I’m in Hollywood – ย้อนเวลามาเป็นเจ้าพ่อฮอลลี - ตอนที่ 200
ตอนที่ 200 ความรู้สึกหวิวๆ
ทุกคนต่างถอนหายในออกมาด้วยความโล่งอก เพราะพวกเขายังมีความกังวลอยู่เล็กน้อยที่เอริคยืนยันจะรับรางวัลบทภาพยนต์ยอดเยี่ยม ถึงอย่างไรก็ตามหนังส่วนใหญ่ของเขาที่สร้างรายได้ทะลุบ็อกออฟฟิสมากมายขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องที่ใครๆจะทําได้ง่ายๆ แต่ด้วยเหตุผลแบบนั้นจึงทําให้ความปรารถนาในการรับรางวัลแต่ละเรื่องของเขามีเพิ่มมากขึ้น ถ้าหนังเรื่อง The Others ได้รับรางวัลThe Silver Lion จริงๆ ก็ถือว่ารางวัลนนี้เป็นรางวัลของทีมงานทุกคน แต่ถ้าหนังเรื่องนี้ได้รับรางวัลบทภาพยนต์ยอดเยี่ยมก็ถือว่าเป็นรางวัลของเขาแค่คนเดียว
“เอริค ไม่มีอะไรหรอก เพราะฉันคิดว่าเวทีของงานประกาศผลรางวัลออสก้านั้นเป็นของคุณแน่นอน” บิล การ์ล๊อตพูดปลอบใจเอริค โจนาธาน เดมี่เองก็พยักหน้าเห็นด้วย
เอริคยักไหล่แล้วพูดว่า “ขอบคุณ คุณบิล ถ้าตาเฒ่าจากสถาบันภาพยนต์คนนั้นคิดได้อย่างนี้ก็ดีสิ ”
หลายคนหัวเราะกับสิ่งที่เอริคพูด พวกเขายังคงพูดคุยกันเรื่องนี้อีกครั้งก่อนจะแยกย้ายกัน เอริคนําประวัติของจอร์น แลนดิสชุดนั้นกลับมาที่ห้องพักด้วย เมื่อกลับมาถึงห้องก็พบกับความว่างเปล่า เพื่อต้องการหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิด เวอร์เนียจึงเลือกที่จะไม่มาหาเอริคคืนนี้ อีกทั้งห้องพักของอลันก็อยู่ชั้นล่างด้วย
เวลากลางคืนเพียงไม่กี่ชั่วโมงของเมืองเวนิส ซึ่งเป็นเวลาเช้าของอเมริกาตะวันออก ถึงแม้ว่าเอริคจะใช้เวลานั่งเครื่องบินกว่า 10 ชั่วโมง แต่นาฬิกาชีวิตที่คงที่มานานทําให้เขามีอาการเหนื่อยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากอ่านประวัติของจอร์น แลนติสไปแล้ว เอริคก็ยังอยู่รอเวลาในห้องจนถึง 1 ทุ่มตรง แล้วจึงลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะออกไปสถานที่นัดหมายกับจอร์น แลนดิสยังคงเป็นร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆโรงแรม การนัดหมายครั้งนนี้มีเพียงเอริคและจอร์นเท่านั้น เขาไม่อยากได้คนนําทาง และไม่อยากพาเพื่อนผู้หญิงมาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเวอร์เนียเองก็เป็นนักแสดงนําหญิงของหนังเรื่อง The Others ด้วย ถ้าพาหล่อนมามาด้วย ก็คงต้องถูกคนภายนอกมองไม่ดีอย่างแน่นอน เมื่อเทียบกันแล้วสถานะของเอริคก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่น่ากังวลมากนัก เพราะผู้คน ณที่แห่งนี้มีไม่กี่คน เท่านั้นที่จําเอริคได้
เมื่อมาถึงร้านอาหาร เขาก็มองหาจอร์น แลนดิส และในที่สุดก็หาเจอ จอร์น แลนดิสอายุ ประมาณ 40 ปี เขาสวมแว่นดํา จมูกโด่ง หนวดเคราเต็มหน้า ซึ่งโครงหน้าแบบนี้เป็นมาตรฐานของชาวยิว
ชาวยิวอีกแล้วเหรอ!
เอริคทอดถอนใจภายในใจ ในประวัติปรากฏข้อมูลอยู่เรื่องหนึ่งที่ว่าจอร์น แลนดิสและสตีเวนสปีลเบิร์ก เป็นเพื่อนกัน ทั้งสองคนเคยช่วยเป็นนักแสดงรับเชิญในหนังของอีกฝ่ายให้กันและกันเสมอ
อีกทั้ง จอร์นแลนดิสและสปีลเบิร์กที่มีชื่อเสียงโด่งดังพร้อมกัน ในปี 1975 สปีลเบิร์กได้เป็นผู้กํากับหนังเรื่อง Jaws ซึ่งเป็นหนังที่มีชื่อเสียงโด่งดังในฮอลลีวูดอย่างมาก และหลังจากนั้น 3 ปี เขาได้ทําหนังตลกอีกเรื่องที่มีชื่อว่า National Lampoon’s Animal House หนังเรื่องนี้ทํารายได้ทะลุกว่า 10 ล้านดอลลาห์ในบ็อกออฟฟิส แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือพวกเขาทั้งสองคนเพิ่งจะมีอายุเพียงแค่ 28 ปีเท่านั้นแต่กลับประสบความสําเร็จมากมายขนาดนี้
จากที่เอริควิเคราะห์ อาชีพผู้กํากับของจอร์น แลนดิสเริ่มเงียบลงเมื่อปี 1990 ด้วยเหตุนี้ในชีวิตที่แล้วของเอริคจึงไม่มีเรื่องปะทับใจอะไรเกี่ยวกับชายคนนี้เลย
ณ ร้านอาหาร หลังจากที่จอร์น แลนดิสสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นมองเอริคขณะที่กําลังพูดคุยอยู่กับสาวเสิร์ฟผมบลอนทองคนนั้น จนกระทั้งรอให้หญิงสาวเดินจากไปแล้ว จึงพูดกับเอริคว่า “เอริค คุณคงรู้จักอาหารอิตาลีเป็นอย่างดีนะสิ”
เอริคหัวเราะก่อนจะตอบว่า ” พ่อของผมเคยเป็นเชฟอาหารอิตาลี ”
“อื้อ” จอร์น แลนดิสพยักหน้า และไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าจอร์นเองไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเอริคเลย นอกจากเรื่องที่พ่อของเอริคเสียชีวิตแล้วเท่านั้น
ระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟนั้น เอริคและจอร์นก็พูดคุยกันอีกหลายเรื่อง แต่หัวข้อสนทนาหลักๆก็ยังคงเกี่ยวข้องเรื่องการทําหนังอยู่
“เรื่องที่ฉันรู้สึกแปลกใจมากไม่ใช่เรื่องการเปลี่ยนแนวหนังของคุณ แต่เป็นเรื่องที่หนังหลายแนวของคุณกลับประสบความสําเร็จจนมีรายได้ทะลุบอกออฟฟิสอย่างมหาศาลต่างหาก มันเป็นเรื่องที่เข้าใจยากจริงๆ ฉันเองก็เคยลองทําหนังหลายแนวเหมีนอกันนะ แต่หนังดีๆของฉันหลายเรื่องที่อยู่ในบ็อกออฟิสล้วนเป็นหนังตลกเสียดสีทั้งนั้น ดูอย่างสตีเฟนสิเขาเองก็ทดลองทําหนัง หลายแนวมาตั้งหลายปี สุดท้ายแล้วหนังที่ประสบความสําเร็จที่สุดของเขามีแค่หนังไซไฟเรื่อง Jaws และเรื่อง et เท่านั้น”
เอริคจึงพูดว่า “มันพิสูจน์อะไรไม่ได้หรอก คุณจอร์น ผมแค่โชคดีเท่านั้นเอง ผมเพิ่งจะทําหนังได้ไม่กี่เรื่องเอง รอให้ผมทําหนังได้หลายเรื่องก่อน ผมอาจจะได้รู้จักกับความล้มเหลวก็เป็นได้ ถึงตอนนั้นผมก็คงจะรู้แล้วว่าผมถนัดทําหนังแนวไหนมากที่สุด”
เมื่อจอร์นได้ฟังสิ่งที่เอริคพูดแล้วก็ทําให้เขาจมอยู่กับความคิดไปครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าทันใดก่อนจะพูดว่า “มันไม่เหมือนกัน คุณทําให้ฉันรู้สึกว่าไม่เหมือนกันนะเอริค งั้นคุณบอกฉันได้ไหมว่าเรียนถ่ายภาพยนต์ที่ไหน? ฉันละอยากรู้จริงๆ ดูจากอายุของคุณแล้ว การทําหนังเรื่อง The Others ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดูฉันสิกว่าจะสร้างหนังได้สักเรื่องก็ยังต้องอาศัยประสบการณ์หลายปีเลยถึงจะทําออกมาได้ดีขนาดนี้”
เอริคไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองได้สะสมประสบการณ์มาตั้งแต่ชีวิตที่แล้ว เขาจึงพูดได้เพียงว่า “ผมคิดว่ามันคงเป็นความโชคดีของผมเท่านั้น ผมเขียนต้นฉบับของหนังเรื่อง The Others เสร็จแล้วโชคดีที่เจอทีมงานที่เก่งพอดี ผมแค่บอกว่าจุดประสงค์ของผม แล้วพวกเขาก็ช่วยและสนับสนุนผมอย่างเต็มที่ นี่ถ้าไม่มีพวกเขานะบางที่หนังเรื่อง The Others ก็ยังไม่ออกมาเป็นรูปแบบหนังให้ทุกคนได้ดูกันอย่างนี้หรอก “
จอร์น แลนดิสไม่ติดใจอะไรมากนัก เพราะดูจากประวัติความเป็นมาของเอริคแล้วเรื่องนี้ก็คงต้องยกให้เป็นเรื่องโชคดีของเขาจริงๆ
“ฉันเคยดูหนังเรื่อง The Others หลายรอบแล้ว นั้นคิด…สแตนวอร์ด แลนเกลใช่ไหม หนุ่มน้อยคนนี้เก่งมาจริงๆ ถ้ามีโอกาส…ช่างเถอะ อย่าดีกว่า”
จากที่เอริคได้อ่านประวัติของจอร์น แลนดิสมาแล้วเขารู้จึงว่าทําไมจอร์นถึงพูดแบบนี้ เมื่อเจ็ดปีที่แล้วตอนที่เขาทําหนังเรื่องแรก หนังเรื่องนี้ทําให้เกิดอุบิเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้น เหตุการณ์ครั้งนี้ทําให้นักแสดงเสียชีวิตหลายคน และในจํานวนนั้นก็มีเด็กเล็กอีก 2 คน ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่มีเด็กเสียชีวิต เหตุการณ์นี้ก็อาจจะเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจาการถ่ายหนังปกติ เพราะในทุกๆปีก็มักเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้นมากมายในฮอลลีวูด แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นที่มีเด็กเสียชีวิต 2 คนนั้น เขาจึงถูกดําเนินคดีและอยู่ในสถานกักกันกว่า 6 ปีเต็ม และเขาพึ่งจะพ้นคดีความเมื่อปีที่แล้ว ด้วยเหตุนี้การทํางานกับเด็กอีกครั้งจึงเป็นเรื่องที่ยากสําหรับเขา
“คุณจอร์น คุณไม่ควรเอาตัวเองไปพัวพันกับเรื่องนั้นอีก มันก็ผ่านมานานแล้วไม่ใช่เหรอ ? คิดซะว่าครั้งนั้นเป็นเพียงอุบัติเหตุที่น่าเศร้ามากเท่านั้น”
จอร์น แลนดิสยกไวน์ขึ้นดื่มก่อนจะพูดว่า “แต่พวกเขาหาว่าฉันเป็นฆาตกร มันเกินไปจริงๆ ฉันเป็นแค่คนสร้างหนัง ไม่มีใครอยากให้เกิดอุบัติเหตุแบบนี้ขึ้นหรอก ฉันเองก็ขอโทษทุกคนไปแล้ว และยังจ่ายค่าชดเชยให้พวกเขาอีกด้วย แต่ยังมีบางกลุ่มที่ยังไม่จบเรื่องนี้ 6 ปีเต็มที่ฉันต้องรับผิด แล้วพึ่งจะได้เป็นอิสระเมื่อปีที่แล้ว บางที่ฉันเคยคิดที่จะหนีไปต่างประเทศเหมือนโรมัน โปลันสกีด้วยซ้ํา เพราะฉันเองก็ไม่อยากติดคุก แต่ฉันก็ทําไม่ได้”
เอริคนึกถึงประวัติของจอร์น แลนดิส ซึ่งเขารับรู้และเข้าใจได้จากน้ําเสียงที่อีกฝ่ายพูดออกมา
โรมัน โปลันสกีถูกคนอื่นหมายตัวไว้แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็หนีเวรกรรมไม่พ้น เพราะในที่สุด เขาก็ถูกจับได้ในข้อหาพรากผู้เยาว์
บางทีเรื่องของจอร์น แลนดิสที่เกิดขึ้นอาจจะมีผู้สมรู้ร่วมคิดอยู่เบื้องหลังก็เป็นได้ มีบางคนต้องการทําให้ชีวิตเขาพังทลายจึงคิดที่จะกําจัดคู่แข่งและฮุบรายได้ของบ็อกออฟฟิสไว้คนเดียว ถึงแม้ชื่อเสียงของจอร์น แลนดิสอาจจะไม่ดังเทียบเท่า สปีลเบิร์กก็ตาม แต่หนังที่ถ่ายไว้หลายปีมานี้ก็ได้ทํารายได้ทะลุบ็อกออฟฟิสไปแล้วสองแห่ง ส่วนหนังเรื่องอื่นๆของเขาก็มีเสียงตอบรับที่ดีไม่ใช่น้อย
เมื่อนึกถึงเรื่องนนี้เอริคก็รู้สึกใจหวิวๆขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยความที่จอร์น แลนดิสเป็นชาวยิว จะต้องมีชาวยิวกลุ่มหนึ่งในฮออลีวูดที่ไม่ชอบเขาอยู่อย่างแน่นอน การที่สามารถ ทําให้คนๆหนึ่งถูกกักขังกว่า 6 ปีเต็ม ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ แล้วถ้าเป็นเขาเองละ ยิ่งเขาอยู่ในฮอลลีวูดตัวคนเดียวอีก การที่จะสนับสนุนจอร์นเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากจริงๆ
ความกังวลเกิดขึ้นภายในใจเพียงครู่หนึ่ง เอริคก็คิดได้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ต้องมากังวลถึงเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น คิดได้อย่างนั้นเขาจึงหันไปพูดกับจอร์นว่า “ไม่ต้องคิดเรื่องนี้แล้ว คุณจอร์น มันผ่านไปแล้ว คุณดูสิอย่างปีที่แล้วหนังเรื่อง Coming to America ทําให้คุณได้กลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง “
จอร์น แลนดิสฟังถึงสิ่งที่เอริคย้ําเตือนถึงผลสําเร็จของเขา ก่อนจะยิ้มออกมา ” หลังจากที่หนังเรื่อง Coming to Americaกําหนดฉายออกไปได้ไม่นาน เรื่องนั้นก็เงียบลงทันที ถ้าไม่ใช่เพราะหนังเรื่องนี้ ฉันก็คงถูกคนประณามอย่างอีกนานเลย”
หลังจากได้สนทนาหัวข้อนี้ไปทําให้จอร์น แลนดิสรู้สึกสนิทกับเอริคมากขึ้น “เอริค ฉันเคยดูหนังเรื่อง The Others หลายรอบแล้ว ไม่ว่าจะความกดดันในเรื่องที่ดีหรือการหักมุมในตัวหนังเองก็ดี สามารถทําให้คนดูติดงอมแงมได้อย่างแน่นอน ในงานเทศการเมืองคานที่จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ทางเจ้าภาพได้เลือกผู้กํากับที่อายุน้อยที่สุดไว้แล้ว หนึ่งในนั้นอาจเป็นคุณ ฉันรู้สึกว่างานเทศกาลหนังเวนิสที่จัดขึ้นครั้งนี้ดูไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่นัก ”
เมื่อได้ยินจอร์นพูดแบบนี้ เอริครู้ได้ทันทีอีกฝ่ายช่วยพูดโน้มน้าวให้ตัวเองนั้นเข้ารับรางวัลบทภาพยนต์ยอดเยี่ยม เขาจึงรีบส่ายหน้าทันที “คุณจอร์น ผมจึงอายุแค่ 19 ปีเอง ผมเองก็ไม่เคยคิด ถึงชื่อเสียงเกียรติยศมาก่อน ถ้าผมได้รับรางวัลเร็วเกินไปอาจทําให้ผมไม่คิดที่จะพัฒนาตัวเองให้ก้าวไปข้างหน้าก็เป็นได้ หรือคณคิดว่ายังไง ? “
จอร์น แลนดิสอึ้งไปชั่วอึดใจ ก่อนยิ้มอออกมาแล้วพยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้ว”
เอริคเองก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ เอริคยกแก้วเป็นการแสดงความขอบคุณ ซึ้งจอร์น แลนดิสนั้นรู้และเข้าใจดี จึงยกแก้วไวน์ตอบเช่นกัน “วางใจเถอะ ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่”
เอริคไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากยกไวน์ขึ้นดื่มเท่านั้น
หลังจากวางแก้วลงเอริคและจอร์น แลนดิสก็ยังคุยเรื่องอื่นๆอีกหลายเรื่อง จนเอริคได้เสียงจากหญิงสาวที่อยู่ไม่ไกลจากเขาพูดขึ้นว่า “ฮ่าฮ่าฮ่าชายอ้วนคนนั้นน่าตลกจริงๆ บอกฉันว่าตัวเองเป็นผู้กํากับ…แต่คุณ…แย่มาก “
เอริคเลิกคิ้วสูงขึ้นแล้วหันไปตามเสียง ก็พบกับหญิงสาวผมทองลอนยาวคนหนึ่ง เขากระตุกยิ้มมุมปากทันที หญิงสาวคนนั้นคือจูเลียนั้นเอง คิดไม่ถึงว่าจูเลียมาร่วมงานเทศกาลหนังเวนิสครั้งนี้ด้วย และคนที่นั่งตรงข้ามหล่อนก็คงเป็นลูกสาวตนที่สองของตระกูลเมอร์ด็อคอย่างเอลิซาเบธเมอร์ด็อคแน่นอน.
“มีอะไรเหรอ เจอคนรู้จักเหรอ? ” จอร์น แลนดิสจ้องมองไปที่เอริค เพราะเขากับจูเลียไม่ได้รู้จักกัน แต่ถ้าเห็นหน้าเต็มๆ บางทีอาจจะนึกออกว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นใครก็เป็นได้ แต่มองจากด้านหลังกลับไม่รู้จักว่าเป็นใคร
เอริคพยักหน้าก่อนจะตอบว่า “คนที่ผมรู้จัก 2 คน แต่พวกหล่อนคงไม่อยากให้ผมเดินเข้าไปทักทายหรอก ไม่สนใจพวกหล่อนน่าจะดีกว่า”
จอร์น แลนดิสพยายามดูหญิงสาวทั้งสองคน ก่อนจะยิ้มออกมา “จะจีบหญิงทั้งๆที่ต้องกล้าๆหน่อย นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ทําอะไรระวังจะไม่มีเด็กสาวให้ไปส่ง”