I’m in Hollywood – ย้อนเวลามาเป็นเจ้าพ่อฮอลลี - ตอนที่ 162
Chapter 162 – พลาดไปอย่างหนึ่ง
หลังจากที่อ่านข้อมูลของทั้งสองบริษัทแล้ว เอริค ก็พบว่าบางทีเพราะมันก่อตั้งมาเมื่อ 10 ปีก่อน New Line Cinema จึงแข็งแกร่งกว่า Miramax มาก หลักฐานที่เด่นชัดที่สุดคือช่องทางการจำหน่าย New Line Cinema มีโรงหนังกว่า 1,500 โรงสำหรับหนังหนึ่งเรื่องแต่ Miramax ยังคงอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ของวงการขนาดเล็กและมีโรงแค่ 4-5 โรงที่ฉายหนังของพวกเขา ยิ่งกว่านั้น New Line Cinama ก็เริ่มสร้างหนังของตัวเองขึ้นมาบ้างแล้ว พวกเขามีกำไรอย่างมากในลิขสิทธิ์หนัง A Nightmare on Elm Street แต่ Miramax นั้นยังคงอยู่ในช่วงการซื้อหนังของที่อื่นมาปล่อยขาย
เมื่อเห็นแบบนี้ เอริค ก็อดไม่ได้ที่จะทุบโต๊ะพร้อมกับจำได้ว่าเขาพลาดอย่างหนึ่งไป เรื่องนี้เกี่ยวกับ Sex, Lie and Videotapes ของ สตีเวนโซเดอเบิร์ก ด้วยหนังเรื่องนี้ เสตีเวน ได้กลายเป็นผู้ชนะปาล์มทองคำที่อายุน้อยที่สุดที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ในไม่กี่เดือนก่อน
ตอนนั้น เอริค เตือนตัวเองว่าให้ซื้อลิขสิทธิ์หนังของอเมริกาเหนือแต่เพราะเขายุ่งกับการถ่าย Running Out of Time อยู่เขาจึงลืมมันไป
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดงั้นลิขสิทธิ์หนังก็คงเป็นของพี่น้องไวน์สตีน ในอดีต Miramax นั้นพึ่งหนังเรื่องนี้ในการพลิกฟื้นตัวเองกลับมา หลังจากได้กำไรเล็กน้อยแล้วพวกเขาก็มีเงินเพียงพอที่จะเข้าสู่วงการและค่อยๆเผยความคิดของตัวเอง เส้นทางของการเอาตัวรอดนั้นเริ่มที่จะสดใสขึ้นมา
ตอนนี้มันก็ท้ายเดือนมิถุนายนแล้ว เอริค รู้ว่า Sex, Lie and Videotapes ได้ชนะรางวัลปาล์มทองคำไปในเดือนพฤษภาคมแต่เขายังไม่เห็นหนังเรื่องนี้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รึนิตยาสารของอเมริกาเหนือ
ถ้าสิทธิในการจำหน่ายหนังเรื่องนี้เป็นของ Miramax งั้นถ้าใครที่ต้องการซื้อ Miramax มันจะดีที่สุดที่จะทำข้อตกลงก่อนที่หนังเรื่องนี้จะออกฉาย ไม่งั้นแล้วเมื่อ Sex, Lie and Videotapes ทำรายได้ได้ดี ผลลัพธ์คือแม้ว่าพี่น้องไวน์สตีนจะตกลงแต่แน่นอนว่า เอริค ต้องจ่ายเพิ่ม กฎของวงการก็เป็นแบบนี้ หนังดีๆสามารถทำให้ค่าของบริษัทนั้นสูงขึ้น มันก็เหมือนกับ Pixar ในชีวิตก่อนของเขาซึ่งมีมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์แต่เพราะความสำเร็จของ Toy Story จึงทำให้ค่าของมันเพิ่มขึ้นมาถึง 20 เท่าในเวลาอันสั้น
ยิ่ง เอริค กังวลมากเท่าไหร่ มันก็จะดีที่สุดที่จะซื้อทั้งสองบริษัทเพื่อที่การค้าและหนังจะสามารถพัฒนาได้ตามหนังที่ชนะออสการ์ที่ เอริค ได้คิดเอาไว้และแม้ว่า Miramax จะกลับลงมาในเส้นทางของการขายหนังอีกครั้งแต่แน่นอนว่ามันก็ได้ไม่น้อยกว่าสตูดิโอที่โฟกัสไปที่การขายหนัง
ค่าของ New Line Cinema ที่เผยออกมาในข้อมูลนี้อยู่ที่ประมาณ 150 ล้านแต่เพราะอีกฝ่ายนั้นเป็นบริษัทที่อยู่มานานกว่า 20 ปีและไม่ใช่แค่บริษัทเล็กๆแต่ยังมีลิขสิทธิ์หนัง A Nightmare on Elm Street ในปี 1984 ซีรีย์ของหนังเรื่องนี้จะปล่อยออกมาปีละภาค ในฐานะที่เป็นหนังสยองขวัญทุนต่ำ มันจึงทำเงินได้ แม้ว่ารายได้จะไม่ได้สูงมากในแต่ละปีแต่มันก็กินไปได้ตลอด
แม้ว่า Miramax จะยังเป็นสตูดิโอชั้น 3 อยู่ แต่ค่าทางการตลาดก็อยู่ที่ประมาณ 20 ล้าน เพราะหลายปีมานี้พี่น้องไวน์สตีนได้ดึงหนังที่มีคุณภาพมาจากทั่วโลกและเริ่มมีหนังสะสมอยู่มากขึ้น เอริค เองก็เข้าใจค่าของ Miramax ว่าไม่ได้อยู่ที่ตัวบริษัทรึหนังที่พวกเขามีแต่เป็นพี่น้องไวน์สตีนต่างหาก ในชีวิตก่อนของเขาพี่น้องสองคนยอมแพ้ในปี 2005 หลังจากนั้น Miramax ก็ไม่ใช่ค่ายหนังใหญ่อีกต่อไปและหลังจากนั้นไม่กี่ปีก็ถูก Disney ซื้อไปในราคาที่ลดลงมาอีกด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ Pretty Woman ทำรายได้มากกว่า 100 ล้าน เอริค สามารถทำการกู้ได้อีกครั้งแต่การต้องซื้อสองบริษัทพร้อมกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและแน่นอนว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับฝ่ายถือหุ้นด้วย เขารู้ว่า โรเบิร์ตเช และพี่น้องไวน์สตีนที่ถึงแม้เขาจะกู้เงินมาได้มากพอ แต่ตราบใดที่เขาตั้งใจจะได้บริษัทอื่น พวกนั้นต้องไม่ยอมขายแน่ๆ พวกเขายังมีข้อได้เปรียบกับการที่ว่าบริษัทอยู่ในการพัฒนาอีกด้วย
ในตอนที่เขาคิดเรื่องพวกนี้อยู่นั้น เจฟฟี่ ก็ได้เคาะประตูห้องแล้วเดินเข้ามา
“ ข่าวจากเวนีซ The Others ได้เข้าการแข่งขันได้สำเร็จ อีกอย่างแล้ว โจนาธานเดม ก็ได้ทำการแก้ไขตามที่นายได้บอกไป เอริค นายอยากดูมันอีกรอบมั้ย ?”
“ แน่นอน ไปที่ห้องฉาย “ – เอริค พยักหน้าและสลัดเรื่องการซื้อสองบริษัททิ้งไปก่อน เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากออฟฟิศไป
“ ตะกี้นายคิดอะไรอยู่ทำไมถึงเครียดแบบนั้น ?” -เจฟฟี่ ถามขึ้นมา
“ ฉันแค่ดูข้อมูลของ New Line Cinema กับ Miramax “ – เอริค ตอบกลับ – “ ฉันอยากได้ทั้งสองมาพร้อมกันแต่ฉันไม่ต้องการจ่ายเงินไปเกินมาตรฐาน “
เจฟฟี่ สลดขึ้นมาเพราะเมื่อบริษัทขยายขนาดขึ้นมา เจฟฟี่ ก็เข้าใจว่าความสามารถของเขาคงไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนทั้งบริษัทได้ ยังไงซะเขาก็ต้องรับผิดชอบหนังแค่ไม่กี่เรื่องที่ผลิตและลุงทุนโดย เอริค และเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการปล่อยหนัง หลังจากที่ปรับตัวกับบริษัทใหม่ได้แล้ว Firefly ก็จะเริ่มเกี่ยวข้องกับการปล่อยหนังและ เจฟฟี่ ที่ไม่มีความสามารถรึประสบการณ์ในด้านนี้แน่นอนว่าต้องยอมเสียตำแหน่ง CEO ไป
แต่หลังจากที่รู้สึกซับซ้อนได้ไม่นาน เจฟฟี่ ก็ตัดสินใจว่าเขาต้องโล่งอกหากตราบใดที่ Firefly ยังเป็น Firefly อยู่ เขาเคยคิดว่าจะไม่เปลี่ยน Firefly เป็นบริษัทใหญ่ ตอนนี้มันถือว่าเป็นเรื่องเล็กที่เขาต้องเสียตำแหน่ง CEO ไปเพราะเขาเคยไม่สามารถทำอะไรได้เลยตั้งแต่ที่บริษัทเดิมเกือบจะเจ๊งหลังจากที่ภรรยาเขาจากไปเพราะการถ่ายหนังของเขา ผลก็คือ เจฟฟี่ เริ่มที่จะรู้จักตัวเองมากขึ้น บางครั้งเขาก็บ่น เอริค เกี่ยวกับเรื่องหนัง เขาต้องพูดแนะนำบ้างแต่ไม่เคยไปก้าวก่ายกับการถ่ายหนังเพราะเขารู้ว่าเขาไม่ได้เก่งอะไรในด้านนี้
หลังจากที่คิดเรื่องนี้แล้ว เจฟฟี่ ก็ได้ตบไหล่ เอริค – “ มันไม่ดีหรอกที่จะมารีบ ฉันได้อ่านข้อมูลของสองบริษัทนี้แล้ว เอาจริงๆนะฉันเลือก New Line Cinema แม้ว่านายต้องเสียหุ้นไปบางส่วนแต่มันก็คุ้มค่า ขนาดของ Miramax นั้นเล็กเกินไปและฉันไม่รู้ด้วยว่านายเห็นอะไรในตัวมัน “
เอริค ยิ้ม – “ นายจะเข้าใจเองในอนาคต “
ทั้งสองพูดคุยกันพร้อมกับเดินเข้าห้องฉายรวมไปถึง โจนาธานเดม ที่ยังไม่ได้นอนมาทั้งคืนจนตาคล้ำแต่มันก็ยังแสดงให้เห็นถึงการทุ่มเทเพื่อหนังเรื่องนี้