I’m in Hollywood – ย้อนเวลามาเป็นเจ้าพ่อฮอลลี - ตอนที่ 193
ตอนที่ 193 แต้ม
“หวังว่าเราคงได้ร่วมงานกันอย่างมีความสุขในอนาคตนะ คุณเอริค” โรเบิร์ต เชียร์ที่เซ็นสัญญาอันหนาเตอะเสร็จลุกขึ้นยืนพร้อมกับรอยยิ้ม
เอริคเองก็ลุกขึ้นยืนเช่นกันพร้อมยื่นมือไปจับมือกับ โรเบิร์ต เชียร์ เพื่อแสดงความยินดี ก่อนจะตอบว่า “แน่นอน คุณโรเบิร์ต”
ณ วันสุดท้ายของเดือนสิงหาคม หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายผ่านการเจรจาต่อรองมาเกือบหนึ่งเดือนเต็ม ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าบริษัท Firefly ของเอริคจะซื้อหนังที่มีชื่อเสียงในฮอลลีวูดจากบริษัท New Line Cinema โดยได้รับส่วนแบ่ง 1596 บวกกับเงินสดอีก 60 ล้านดอลลาร์จากราคาที่กําหนดไว้ เมื่อเทียบขนาดของบริษัทแต่ละแห่งแล้ว ถึงแม้ว่าขนาดบริษัทของทั้งสองรวมกันจะยังดูเล็กกว่าบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Columbia ที่ Sony ต้องการซื้อก็ตาม แต่ทั้งสองฝ่ายก็ร่วมมือกันด้วยความเต็มใจ โดยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์หรือการพนั้นเหมือนอย่างที่บริษัท Columbia ทําไว้ ด้วยเหตุนี้หลังจากที่เจรจาต่อรองเรื่องราคากันแล้วทุกอย่างก็เริ่มดําเนินการไปตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้
เมื่อข่าวการทําสัญญาร่วมมือกันของบริษัทหนังที่มีประสบการณ์มากมายอย่าง Firefly กับบริษัทคลื่นลูกใหม่อย่าง New Line Cinema แพร่กระจายไปทั่วฮอลลีวูดจึงทําให้ได้รับความสนใจอย่างมากจากสื่อ หลังจากที่เซ็นสัญญากันอย่างเป็นทางการแล้วทั้งสองฝ่ายก็ตอบสนองความต้องการของสื่อโดยการจัดงานแถลงข่าวสั้นๆ และจัดงานปาร์ตี้เฉลิมฉลองอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าเอริคเองจะไม่อยากเข้าร่วมงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์แบบนี้ก็ตาม ซึ่งเขาชอบอ่านหนังสือเงียบๆในห้องมากกว่า แต่การใช้ชีวิตในประเทศนี้ งานปาร์ตี้สังสรรค์เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง หากไม่ปฏิเสธคําเชิญเหล่านั้นด้วยฐานะตอนนี้ของเขา เอริคก็คงตอบรับคําเชิญร่วมงานปาร์ตี้มากมายเหล่านั้นได้ทุกวันอย่างแน่นอน
“คุณเอริค ฉันได้ยินมาว่าตอนที่คุณรับหน้าที่รับผิดชอบการจัดงานแถลงข่าวของหนังเรื่อง The Others ก็ได้รับความนิยมอย่างมากใช่ไหม”
“ใช่อ่า ผมรู้อยู่แล้ว ก่อนที่ผมกับบริษัท Disney จะเป็นสัญญาการจัดจําหน่ายหนังสองเรื่อง อย่าง The Others และ Steel Macnolia ทางบริษัท Disney ก็ได้เสนอราคาที่มีส่วนแบ่งสูงมาก มันทําให้ยากที่จะปฏิเสธเขา” เอริคพยักหน้า แล้วหันไปบอกถึงสถานการณ์ตอนนั้นให้กับโรเบิร์ตฟัง
เอริคคิดว่าโรเบิร์ต เชียร์ ยังอยากครอบครองสิทธิ์การจําหน่ายหนังเรื่อง The Others อยู่ เขาจึงใช้ความอดทนอย่างมากในการอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง เมื่อลงนามเซ็นสัญญากันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้โรเบิร์ต เชียร์ก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Firefly ตัวเขาเองต้องทํางานร่วมกับผู้บริหารอย่างแบร์รี่ ซึ้งอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าธุรกิจหนังของทั้งสองบริษัทนี้จะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์
“ไม่ ฉันคิดว่าคุณเข้าใจฉันผิดแล้ว” โรเบิร์ตส่ายหน้า ” ฉันไม่ได้อยากครอบครองสิทธิ์ ในการจัดจําหน่ายหนังเรื่อง The Others แล้ว ในเมื่อหนังเรื่อง The Others ได้รับความนิยมมากขนานนั้น และฉันคิดว่าคุณก็ถนัดทําหนังแนวสยองขวัญแบบนี้อยู่แล้ว ดังนั้น ฉันอยากให้คุณทําหนังใหม่ที่ชื่อว่า Nightmare on Elm Street เป็นเรื่องต่อไป คุณคิดว่ายังไง?”
เมื่อเอริคได้ยินความต้องการของโรเบิร์ต เขานึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านั้นเขาเคยเห็นเค้าโครงของหนัง Nightmare on Elm Street จาก New Line Cinema แล้ว ในระหว่างการเจรจาต่อรอง บริษัท Firefly ก็พยายามเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียด และมันมักจะถูกต้องแม่นยํากว่าในความทรงจําที่วุ่นวายของเอริค ถึงแม้ว่าหนังเรื่อง Nightmare on Elm Street จะสร้างรายได้ให้บอกออฟฟิสแค่25ล้านดอลลาห์ก็ตาม ด้วยเหตุเพราะต้นทุนของหนังเรื่องนี้ต่ำมาก บริษัท New Line Cinema จึงได้รับรายได้อย่างมหาศาล ถึงแม้ว่าในเวลาต่อมานั้นต้นทุนการถ่ายทําและการจัดจําหน่ายนั้นถูกเพิ่มขึ้นมา 3 ส่วนก็ตาม แต่ท้ายที่สุดแล้วต้นทุนเหล่านั้นก็ได้ทําเม็ดเงินมากมายเช่นกัน
เมื่อไม่นานมานี้สถานการณ์ของหนังเรื่อง Nightmare on Elm Street ก็ไม่ได้รับผลตอบรับที่ดีนัก หนังเรื่องนี้มีกําหนดฉายวันที่ 11 เดือน 8 ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านจนถึงตอนนี้ทางบริษัทที่ทํารายได้เพียงแค่ 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐในบ็อกออฟฟิส และสุดท้ายแล้วหนังเรื่องนี้ก็ทํารายได้รวมกันประมาณ 22 ล้านดอลลาห์เท่านั้น หลังจากที่ได้รับส่วนแบ่งจากบ็อกออฟฟิสแล้ว และหักต้นทุนการถ่ายทําและการจัดจําหน่ายไป เท่ากับว่าบริษัท New Line Cinema แทบไม่ได้กําไรอะไรเลย
เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วเอริคจึงพูดว่า “คุณโรเบิร์ต สไตล์หนังแนวสยองขวัญอย่างเรื่อง Nightmare on Elm Streetได้รับแก้ไขเนื้อเรื่องเรียบร้อยแล้ว และผมก็คงไม่คิดจะเขียนเพิ่มตอนใหม่อีกแล้ว เพราะจากที่ผมดูสถิติของหนัง Nightmare on Elm Stree ในบ็อกออฟฟิสล่าสุดนั้น ผมคิดว่าต้องหยุดหนังเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว”
ในเมื่อคนดูเริ่มเบื่อเนื้อเรื่องเกี่ยวกับแผนการฆาตกรรมของแฟรดดี้แล้ว ถึงแม้พวกเราจะฝืนทําภาคต่อไปยังไงก็ได้ไม่คุ้มเสีย ถ้าเราหยุดการทําหนังเรื่องนี้ไว้ก่อน รอเวลาให้วัยหนุ่มสาวที่ดูหนังตอนนั้นกลายเป็นผู้ใหญ่ หรือรอให้คนแก่เริ่มมีความรู้สึกหวนรําลึกถึงความหลังซะก่อน ถึงตอนนั้นการหยิบยกหนังเรื่องนี้ขึ้นมาทําอีกครั้งที่คงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
เมื่อโรเบิร์ต เชียร์ได้ยินสิ่งที่เอริคพูด สีหน้าของโรเบิร์ตจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย หนังเรื่อง Nightmare on Elm Streetเป็นหนังแนวสยองขวัญของบริษัท New Line Cinema เมื่อดูตามหลักเหตุผล สิ่งที่เอริคพูดนั้นมีเหตุผลมาก แต่ในใจเขายังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี ในเมื่อเขาเพิ่งลงนามเซ็นสัญญากับบริษัท Firefly ไป แต่ตัวเอริคเองวางแผนที่จะหยุดทําภาคต่อไปของหนังเรื่อง Nightmare on Elm Street เหตุการณ์เหล่านี้ทําให้เขานึกถึงสมัยโบราณเมื่อครั้งกษัตริย์ของอีกประเทศหนึ่งใช้อํานาจเข้ายึดครองและกวาดล้างอาณานิคม แล้วลบตราสัญลักษณ์ของอีกฝ่ายทิ้งจนหมดสิ้น ราวกับว่าประเทศต้องมีกษัตริย์เป็นผู้ครอบครองเพียงคนเดียวเท่านั้น
ถึงอย่างไรก็ตามเอริคก็เป็นคนสองโลกอยู่แล้ว เมื่อเอริคสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของโรเบิร์ต เชียร์ เขาก็เข้าใจความคิตอีกฝ่ายได้ทันที เขาไม่อยากให้ทั้งสองฝ่ายเกิดความแตกแยกกันเพราะเรื่องต้นทุนที่ต่ำของหนังแนวสยองขวัญเรื่องนี้ เอริคจึงรีบพูดแก้สถานการณ์ทันทีว่า “แต่ว่า คุณโรเบิร์ต นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ คุณก็รู้ว่าผมเป็นมือใหม่ในฮอลลีวูด เรื่องบางเรื่องอาจจะยังไม่ได้คิดไตร่ตรองมากพอ ดังนั้นถ้าคุณคิดว่าเราจําเป็นต้องทําภาคต่อไปของหนังเรื่อง Nightmare on Elm Street จากที่ผมรู้รายได้สามถึงสี่ส่วนที่ได้จากบ็อกออฟฟิสกว่า 40 ล้านดอลลาห์ บางที่ครั้งนี้อาจจะความผิดพลาดครั้งแรกก็เป็นได้”
สีหน้าของโรเบิร์ต เชียร์คอยดูอ่อนลง เขาเองก็รู้สึกว่าเอริคกําลังพูดให้เป็นกลางกับตัวเองเช่นกัน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยอมอ่อนข้อให้ เขาจึงไม่ดึงดันต่อ “คุณเอริค ฉันเชื่อคุณแล้วกัน เพียงแต่ว่าหนังเรื่องนี้จะจบลงไปซื้อแบบนี้ก็คงดูไม่ค่อยดีนัก งั้นรอปีหน้าค่อยทําหนังตอนสุดท้ายอีก
อะ! งั้นให้ตอนสุดท้ายชื่อว่า The Final Nightmare แล้วกัน ตอนนี้ก็ทําตอนจบชั่วคราวไปก่อน ฉันเชื่อว่าตอนจบหนังถ้าใส่มุขตลกลงไปในหนังด้วย อาจทําให้หนังดูน่าสนใจและอาจจะทํารายได้เพิ่มขึ้นในบ็อกออฟฟิสก็เป็นได้”
“ความคิดนี้ดีมากคุณโรเบิร์ด” เอริคชื่นชมความคิดของโรเบิร์ต เชียร์ ถึงแม้ว่าจะฉวยโอกาสใช้ชื่อเสียงของตัวเองทําสัญญานิดหน่อยก็ตาม ” ตอนสุดท้ายของหนังฉันอาจจะช่วยคุณคิดได้นะ”
“จริงไหม?” โรเบิร์ต เชียร์ไม่แน่ใจในสิ่งที่เขาได้ยินจึงถามขึ้นมาอีกครั้ง เขานึกว่าการที่เอริคพูดมาขนาดนั้นคือการปฏิเสธที่ชัดเจนของเขาแล้ว เพราะยังไงบทหนังที่เอริคเขียนก็เป็นที่ยอมรับจากประชาชนทุกคนอยู่แล้ว
“แน่นอน!”
เอริคหยักหน้าอย่างไม่ลังเล ถึงแม้ในใจจะไม่อยากมีส่วนร่วมในการทําสัญญาก็ตาม เพราะเขาไม่ได้สนใจชื่อเสียงและผลกําไรจากหนังเรื่อง Nightmare on Elm Street นั้นอยู่แล้ว แต่ในกรณีที่เป็นสัญญากัน ถ้าหนังเรื่องนี้ได้กําหนดฉายออกไปแต่เสียงตอบรับกลับไม่ดีเท่าที่ควร ยังไงก็ต้องโดนวิจารณ์จากคนกลุ่มใหญ่แน่นอน ถึงแม้จะเป็นแค่นักเขียนบทหนังก็ตาม แต่ถ้าพวกเขาเห็นว่าเป็นเอริค เขาก็จะกลายเป็นจุดสนใจของแฟนหนังทันที
เหมือนดังคําเปรียบเปรยที่ว่า ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าถ้าไปยืนอยู่ริมน้ำยังไงๆรองเท้าก็ต้องเปียกแน่นอน และเอริคก็ไม่อยากเสียงแบบนั้น แม้ว่าเวลาผ่านไป1-2 ปีหนึ่งที่ไม่น่าสนใจยังไงก็ยังดูไม่น่าสนใจอย่างนั้นในความคิดเห็นของผู้ชม หนังที่ทํารายได้ทะลุบ็อกออฟฟิสหลายเรื่องนั้นเขาใช้แต้มไหวพริบที่เขามีตอนนี้สร้างมันขึ้นมา หากหนังที่ทําออกมาดูไม่น่าสนใจหรือไม่ก็อาจเป็นเพราะแต้มไหวพริบที่เขามีนั้นลดลง ถึงจะนําไปฉายยังไงก็ได้ไม่คุ้มเสียอย่างแน่นอน
ในเวลาเดียวกัน เอริคเองก็เป็นคนหนึ่งที่ก็อปปี้ความคิดมาจากความทรงจําของเขาเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่ได้ทําหนังตามความคิดตัวเองไปซะทุกอย่าง บางทีเขาอาจต้องรอให้ผ่านไปหลายปีจนเรื่องราวเหล่านั้นถูกลืมไปเหมือนกับฝุ่นที่ปกคลุมอยู่บนสิ่งของที่ไม่มีใครสนใจ สุดท้ายแล้วแม้เอริคจะเจอเรื่องราวที่หนักหนามากแค่ไหนแต่ตําแหน่งของเอริคในฮอลลีวูดก็ไม่มีใครสามารถโยกย้ายได้ เขาอาจจะสร้างหนังอีกหลายเรื่องที่ไม่มีในชีวิตที่แล้วของเขา ซึ่งจะเป็นหนังที่เขาสนใจด้วย