไร้ขอบเขต เมื่อได้พบกับดาวที่เหมาะสม พวกเขาก็จะหยุดและใช้พิมพ์เขียว ทางพันธุกรรมของเบร็ทสตาร์ที่อยู่ในแบล็คออย พร้อมกับส่งมันเข้าไปยังพื้นที่ที่เหมาะสมกับแบล็คออยโดยใช้วิธีนําเชื้อเหล่านี้ผ่านเข้าสู่สปีชีส์ในร่างกาย หลังจากผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรมแล้ว สายพันธุ์ดั้งเดิมก็ได้หายไปพร้อมกับสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นนั่นคือซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบที่สมบูรณ์ เป็นอันเสร็จสิ้นในการดําเนินเผ่าพันธุ์ของเขาในจักรวาล”
ขณะที่เอริคอธิบายอยู่นั้นตัวอักษรที่เป็นเหมือนใจความสําคัญของเนื้อหาที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนทําให้เกิดเป็นแผนผังความคิดขึ้น นักเขียนดื่มกับความแปลกใหม่และพื้นหลังของหนังไซไฟที่เอริคกําลังพูดถึง แม้แต่เอลิซาเบธเองก็รู้สึกสนใจกับเนื้อเรื่องนี้เช่นกัน
” ก่อนที่เวลาจะเดินทางมาถึง 3.7 พันล้านปี ยานอวกาศเอเลี่ยนของเบร็ทสตาร์ก็เดินทางมาถึงโลกในที่สุด พวกเขาเริ่มเป็นแนวทางในการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบนโลก เพื่อที่จะสร้างอาณานิคมใหม่ที่เหมาะสมสําหรับสิ่งมีชีวิตรุ่นใหม่ และเบร็ทสตาร์ก็ไม่ลังเลที่จะทําลายสายพันธุ์ดั้งเดิมซ้ําแล้วซ้ําเล่า 4.4 ล้านปีก่อนมีการสูญเสียของสายพันธุ์ไปกว่า 85 % ในช่วงเวลา 1.95ล้านปีก่อน 769% ของสิ่งมีชีวิตในทะเลได้หายไปในขณะที่ 65 ล้านปีที่ผ่านมาเป็นจุดสิ้นสุดของยุคไดโนเสาร์….ทั้งหมดนี้อยู่ในขอบเขตของวิทยาศาสตร์มนุษย์ของพวกเรา ดังนั้นเหตุการณ์การสูญพันธุ์ของสายพันธุ์เป็นสิ่งที่สามารถรับรู้ได้ และเป็นเพราะการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ เมื่อเร็วๆ นี้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจึงเริ่มเข้ามาแทนที่จนมีบทบาทมากขึ้น หลังจากรอมานานกว่า 3.7 พันล้านปี ในที่สุดเบร็ทสตาร์ก็ได้ค้นพบสปีชี่ส์ที่เหมาะสมสําหรับการล่าอาณานิคมของแบล็คออยซึ่งนั่นก็คือ — มนุษย์ ! ”
” แต่มนุษย์ดั้งเดิมต่างก็ไม่มีความสามารถในการเอาชีวิตรอดในธรรมชาติ เพื่อที่จะแน่ใจว่ามนุษย์สามารถเจริญเติบโตได้มากที่สุด เบร็ทสตาร์ก็เริ่มกระตุ้นกระบวนการอารยธรรมของมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์เริ่มเรียนรู้ที่จะใช้เครื่องมือและเรียนรู้การสื่อสารทางภาษาเรียนรู้ทักษะที่หลากหลาย แม้กระทั่งการสร้างศาสนาต่างๆ โดยการนําทางของเบร็ทสตาร์ และเวลาในการล่าอาณานิคมครั้งสุดท้ายที่เบร็ทสตาร์ทําขึ้นสําหรับแบล็คออย คือวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ในวันนี้แบล็คออยที่ซ่อนอยู่จะเริ่มการรุกรานทําลายมนุษยชาติและแทนที่ด้วยรูปร่างของเบร็ทสตาร์บนโลกมนุษย์ซึ่ง เรียกว่า-เอเลี่ยนเกรย์ ”
เอริคนําภาพถ่ายของเอเลี่ยนที่เขาเตรียมไว้พร้อมกับแปะไว้กับแม่เหล็กบนกระดานก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ภายในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นเพราะการเพิ่มขึ้นของพลังงานอากาศในที่สุด มนุษย์ก็ตระหนักขึ้นได้ว่าจักรวาลแห่งนี้ไม่ได้มีแค่พวกเราเท่านั้น ในปี 1945 ในตอนท้ายของสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารสหรัฐอเมริกาได้ยิงยานอวกาศขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกใกล้กับญี่ปุ่น ในกระบวนการกอบกู้ลับของคนเหล่านั้นทําให้พวกเขาได้ค้นพบกับแบล็คออยอีก ทั้งยังเจอกับศพของเอเลี่ยนอีกด้วยภายใต้การศึกษาผ่านข้อมูลเกี่ยวกับยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ความเป็นไปได้ในการล่าอาณานิคมของมนุษย์ต่างดาวก็ถูกค้นพบเช่นกัน เพื่อที่จะหยุดยั้ง เผ่าพันธุ์ของเบร็ทสตาร์รัฐบาลจึงก่อตั้งกลุ่มขึ้นมาอย่างเงียบๆ และพยายามที่จะหาวิธีการต่อต้าน การล่าอาณานิคมของเบร็ทสตาร์ แต่นักวิทยาศาสตร์ในองค์กรนี้กลับค้นพบถึงความสิ้นหวังในระหว่างการทําวิจัยของพวกเขาเพราะการล่าอนาณานิคมของแบล็คออยนั้นไม่สามารถที่จะต้านทานได้ ดังนั้นเพื่อที่จะยืนยันว่าหลังจากวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ตนเองและครอบครัวจะสามารถดํารงอยู่ต่อไปได้คนส่วนใหญ่ในองค์กรลับก็ได้ก่อกบฏต่อต้านมนุษยชาติขึ้น และหวังพึ่งพามนุษย์ต่างดาว โดยการบังคับให้มนุษย์ต่างดาวเห็นด้วยกับเงื่อนไขของตนเองผ่านการทําลาย นิวเคลียร์ หลังจากนั้นการล่าอาณานิคมก็ยังดําเนินต่อไป และพวกเขายังคงเอาชีวิตรอดโดยการ ใช้วิถีชีวิตแบบมนุษย์ต่างดาวและมนุษย์ ซึ่งองค์กรนี้ถูกเรียกว่า ‘ซินดิเคท’ ”
หลังจากที่เอริคเขียนคําว่า ‘ซินดิเคท’ ลงตรงท้ายของแผนภูมิรูปภาพของเขาเสร็จ เอริคก็หัน กลับมาก่อนจะกล่าวว่า “เอาหล่ะ เรื่องราวเกี่ยวกับหนังไซไฟของเราเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว และพระเอกของเราฟอกซ์มอเลอร์ผู้เป็นลูกของวิลเลี่ยม มอเลอร์ที่ก่อนหน้านี้เขาเป็นหนึ่งในซินดิเคท แต่เป็นเพราะความพยายามของเขาในการคัดค้านเอเลี่ยนอย่างเด็ดขาดและกําจัดองค์กรออก ไปทําให้มนุษย์ต่างดาวลักพาตัวสแมนทาร์ มอร์เลอร์ลูกสาวสาวของวิลเลี่ยม มอร์เลอร์ไป ดังนั้นฟอกซ์ มอร์เลอร์ก็ได้เริ่มอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับความเหนือธรรมชาติมากขึ้นและเขาก็ไม่หยุดที่จะออกตามหาน้องสาวของตนเองกลับมา หลังจากสําเร็จการศึกษาจากภาควิชาจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ฟอกซ์ มอร์เลอร์ก็ได้เข้าร่วมและย้ายไปยังกลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติในทันทีซึ่งกลุ่มนี้มีชื่อเรียกว่า The X-Files ทว่าในตอนเริ่มแรกกลุ่ม เล็กนี้มีเขาเป็นผู้บุกเบิก ไม่กี่ปีหลังจากนั้น ดาน่าสการ์ลี่ย์หุ้นส่วนของเขาก็ปรากฏตัวขึ้น และ การผจญภัยของพวกเขาก็เริ่มต้นขึ้น ”
เอริคจบการปูพื้นหลังของหนังเรื่องนี้ก่อนที่คนที่นั่งฟังในที่ประชุมคนหนึ่งจะถามขึ้นว่า “คุณวิลเลียม คุณกําลังให้เราเขียนบทของฟอกซ์มอร์เลอร์และดาน่า สการ์ลีย์โดยผ่านเนื้อหาที่เกี่ยวกับการค้นหาน้องสาวของมอร์เลอร์ และพวกเขาก็ได้ทรยศต่อซินดิเคทโดยการหาวิธีในการทําลายแผนการสมคบคิดในการล่าอาณานิคมของเบร็ทสตาร์แล้วช่วยมนุษยชาติเอาไว้ใช่ไหม ?”
ที่แท้นักเขียนบทชาวอเมริกันในยุคนี้ก็เริ่มสร้างเมล็ดพันธุ์แห่งการช่วยมวลมนุษยชาติแล้ว เอริคนึกในใจก่อนที่จะถามขึ้นว่า “คุณคือปีเตอร์ เครคส์ใช่ไหม ? ”
ชายผิวขาวที่ดูอายุราวๆ 30 ปีพยักหน้าก่อนจะตอบกลับไปว่า “ใช่ คุณวิลเลี่ยม ผมเคยมีส่วนร่วมในการเขียนบทของหนังเรื่อง Star Trek ”
เอริคไม่ได้สนใจเขาเพราะเขาเคยมีส่วนร่วมในหนังเรื่อง Star Trek แม้ว่าทั้งสองเรื่องจะเป็น หนังแนวไซไฟแต่สําหรับหนังเรื่อง Star Trek และหนังเรื่อง X-Files นั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก “ ปีเตอร์ หากเป็นอย่างที่คุณพูดก่อนหน้านี้ งั้นผมก็คงจะเขียนบทเรื่องนี้เพียงคนเดียวแล้วหล่ะ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆพวกคุณคงไม่ได้มานั่งในห้องประชุมแห่งนี้หรอก”
ปีเตอร์ได้ยินเช่นนั้นเขาก็ยิ้มแห้งออกมาโดยที่ไม่ได้กล่าวแย้งอะไรขึ้นมาอีก สําหรับเอริคแล้ว เขามีความมั่นใจและมีคุณสมบัติอย่างมากกับสิ่งเหล่านี้โดยที่เขาแทบจะไม่ต้องหาผู้ช่วยเลย
“หนังเรื่องนี้มีชื่อว่า The X-Files เรื่องราวจะต้องอยู่บนพื้นฐานการสืบสวนของตัวเอกเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่เหนือธรรมชาติหลายชุด ซึ่งมีสไตล์หนังที่เต็มไปด้วยความสยองขวัญและควา มน่าสงสัย ดังนั้นในแผนของผม 24 ตอนในซีซั่นแรกจะต้องมีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ 24 เรื่อง ”
ปีเตอร์ได้ยินเช่นนั้นก็ถามขึ้นมาอีกว่า “ หากเป็นเช่นนั้น หนังไซไฟเรื่องนี้ก็เป็นหนังแนวสืบสวนผสมไซไฟสิ ในส่วนของบทที่มาและการปูเนื้อความของเบร็ทสตาร์จะทําอย่างไร ?”
“นี่ก็คือเหตุผลที่ผมเรียกให้พวกคุณมาก พวกคุณจะต้องกลับไปคิดว่าจะนําปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเหล่านี้ไปผสมเข้ากับเผ่าพันธุ์เบร็ทสตาร์ ซินดิเคท จนทําให้ความกระจัดกระจายของเนื้อหาเชื่อมโยงเข้าหากันได้อย่างไร”
เอริคพูดจบเขาก็หันกลับไปเขียนบนกระดานพร้อมกับพูดต่อว่า “จากคําใบ้นี้ เป็นด่านแรกของละครทีวีเรื่องนี้หรือจะเรียกมันว่า จิ๊กซอว์ก็ว่าได้ ขั้นตอนนี้อาจใช้เวลาประมาณสามซีซั่น หลังจากที่ผ่านไปสามซีซั่นแล้ว ตัวละครเอกจะรวบรวมชุดข้อมูลของเบาะแสต่างๆรวมถึงปมที่มีภาย ในนั้นเข้าด้วยกัน พร้อมกับสรุปเรื่องราวต่างๆที่ผมเพิ่งพูดถึงไปก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นก็เริ่มเรื่องราวตอนต่อไปของเรื่อง”