I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 329 อาสาไปต่อสู้!
หลายปีมานี้หลี่หลานเฟิงไม่ได้เจอคนประเภทเดียวกันในโลกเสมือนจริงเลยสักคน นี่ทำให้เขารู้สึกว้าเหว่อยู่บ้าง นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมตอนที่เขายังไม่รู้ว่าหลิงหลานคือกระต่าย เขาถึงได้สนใจหลิงหลานเพราะคิดว่าอีกฝ่ายมีความเป็นไปได้สูงที่จะครอบครองความสามารถผีซวี ถึงขนาดที่คิดจะตรวจสอบสักรอบ
“นายไม่ใช่แฮคเกอร์ แต่เป็นผีซวีสินะ” หานจี้จวินพลันเอ่ยปากถามเสียงต่ำในขณะที่พวกเพื่อนๆ กำลังตกตะลึงกับเรื่องที่หลี่หลานเฟิงกล่าว
คำพูดของหานจี้จวินทำให้คนอื่นๆ ในทีมตกใจ พวกเขาต่างรู้ดีว่าผีซวีเป็นตัวแทนของอะไรในโลกเสมือนจริง มิน่าล่ะ เมื่อสักครู่นี้พวกเขาถึงมีความรู้สึกเผชิญหน้ากับหายนะเลย กลิ่นอายอันตรายเมื่อตอนนั้นน่าจะเป็นพลังผีซวี
หลี่หลานเฟิงพยักหน้ากล่าวขอโทษว่า “ใช่แล้ว ฉันเป็นผีซวี เพื่อปกปิดความสามารถของฉันไว้ ดังนั้นถึงได้หลอกลวงพวกนาย ขอโทษด้วยนะ!”
“ฉันรู้เรื่องนี้ พวกนายก็รู้ว่าแทบจะไม่มีผีซวีอยู่ในหมู่ประชาชนเลย ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของชีตาห์ ฉันเลยไม่ให้ชีตาห์พูดเรื่องนี้” หลิงหลานพลันเอ่ยปากพูดว่า “ฉันหวังว่าเรื่องนี้จะจบลงตรงนี้ ทุกคนต้องรู้ไว้นะว่า ถ้าเกิดคนอื่นพบว่าชีตาห์เป็นผีซวีขึ้นมา เขาก็จะมีอันตรายถึงชีวิต”
คำพูดของหลิงหลานทำให้ทุกคนใจกระตุกอีกครั้ง ผีซวีเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดที่ประเทศศัตรูของสหพันธรัฐพยายามลอบสังหารมาตลอดจริงๆ ขอเพียงพบตัวตนที่แท้จริงของผีซวี พวกเขาจะต้องสังหารโดยที่ไม่คำนึงถึงค่าตอบแทนอะไรทั้งนั้น นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมกองทัพสหพันธรัฐถึงควบคุมผีซวีทั้งหมดไว้ สหพันธรัฐต้องคุ้มครองผีซวีเหล่านี้ แน่นอนว่าเหตุผลส่วนหนึ่งก็คือกลัวว่าผีซวีที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของพวกเขาจะก่อคดีฆาตกรรมสะเทือนฟ้าในโลกเสมือนจริง
ภายในโลกเสมือนจริง ผีซวีก็คือคำพ้องของยมทูต นอกจากผีซวีเหมือนกันแล้ว ไม่มีใครสามารถต่อต้านพวกเขาได้ ต่อให้เป็นนักรบที่เก่งกาจมากอีกแค่ไหน เป็นผู้นำข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจอีกเท่าใดในโลกความเป็นจริง เมื่ออยู่ต่อหน้าผีซวีในโลกเสมือนจริงแล้ว พวกเขาก็เหมือนกับเด็กทารกที่ไม่มีความสามารถใดๆ มาปกป้องตัวเองได้เลย ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายเข่นฆ่าได้ตามใจชอบ
ดังนั้นบรรดาผู้มีอำนาจของประเทศต่างๆ ทั้งรักทั้งหวาดกลัวผีซวี รักที่พวกเขาสามารถกลายเป็นอาวุธในการคุกคามประเทศศัตรูได้ และกลัวว่าพวกเขาจะต่อต้านเข้ามาทำร้ายพวกตน นี่ก็เลยก่อโศกนาฏกรรมทำให้ผีซวีไม่มีอิสระไปชั่วชีวิต ไม่มีผู้มีอำนาจคนไหนยินดีปล่อยให้พวกคนที่มีความสามารถอันน่ากลัวที่ทำลายความปลอดภัยในชีวิตพวกเขาในโลกเสมือนจริงได้ไป พวกเขาจำเป็นต้องเลือกควบคุม ถึงขนาดที่กำจัดอย่างไร้ความเมตตาเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง!
“ได้ ลูกพี่!” ทุกคนในทีมต่างเข้าใจความหมายของหลิงหลาน นอกจากนี้การที่หลี่หลานเฟิงเลือกบอกความจริง อันที่จริงแล้วก็เป็นการมอบชีวิตให้พวกเขา นี่เป็นความเชื่อใจที่เขามีต่อสมาชิกในทีม นี่ทำให้พวกฉีหลงรู้สึกตื่นตันใจไม่หยุด และนับจากนี้เป็นต้นไป พวกฉีหลงจะเห็นหลี่หลานเฟิงเป็นเพื่อนของตัวเองอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อนของลูกพี่ที่เข้ามากลางทางโดยที่ไม่รู้ว่าจะเป็นสมาชิกชั่วคราวหรือว่าสมาชิกถาวร
หานจี้จวินมองหลี่หลานเฟิงคราหนึ่งด้วยสีหน้าซับซ้อน ในใจรู้สึกนับถือการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวของหลี่หลานเฟิง ใช้วิธีการทุกอย่างเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากพวกเพื่อนๆ หลอมรวมเข้าไปในทีมอย่างรวดเร็วสุดขีด เวลานี้ในใจเขามีลางสังหรณ์ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่หลี่หลานเฟิงจะเป็นคู่แข่งที่เก่งกาจที่สุดต่อตำแหน่งในทีมของเขา…
หานจี้จวินลอบกำหมัดตัวเอง บอกกับตัวเองว่าต้องสู้ๆ เขาไม่อาจพ่ายแพ้ให้กับหลี่หลานเฟิงที่เป็นสมาชิกทีมที่เข้าร่วมกลางทางคนนี้เป็นอันขาด เขา…หานจี้จวินไม่มีทางปล่อยตำแหน่งเสนาธิการไปเด็ดขาด!
เมื่อได้ยินหลิงหลานปกป้อง ในใจหลี่หลานเฟิงก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่งยวด เขารู้ดีว่าเขาไม่เคยบอกหลิงหลานมาก่อนว่า เขาเป็นผีซวี
นี่น่าจะเป็นเพื่อนรู้ใจที่กล่าวกันในหนังสือสินะ ช่วยเหลือเขา ให้อภัยเขา ปกป้องเขาในช่วงเวลาสำคัญ หัวใจของหลี่หลานเฟิงเต้นกระหน่ำขึ้นมาอีกครั้ง ความอบอุ่นที่ไม่อาจอธิบายได้กระเพื่อมอยู่ข้างใน
ในขณะที่ทุกคนกำลังตัดสินใจว่าจะทำภารกิจต่อดีหรือไม่ หลิงหลานถามหลี่หลานเฟิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ชีตาห์ นายต้านทานการโจมตีของผีซวีสองคนได้หรือเปล่า?” มีเพียงผีซวีเท่านั้นที่จะสามารถต้านทานผีซวีได้ ถึงแม้หลิงหลานจะมีเสี่ยวซื่อที่เป็นเทพเสมือนจริง ไม่ได้เกรงกลัวผีซวีด้านใน แต่เธอยังต้องถามหลี่หลานเฟิง ถึงอย่างไรคนที่ต่อกรกับผีซวีในฉากหน้าก็คือหลี่หลานเฟิง
หลี่หลานเฟิงครุ่นคิดอย่างจริงจัง จากนั้นค่อยตอบว่า “สำหรับการป้องกันเพียงอย่างเดียวน่าจะไม่มีปัญหา แต่ว่าสมาชิกทีมค่อนข้างมาก ถ้ากระจัดกระจายมากเกินไป ฉันกลัวว่าตัวเองจะทำพลาดถูกฝ่ายตรงข้ามคว้าโอกาสได้” ความหมายในคำพูดนี้คือ การต้านรับไม่มีปัญหา แต่ว่าคนเยอะไปหน่อย พื้นที่การป้องกันของเขาไม่ได้กว้างมาก เมื่อออกนอกขอบเขตการป้องกัน เขาไม่สามารถรับรองได้ว่าจะคุ้มครองสมาชิกทีมได้โดยที่ไม่มีข้อผิดพลาดเลย
สิ่งที่หลิงหลานรอคอยก็คือคำพูดประโยคนี้แหละ เธอตัดสินใจให้พวกฉีหลงรออยู่ที่นี่ ส่วนเธอกับหลี่หลานเฟิงจะเข้าไปตรวจสอบดู
การตัดสินใจนี้กลับถูกสมาชิกคนอื่นๆ ในทีมคัดค้านอย่างเด็ดขาด พวกเขาบอกว่าจะตามหลิงหลานเข้าไปด้วยเหมือนกัน และสัญญาว่าจะเชื่อฟังคำสั่ง ไม่ออกห่างจากข้างกายหลี่หลานเฟิงสักก้าวเดียว
หลี่หลานเฟิงเห็นสมาชิกทีมต่างไม่คิดจะท้อถอย ทันใดนั้นก็รู้สึกฮึกเหิมอย่างยิ่ง เอ่ยปากพูดว่า “กระต่าย ฉันจะพยายามปกป้องพวกเขาอย่างสุดความสามารถ ให้พวกเขาเข้าไปเถอะ”
หลิงหลานคิดว่ายังมีเสี่ยวซื่อกลบช่องโหว่ น่าจะไม่เกิดปัญหาใหญ่อะไร เธอเลยพยักหน้าตกลง
ความจริงแล้ว ตลอดทางที่หลิงหลานพาทุกคนมาถึงหน้าประตูบานใหญ่ที่สุด ทุกคนต่างรู้ดีว่าพวกเขาเดินลงไปด้านล่างมาตลอด และก็ไม่รู้ว่ามาถึงใต้ดินลึกมากเท่าไหร่แล้ว แต่พอเห็นประตูบานใหญ่นี้ พวกเพื่อนๆ ต่างคิดว่าน่าจะมาถึงใต้ดินที่ลึกสองร้อยสามร้อยเมตรแล้ว
หลิงหลานใช้การแบ่งปันจิตวิญญาณแสดงฉากด้านในประตูให้บรรดาลูกทีมดูทีละอัน คนที่คุ้มกันประตูบานนี้ไม่ใช่ทหารไม่กี่คนอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นทีมขนาดกลางประมาณสิบห้าคน
สองฝั่งของประตูมีกำแพงเหล็กสองด้าน แต่ละด้านมีปืนกลลำแสงสามกระบอกจากรูกำแพงด้านในเล็งมาตรงทางเข้าประตู ปลายสุดของกำแพงเหล็ก หรือก็คือจุดที่อยู่ด้านหน้าประตูสามสิบเมตรมีทหารติดอาวุธทั่วทั้งตัวอยู่หกคน แต่ละคนต่างถืออาวุธปืนหนักจ้องเขม็งมาที่ประตู ยังมีอีกสามคนกำลังอำพรางตัวอยู่ในมุมอับของกำแพงเหล็ก สามคนนี้ไม่จำเป็นต้องกังวล ขอเพียงพวกเขาไม่ได้เปิดเผยตัว อีกฝ่ายก็จะโจมตีพวกเขาไม่ได้
นอกจากนี้พวกหลิงหลานก็ไม่กลัวว่าพวกเขาจะเปิดสัญญาณเตือนภัยด้วย เพราะว่าเมื่อเข้าไปแล้ว ผีซวีก็จะสังเกตเห็นพวกเขา ไม่ว่าจะเปิดสัญญาณเตือนภัยหรือไม่นั้นก็เปิดเผยตัวอยู่ดี
แต่เวลานี้นอกจากผีซวีที่ต้องรับมือแล้ว พวกเขายังต้องเตรียมตัวจัดการศัตรูที่เดิมที่ไม่ได้คาดคิดว่าอยู่นั้น นั่นก็คือทหารหุ่นรบ การแบ่งปันจิตวิญญาณของหลิงหลานแสดงฉากด้านในออกมา พื้นที่ข้างในกว้างมาก พื้นจรดเพดานมีความสูงประมาณห้าสิบเมตร นี่ยืนยันว่าด้านในไม่เพียงมีทหารราบภาคพื้นดินบางส่วนแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่ายังมีผู้ควบคุมหุ่นรบอีกด้วย
ทุกคนวางเรื่องศัตรูที่อาจจะปรากฏตัวนี้ทิ้งลงไปก่อน แล้วเริ่มวิเคราะห์ว่าจะรับมือกับสถานการณ์ตอนนี้อย่างไร ปืนกลลำแสงหกกระบอกย่อมต้องให้ลูกพี่หลานจัดการอยู่แล้ว และก็มีเพียงหลิงหลานเท่านั้นถึงจะมีความสามารถซัดอาวุธลับเข้าไปในรูกำแพงอย่างแม่นยำ จัดการมือปืนหกคนด้านใน
หลี่หลานเฟิงต่อกรกับผีซวีสองคน เมื่อเข้าไปข้างในแล้วก็จะต้องทุ่มเทสุดกำลัง ไม่มีมือที่ว่างมาโจมตี ดังนั้นจะต้องอาศัยคนอื่นๆ จัดการทหารที่ถืออาวุธปืนหนักหกคนที่อยู่ด้านหน้าสุด
พวกฉีหลงห้าคนย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน พวกเขาที่ถูกหลิงหลานทารุณมาตั้งแต่เด็กๆ ต่อให้เป็นหานจี้จวินที่อ่อนแอมากที่สุดก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นๆ เท่าไหร่เลย สิ่งสำคัญคือควรจะจัดการคนที่หกอย่างไรดี ถึงยังไงพวกเขาแต่ละคนก็จัดการได้แค่คนเดียว คนที่เกินมานั้นก็จะหลุดรอดออกมาทำให้อีกฝ่ายมีเวลายิงใส่
ฉีหลงใคร่ครวญอย่างจริงจัง รู้สึกว่ายังมีความมั่นใจอยู่บ้าง ขณะที่กำลังคิดจะเอ่ยปากบอกว่าคนที่เหลืออยู่นั้นให้เขาเป็นคนจัดการ หลี่ซื่ออวี๋ที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ด้านข้างมาตลอดพลันกล่าวอาสาไปต่อสู้ว่า “คนที่หกนั่นให้ฉันจัดการเอง”
นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ซื่ออวี๋เอ่ยปากว่าอยากจะทำอะไรบางอย่างเอง ทำให้ทุกคนประหลาดใจมาก ทยอยกันมองไปทางหลี่ซื่ออวี๋ แววตาร้อนแรงของพวกสมาชิกทีมทำให้หลี่ซื่ออวี๋อึดอัดอยู่บ้าง ดวงหน้าขาวเนียนขึ้นสีแดงระเรื่อทันใด
“รุ่นพี่ซื่ออวี๋เป็นคนของภาควิชาวิจัยแพทย์ทหาร ความสามารถในการต่อสู้จะอ่อนแอไปนิดหน่อยหรือเปล่า? ถ้าเกิดได้รับบาดเจ็บหรือว่าเกิดเรื่องขึ้นมา ทีมจะสูญเสียอย่างใหญ่หลวงมาก ฉันคิดว่าไม่เหมาะนะ” เซี่ยอี๋เป็นคนแรกที่ยื่นคำคัดค้าน พวกเขาได้รับบาดเจ็บยังมีหลี่ซื่ออวี๋ช่วยรักษา ถ้าเกิดหลี่ซื่ออวี๋ได้รับบาดเจ็บ พวกเขาก็หมดหนทางแล้ว
คำพูดของเซี่ยอี๋ทำให้คนอื่นๆ พยักหน้าอย่างเงียบเชียบ คิดว่าให้หลี่ซื่ออวี๋ลงมือจัดการคนที่หกไม่ค่อยเหมาะสมนัก ฉางซินหยวนขยับปาก กำลังคิดว่าจะพูดว่าให้เขาจัดการ หลี่ซื่ออวี๋กับเอ่ยประท้วงอย่างเย็นชาว่า “ถึงแม้ฉันเป็นแพทย์ทหาร แต่ทักษะการต่อสู้ของฉันไม่ได้แย่นะ”
ดวงตาทั้งสองข้างของหลี่ซื่ออวี๋ที่เยือกเย็นมาตลอด เวลานี้กลับปล่อยเปลวไฟโทสะออกมา คำพูดของเซี่ยอี๋ทำให้เขาคิดว่าถูกสบประมาท ตอนที่เขาประท้วงนั้น สีหน้าแฝงไปด้วยความหยิ่งผยอง สีหน้านี้ดูคุ้นเคยมาก ตอนที่หลี่อิงเจี๋ยเย่อหยิ่งอวดดีก็แสดงสีหน้าแบบนี้ออกมา นี่ทำให้พวกฉีหลงหันหน้าหนีพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย อดทนมองตรงๆ ไม่ได้ ‘สมกับเป็นคนตระกูลหลี่อย่างที่คิดไว้เลย ลึกๆ แล้วยังคงเป็นคนหยิ่งจองหองจริงๆ ด้วย’
“แค็กๆ อันที่จริงความสามารถในการต่อสู้ของคุณชายซื่ออวี๋ดีมากเลยนะ ตระกูลหลี่ของเราอบรมสั่งสอนทักษะการต่อสู้ของบรรดาผู้สืบทอดอย่างหนักมาตั้งแต่เด็ก จากที่ฉันรู้มา ความสามารถในการต่อสู้ของคุณชายซื่ออวี๋แข็งแกร่งกว่าคุณชายอิงเจี๋ยมาก” หลี่หลานเฟิงยิ้มพลางพูดแทรกทันใด ถึงแม้สีหน้านั้นดูจริงใจอย่างหาใดเปรียบ ราวกับกำลังอธิบายอะไรบางอย่างเพื่อหลี่ซื่ออวี๋ แต่หลิงหลานยังคงรู้สึกได้ถึงร่องรอยความไม่เข้ากันเลยอดขนลุกไปทั่วทั้งตัวไม่ได้
“ในเมื่อพวกเราเป็นคนทีมเดียวกัน ต่อไปก็เรียกฉันว่าซื่ออวี๋เถอะ” หลี่ซื่ออวี๋มองหลี่หลานเฟิงด้วยความซาบซึ้งใจ หลังจากนั้นก็เอ่ยกับหลี่หลานเฟิงอย่างจริงจัง ความจริงแล้วหลี่ซื่ออวี๋รู้สึกต่อต้านกับคำเรียกขานว่า ‘คุณชาย’ มากๆ เพียงแต่ตอนที่อยู่ในโรงเรียนทหารก่อนหน้านี้ เขาไม่สามารถปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาได้ ถึงอย่างไรนี่ก็เกี่ยวพันถึงเกียรติยศตำแหน่งเชื้อสายตรงของตระกูลหลี่ ทว่าในเมื่อตอนนี้กลายเป็นเพื่อนร่วมหน่วยรบ หลี่ซื่ออวี๋คิดว่าไม่ควรเรียกขานแบบนี้อีกต่อไป
หลี่หลานเฟิงได้ยินคำกล่าวก็ยิ้มขึ้นมา เขาผงกศีรษะกล่าวว่า “งั้นก็ได้ ซื่ออวี๋”
ตอนที่เอ่ยคำพูดนี้ หลิงหลานจับสังเกตได้อย่างเร็วไวว่าหลี่หลานเฟิงอารมณ์ดีมาก
เมื่อเห็นหลี่ซื่ออวี๋ขออาสาไปต่อสู้อย่างสุดใจโดยที่มีคำพูดของหลี่หลานเฟิงช่วยเหลือ พวกฉีหลงก็ยากจะเอ่ยปฏิเสธเหมือนกัน ดังนั้นเลยมองไปทางหลิงหลาน รอคอยการตัดสินใจสุดท้ายของลูกพี่ตน
หลิงหลานเห็นดังนั้นก็พยักหน้ากล่าวว่า “ในเมื่อรุ่นพี่ซื่ออวี๋มั่นใจ งั้นก็ตกลงตามนี้” สีหน้าของเธอพลันเคร่งขรึมขึ้นมา “ฉีหลง ลั่วล่าง เซี่ยอี๋ หานจี้จวิน หลินจงชิง หลี่ซื่ออวี๋ ฉันมอบหกคนตรงหน้าให้พวกนายจัดการ จะต้องทำภารกิจสำเร็จให้ได้”
“ได้ ลูกพี่!” “ได้ หัวหน้า!” ถึงแม้คำตอบแตกต่างกันเล็กน้อย ทว่าตอบรับพร้อมกัน จนถึงตอนนี้หลี่ซื่ออวี่ยังไม่สามารถเรียกหลิงหลานว่าลูกพี่ได้เหมือนกับฉีหลง
————————-