I’m in Hollywood – ย้อนเวลามาเป็นเจ้าพ่อฮอลลี - ตอนที่ 203
ตอนที่ 203 ต้นทุนต่ํา
เมื่อได้ยินคําตอบของเอริค เอลิซาเบธก็ค้อนใส่เขาเบาๆ “คุณนิ ไม่มีรสนิยมจริงๆ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับไม่มีรสนิยมกันละ? ” เอริคเปิดกระป๋องเบียร์แล้วนั่งลงบนโซฟาก่อนจะพูดต่อว่า “ถ้าฉันบอกว่าฉันชอบหนังสือเล่มนี้ละ หลังจากนั้นก็ต้องนั่งคุยกันเกี่ยวกับเรื่องปรัชญาชีวิตในหนังสือเล่มนี้กับคุณ แล้วก็ชอบคุยชอบเข้าหาคุณอย่างนั้นเหรอ? ”
“มันไม่ควรเป็นอย่างนี้เหรอ? ” เอลิซาเบธถามตามหลักเหตุผล
เอริคยิ้มก่อนตอบว่า “ตอนเธออยู่ในโรงเรียนเธอก็มักเจอสถานการณ์แบบนี้อยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ? ”
เอลิซาเบธพยักหน้าอย่างซื่อๆ
จูเลียที่ถือแก้วน้ําผลไม้ไว้ในมืออดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ตอนที่จูเลียจบมัธยมปลายหล่อนก็เริ่มเข้าสู่สังคมทันที ถึงแม้ว่าผลการเรียนของเอลิซาเบธจจะไม่ค่อยสูงมากนัก แต่เรื่องการปฏิสัมพันธ์ของหล่อนนั้นกลับโดดเด่นมากทีเดียว เพราะหล่อนได้รับการฝึกฝนในเรื่องการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นมาตั้งแต่เด็กๆ เรื่องบางเรื่องหล่อนสามารถเข้าใจได้ทันที เอริคเองหัวเราะออกมากับแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเอลิซาเบธเช่นกันก่อนอธิบายว่า “ในฐานะที่คุณเป็นบุตรสาวคน ที่สองของบริษัทพ่อคุณ ผู้ชายทุกคนก็อยากที่จะเข้าหาคุณอยู่แล้ว เรื่องวัตถุเงินทองก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักสําหรับคุณ พวกเขาแค่ใช้ฝีมือของตัวเองก็พอ สรุปแล้ว เรื่องที่คุณเห็นว่ามีแต่คนเข้าหาคุณก็เพราะผู้ชายเหล่านั้นอยากจะจีบคุณเท่านั้นแหละ ยัยโง่เอ้ย”
เมื่อเอริคพูดจบ เอลิซาเบธพึ่งเคยโดนทําเสียหน้าแบบนี้ครั้งแรก ถึงกับหน้าชาหัวใจหล่อนเต้นแรงและอ้าปากค้างทันที
เอริคจิบเบียร์ก่อนจะเอนกายพิงโซฟาแล้วพูดขึ้นว่า “เมื่อพูดอย่างนนี้แล้วฉันก็เคยมีวิธีการจีบสาวโดยไม่ต้องลงทุนอะไรมากเหมือนกันนะ ฉันก็มักใช้บ่อยมากด้วยในชีวิตที่แล้ว”
“อ่า…ฮึ ! ถึงแม้ว่าเอลิซาเบธคิดว่าเรื่องที่เอริคพูดนั้นจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดเหนบๆออมาว่า “คุณคิดว่าผู้ชายจะนิสัยไม่ดีแบบคุณทุกคนที่ไง”
“สําหรับผู้ชายแล้วการจะเป็นลูกเขยของตระกูลเมอร์ด็อค ต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองถึง 30 ปีเลยนะ แล้วคนนิสัยไม่ดีแบบนี้จะทํายังไงได้ละ? ”
เอลิซาเบธโต้กลับอย่างไม่พอใจ “เรื่องนี้ คุณก็แค่คิดไปเองทั้งนั้น”
“คุณก็น่าจะรู้ด้วยตัวเอง” เอริคไม่อยากโต้เถียงกับหญิงสาว จึงเปลี่ยนเรื่องทันที “จริงสิ พวกเธอมาหาฉันดึกดื่นขนาดนี้มีเรื่องอะไรเหรอ? ”
เมื่อได้ยินเอริคถามขึ้น จูเลียก็ก้มหน้าลงทันที หล่อนมักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่มีเรื่องเครียด เอลิซาเบธจึงรีบชิงถามขึ้นทันที “ไหนๆคุณก็มาเวนิสแล้วงั้นพรุ่งนี้เราไปเที่ยวกันดีไหม? ”
เอริคนึกถึงตารางงานสักพักแล้วพยักหน้าทันที “ไม่มีปัญหา พรุ่งนี้ฉันว่างพอดี”
เดิมทีแล้วเอลิซาเบธคิดว่าเอริคจะหาข้ออ้างมาปฏิเสธคําชวนของหล่อน คิดไม่ถึงว่าเขาจะตอบตกลงง่ายดายอย่างนี้ ตอนนี้ก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ซึ่งการที่มีหญิงสาวสองคนมาอยู่ในห้องของชายหนุ่มนานขนาดนี้คงดูไม่เหมาะสมนัก เมื่อคุยกันไปสักพัก จูเลียที่ไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวคําลา
เช้าวันที่สอง เอริคมาได้รับคําเชิญจากประธานอันเดรสเมอร์น็อคให้เข้าร่วมรับประทานอาหารเช้าครั้งนี้ด้วย เขาต้องพึ่งพาล่ามช่วยเป็นสื่อกลางระหว่างเขากับประธาน พวกเขาสองคนสื่อสารกันอย่างมีความสุขในห้องอาหารของโรงแรมจนถึงเวลา 9โมงเช้า ก่อนที่อันเดรสเมอร์น็อค จะขอตัวกลับก่อนด้วยความไม่เต็มใจเพราะมีงานด่วน
อลันพาเอริคมายังท่าเรือที่นัดหมายไว้ เมื่อมาถึงเขาก็พบว่าทั้งสองสาวจูเลียและเอลิซาเบธได้มาถึงก่อนแล้ว
เมื่อเอริคปรากฏตัวเอลิซาเบธก็บ่นขึ้นด้วยความไม่พอใจ “เฮ้ เอริค คุณไม่ตรงเวลาเลย ทําไมปล่อยให้เด็กผู้หญิงรอนานขนาดนี้? ”
“ฉันมีงานที่ต้องทํานิ ไม่ได้ว่างแบบพวกเธอสองคน” เอริคอธิบาย ส่วนอลันก็ไปจัดการเช่าเรือเพราะวันนี้พวกเขาจะไปเกาะเวนิสกัน
เมื่อหาเรือสปีดโบ็ทได้แล้ว เอลิซาเบธก็จูงมือจูเลียขึ้นไปยังห้องโดยสารบนเรือ อลันช่วยเหลือในด้านการแปลภาษาแล้วรีบกลับทันที ทั้งสามนั่งเรือมาจนถึงเมืองเวนิสแล้วมาเปลี่ยนมานั่งเรือขึ้นชื่อของเวนิสอย่างเรือกอนโดล่า แล้วร่องเรือชมวิวทิวทัศน์ไปตามลําคลองในเมืองเวนิส
แสงแดดอันอบอุ่นในตอนเช้าได้สาดส่งลงมายังพวกเขา เอริคที่ใส่ชุดลําลองสบายๆนั่งพิงเรือกอนโดล่าพร้อมชื่นชมกับตึกสถาปัตยกรรมรอบทิศทาง เขายกกล้องขึ้นมาถ่ายทิวทัศน์นั้นหลายต่อหลายภาพ ส่วนเอลิซาเบธที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งนั้นก็หันไปตะโกนคุยกับคนเรือที่ชื่อว่า โลวิโซ วัย 50กว่าเป็นภาษาอิตาลี ทั้งสองพูดคุยกันกัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
“เฮ้ จูเลียทําไมไม่พูดอะไรเลยละ ไม่สบายรึเปล่า ? ” ขณะที่เอริคกําลังกดชัตเตอร์ถ่ายรูป สะพานโค้งอยู่นั้นหันมาถามหญิงสาวที่นั่งไม่พูดไม่จาข้างๆตัวเขา
เรือกอนโดล่าลํานี้มีที่นั่งยาวแค่แถวเดียวเท่านั้น ดังนั้นทั้งสามคนจึงจําเป็นต้องนั่งเบียดกันเล็กน้อย เอริคนั้นนั่งอยู่ด้านขวา ส่วนเอลิซาเบธนั่งด้านซ้ายสุด และจูเลีย ถูกจัดให้นั่งตรงกลาง อาจเป็นเพราะรูปร่างของหญิงสาวทั้งสองคนนั้นตัวเล็กอยู่แล้วและเอริคเองก็ไม่ได้อ้วน เดิมทีที่นั่งที่พวกเขานั่งเป็นที่นั่งสําหรับสองคน แต่เมื่อทั้งสามคนนั่งด้วยกัน พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเบียดอะไรมากขนาดนั้น
จูเลียเงยหน้าขึ้นก่อนมองไปยังสายตาที่ดูห่วงใยของเอริคแล้วตอบว่า “ไม่..ไม่ใช่”
“อื้อ” เอริคคิดสักพักก่อนจะเงียบลงเพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรต่อ เขายกกล้องถ่ายรูปต่อไป จูเลียเห็นดังนั้นจึงเริ่มถามขึ้นก่อน “เอริค คุณจะกลับลอสแองเจลิสเมื่อไหร่เหรอ”
” หลังวันที่ 5″
หญิงสาวเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปที่เอริคก่อนจะพูดว่า “ทําไมรีบจัง ทําไมไม่อยู่เที่ยวสักสองสามวันก่อนละ? ”
เอริคยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพนกทะเลที่บินผ่านผิวน้ํา เมื่อถ่ายเสร็จเขาก็หันมาพูดว่า “จ ริงๆฉันก็อยากจะพักอีกสักหน่อยนะ แต่อีกสองเดือนข้างหน้าฉันยังต้องถ่ายหนังอีกสองเรื่อง เวลามันกระชั้นชิดเกินไป”
หญิงสาวพยักหน้าแล้วก้มหน้าลงอีกครั้ง
” จริงสิ จูเลีย แล้วเธอจะกลับเมื่อไหร่”
จูเลียลังเลอยู่สักพักก่อนจะตอบว่า “ตอนแรกลิซบอกว่าจะพาฉันมาเที่ยวอิตาลี หล่อนบอกว่าจะพาไปดูฟาร์มสัตว์เลี้ยงที่บ้านของหล่อน แต่ฉันเปลี่ยนใจไม่อยากไปแล้ว”
“งั้นก็สมควรกลับได้แล้ว หนังเรื่อง Steel Magnolias ก็กําลังจะกําหนดฉายในเดือนพฤศจิกายนนี้แล้ว เธอเองก็ต้องเตรียมตัวเดินสายโฆษณาด้วย ไหนจะหนังที่เธอยังต้องเลือกในปีหน้า”
จูเลียมองไปยังเอริคด้วยสายตาที่สับสนชั่วขณะหนึ่งก่อนจะพูดออกมา “คุณ”
เอริคก้มลงดึงแผ่นฟิมล์ที่ถ่ายเสร็จแล้วออกมาก่อนเปลี่ยนม้วนฟิล์มอันใหม่ใส่เข้าไปแทน เขาเงยหน้าขึ้นมองสายตาคู่นั้นของจูเลียแล้วก็เข้าใจได้ทันทีว่าหญิงสาวกําลังคิดอะไรอยู่ เขายิ้มออก
มาแล้วพูดว่า ” หนังเรื่องใหม่ในปีหน้าของเธอฉันจะไม่เข้าไปแทรกแซงละกัน เธอสามารถเรียนรู้ได้จากสิ่งที่ตัวเองเลือก แต่อย่างน้อยก็ฟังความคิดเห็นของคาร์พลูบ้างก็ดีนะ”
หนังสองเรื่องที่หญิงสาวแสดงถูกฉายในปีนี้ และเพราะหนังสองเรื่องนี้ทําให้จูเลียมีชื่อเสียงโด่งดังอันดับต้นๆได้ในเวลาไม่นาน แม้ว่าเอริคจะสามารถทําให้ชื่อเสียงของหญิงสาวคงอยู่ได้อันดับต้นๆต่อไปได้ก็ตาม แต่นิสัยที่ไม่ค่อยจะนิ่งของจูเลีย ทําให้เอริคคิดว่าปล่อยให้หล่อนได้พบกับ ประสบการณ์ด้วยตัวเองน่าจะดีกว่า
อีกทั้ง การถ่ายหนังในปีหน้าก็คงไม่เหมือนกับปีนี้แน่นอน ถ้าเอาแต่ถ่ายหนังไม่ลืมหูลื มตาและจําหน่ายหนังที่ถ่ายทุกครั้ง ถึงตอนนั้นก็คงไม่วายถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ยึดกําไรไปหมดแน่ ความเป็นไปได้ที่จะขายทิ้งนั้นเขาไม่มีอย่างแน่นอน &nmiddot;ปีหน้าเขาจะไปมุ่งเน้นให้กับอุตสาหกรรมหนังที่จะเจริญเติบโตขึ้นอีกในวันข้างหน้า
ถ้าเอริคเข้ามาก้าวก่ายหนังของหล่อน จูเลียก็คงต้องหาทางหลบหนีให้พ้นจากการควบคุมชายหนุ่มคนนี้อีก แต่เมื่อหล่อนได้ยินว่าเอริคไม่ได้สนใจหล่อนแล้วกลับทําให้หล่อนรู้สึกถึงความว่างเปล่าขึ้นมาซะงั้น
“เฮ้ พวกเธอดูนั้นสิ สะพานถอนหายใจ (สะพาน Bridge of Sighs)” ขณะที่ทั้งสองกําลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เอลิซาเบธที่นั่งอยู่อีกด้านก็ใช้ภาษาอังกฤษตะโกนขึ้น
เอริคเงยหน้ามองตามนิ้วที่เอลิซาเบธชี้ เมื่อมองไปก็เห็นทางน้ําแคบๆสายหนึ่ง บนทางน้ํานี้มีสะพานซุ้มโค้งสูงที่ทําจากหินปูนสีขาว คนเรือที่ชื่อว่า โลวีโซยิ้มและทั้งพายเรือกอนโดล่าเข้าไปยังทางน้ําแคบๆทางทันที
“สะพานถอยหายใจ (สะพาน Bridge of Sighs)เป็นชื่อที่ไพเราะมาก พี่รู้ตํานานของสะพานนี้ไหม? ” เอลิซาเบธที่ทําตัวเหมือนกับนักวรรณกรรม หันไปถามจูเลียที่นั่งอยู่ข้างๆ
· จูเลียส่ายหน้า หล่อนไม่รู้จริงๆ การค้นหาข้อมูลในยุคนี้ได้พัฒนาขึ้นมากกว่าในช่วง 10-20ปีก่อนหน้านั้น เพียงแค่เสิร์ตคําเพียงไม่กี่คําก็สามารถหาข้อมูลได้ทั้งหมดทันที
เมื่อเห็นจูเลียส่ายหน้า เอลิซาเบธจึงโบกไม้โบกมือก่อนจะเริ่มอธิบายว่า “ พี่ดู สะพานถอนหายใจ (สะพาน Bridge of Sighs) นี้เป็นสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างสถาปัตยกรรม2 ตึก ด้านนี้เป็นพระราชวัง Doge ส่วนอีกด้านเป็นเรือนจํา ตามข้อมูลที่ได้มาพระราชวังด้านนี้เป็นห้องสอบปากคํานักโทษ เมื่อสอบปากคําเสร็จแล้วก็ถูกส่งตัวไปคุมขังในเรือนจําที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ซึ่งนักโทษที่เดินผ่านสะพานนี้ต่างก็ถอนหายใจด้วยความเศร้าใจ เพราะเมื่อเข้าไปในเรือนจําแล้วจะไม่สามารถออกมาเห็นโลกภายนอกได้อีก ดังนั้นสะพานนี้จึงได้ถูกตั้งชื่อว่า สะพานถอนหายใจ (สะพาน Bridge of Sighs) ”
เอริคที่กําลังรัวชัตเตอร์เก็บภาพสวยงามอยู่ ทันใดนั้นเขาก็วางกล้องลงแล้วหันมายิ้มกับหญิงสาวก่อนจะพูดขึ้นว่า ” ฟังจากที่คุณเล่า ฉันกลับคิดว่าสะพานนี้น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นประตูนรกคงจะเหมาะสมมากกว่านะ ถ้าสะพานนี้มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ มันก็ต้องคอยแบกรับการถอนหายใจของนักโทษทุกคนครั้งแล้วครั้งเล่า ในใจมันก็คงเต็มไปด้วยความรู้สึกแย่ๆเป็นแน่ และถ้านําชื่อสะพานนี้สร้างเป็นหนังแล้วละก็ฉันรู้สึกว่าทั่วทั้งโลกก็คงรู้สึกเศร้าใจเช่นกัน และสะพานนี้คงเป็นเหมือนสัญลักษณ์สําหรับการทารุณมนุษย์ทารุณสังคมเป็นแน่”
เอลิซาเบธหยุดชะงักลงเล็กน้อยและรู้สึกว่าเรื่องที่เอริคพูดก็ค่อนข้างดูสมเหตุสมผล แต่หญิงสาวก็ไม่วายที่จะหันมาถลึงตาใส่เอริคก่อนจะพูดว่า นี่คุณอย่าทําให้เสียบรรยากาศได้ไหม?
“ฉันแค่พูดตามความจริง”
เอลิซาเบธหันกลับไปด้วยความโกรธ และไม่สนใจชายหนุ่มน่าเกลียดคนนี้อีก หล่อนหันไปดึงแขนจูเลียและกระซิบกระซาบเบาๆกับจูเลียต่อ
เมื่อเรือกอนโดล่าแล่นไปถึงใต้สะพายถอนหายใจ คนเรือที่ยืนอยู่ท้ายเรือก็หันไปตะโกนพูดกับคนเรือลําอื่นอีกสามคนเป็นภาษาอิตาลี
เอริคและจูเลียไม่เข้าใจความหมายจึงหันไปมองเอลิซาเบธอย่างคาดหวัง เมื่อเอลิซาเบธเห็นทั้งสองมองมายังตัวหล่อนจึงเชิดหน้าขึ้นแล้วอธิบายว่า ” นายโลวิโซบอกว่า ถ้าคู่รักคู่ไหนมาจูบที่ใต้สะพานนี้จะทําให้ครองคู่กันชั่วนิจนิรันดร์ ”
เมื่อจูเลียได้ยินอย่างนั้น หล่อนก็ชําเลืองมองไปยังเอริค แล้วรีบเบือนสายตาไปมองทิวทัศน์ทันที เพราะไม่อยากให้เอริคเห็น เอลิซาเบธค่อยๆยืนขึ้นแล้วมองไปยังเอริคและจูเลีย
เอริคเห็นทาท่างอย่างนั้นของเอลิซาเบธ เขาเอามือวางไว้ที่อกก่อนจะพูดออกไปว่า “อย่าได้คิดเพ้อเจ้อ ฉันไม่มีวันจูบเธอแน่นอน”
” ทุเรศ ต่อให้เรือลํานี้จมหายไปฉันก็ไม่มีวันจูบคุณหรอก ไอคนน่ารังเกียจเอ้ย ” เอลิซาเบธโต้แย้งกลับอย่างไม่ยอมแพ้ เมื่อพูดจบดวงตากลมโตคู่นั้นเบนไปทางหญิงสาวที่นั่งข้างๆ เอริคจึงตกตะลึง หล่อนคว้าตัวของจูเลียที่ไม่ทันระวังตัวก่อนจะประกบปากลงไปทันที