I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 182 ฉันอยากแข็งแกร่ง
การกระทำเหล่านี้ดึงดูดการคัดค้านอย่างรุนแรงจากฝ่ายวิชาการล้วนของสถาบันลูกเสือ พวกเขาคิดว่าวิธีการเช่นนี้ของกองทัพเป็นการเอาความปลอดภัยของนักเรียนพวกเขามาล้อเล่นชัดๆ ถึงแม้ว่าสหพันธรัฐจะประกาศสู่สาธารณะว่าการสะกดจิตไม่มีผลเสียต่อร่างกายมนุษย์ ประชาชนทั่วไปก็เชื่อว่าเป็นจริง แต่อาจารย์อาวุโสในสถาบันลูกเสือต่างรู้ดีว่า ความจริงแล้วการสะกดจิตเป็นการโจมตีทางจิตอย่างหนึ่ง ทำให้ร่างจิตของผู้ที่ถูกสะกดจิตปรากฏรูรั่วและรอยแยกในระดับหนึ่ง นี่จะส่งผลต่อการพัฒนาของพวกเด็กๆ ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักเรียนที่อยากจะกลายเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบรวมไปถึงต้นหนยานอวกาศต้องหลีกเลี่ยงเรื่องความเสียหายทางจิตนี้
เดิมทีสถาบันศูนย์กลางลูกเสือก็เป็นแหล่งรวบรวมนักเรียนโดดเด่นเกือบทั้งสามระดับชั้นของสหพันธรัฐ อนาคตของเด็กข้างในต่างก็มีความเป็นไปได้ว่าจะกลายเป็นทหารที่ยอดเยี่ยม การสูญเสียไปหนึ่งคนก็คือการสูญเสียต่อสหพันธรัฐ ด้วยเห็นนี้เอง ทางฝ่ายสถาบันลูกเสือที่มีผู้อำนวยการเยี่ยอีฝานเป็นผู้นำจึงทำการตัดสินใจไล่เจ้าหน้าที่ควบคุมตรวจสอบที่ประจำการอยู่ในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือออกไป พวกเขาจำเป็นต้องปกป้องนักเรียนของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น มิติมรดกของหลิงเซียวก็หายไปแล้ว เดิมทีเจ้าหน้าที่ควบคุมตรวจสอบเหล่านี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ในสถาบันศูนย์กลางลูกเสืออีกต่อไปแล้วด้วย
ถึงแม้ว่าระดับสูงของทางกองทัพบางคนไม่อยากยอมแพ้เรื่องมรดกของหลิงเซียวไว้เพียงเท่านี้ แต่ระดับสูงทางกองทัพของฝ่ายสถาบันลูกเสือกลับสนับสนุนการตัดสินใจของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ กอปรกับจอมพลสูงสุดเองก็ยืนอยู่ข้างสถาบันศูนย์กลางลูกเสืออย่างรำไรเช่นกัน ทำให้พวกเขาได้แต่ตกลงถอนหน่วยควบคุมตรวจสอบที่คุ้มครองมรดกของหลิงเซียวกลับมา
ความจริงแล้ว สิ่งที่ทำให้สถาบันศูนย์กลางลูกเสือเกิดการคัดค้านอย่างรุนแรงเช่นนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะว่าระดับสูงของหน่วยควบคุมตรวจสอบสงสัยหลิงหลานอย่างไม่มีเหตุผล เรียกร้องกับทางสถาบันว่าต้องการสอบถามหลิงหลาน นี่จึงทำให้มู่สุ่ยชิงที่คุ้มครองหลิงหลานมาตลอดเกิดโมโหขึ้นมา และก็ทำให้เยี่ยอีฝานที่เป็นผู้อำนวยการสถาบันศูนย์กลางลูกเสือโกรธเกรี้ยวเช่นกัน
ควรรู้ไว้ว่า หลายเดือนมานี้หลิงหลานนอนรักษาตัวอยู่ในแคปซูลรักษามาโดยตลอด ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะล็อกอินเข้าสู่โลกเสมือนจริงเลย ทางกองทัพยืนคำขอที่เหลวไหลแบบนี้โดยที่ยังนำหลักฐานชัดเจนออกมาไม่ได้ นี่จึงทำให้บรรดาอาจารย์ฝ่ายวิชาการล้วนของสถาบันลูกเสือรู้สึกเดือดดาลอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
โดยเฉพาะเมื่อทางสถาบันตรวจพบว่า อาจารย์ตัวปลอมที่ลอบสังหารหลิงหลานเกิดจากความผิดโดยประมาทของหน่วยควบคุมตรวจสอบ หลังจากที่บางทีมกลับมาจากการออกไปข้างนอก พวกเขาก็ถูกลอบสังหารและสลับแทนที่…และหน่วยควบคุมตรวจสอบไม่ได้สังเกตเห็นปัญหาเรื่องนี้ในทันที จึงถูกอีกฝ่ายแอบลอบเข้ามาในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือจนมีโอกาสลอบสังหารได้สำเร็จ
เนื่องจากการประมาทเลินเล่อของอีกฝ่ายทำให้นักเรียนของพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วยังคิดจะกำเริบเสิบสานทำลายอนาคตของนักเรียนพวกเขาอีกเหรอ? เห็นสถาบันศูนย์กลางลูกเสือของพวกเขาเป็นแมวทอม[1]จริงๆ หรือไง? ที่อยากจะรังแกยังไงก็รังแกอย่างนั้น? สถาบันศูนย์กลางลูกเสือโมโห ไม่ไว้หน้ากองทัพอีกต่อไป พวกเขาโยนจดหมายแจ้งขับไล่ให้หน่วยควบคุมตรวจสอบทันที การแข็งกร้าวเช่นนี้ทำให้หน่วยควบคุมตรวจสอบที่รู้เรื่องพ้นจากขอบเขตการควบคุมของพวกเขา ถึงแม้ว่าจะพยายามกอบกู้สถานการณ์อย่างสุดความสามารถแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
ควรพูดว่าหน่วยควบคุมตรวจสอบกระทำเรื่องโง่เขลาที่ใหญ่มาก ข้อเสนอนี้ไม่เพียงทำให้สถาบันศูนย์กลางลูกเสือเดือดดาลสุดขีด กระทั่งระดับสูงของฝ่ายสถาบันลูกเสือภายในกองทัพก็โมโหมากๆ เช่นกัน ถึงขนาดที่จอมพลสูงสุดของสหพันธรัฐก็ไม่พอใจพวกเขาอย่างยิ่งยวด
สุดท้ายหน่วยควบคุมตรวจสอบที่ไม่มีวิธีการใดๆ ในการกอบกู้สถาการณ์นี้ ก็ได้แต่ถอนกำลังออกจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือด้วยความผิดหวัง ส่วนเยี่ยอีฝานก็ฉวยโอกาสนี้ไล่อาจารย์ในสถาบันที่ไม่ใช่ฝ่ายสถาบันล้วนๆ ออกไปแทบทั้งหมด เหลือไว้เพียงส่วนน้อยที่ในมือมีความสามารถจริงๆ และไม่ส่งผลกระทบต่อบรรดาอาจารย์ที่บริสุทธิ์ของสถาบัน ผ่านพ้นความวุ่นวายของสถาบันในครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย…
แน่นอนว่าพวกนักเรียนไม่รู้เรื่องการเคลื่อนไหวชุดนี้เลย พวกเขารู้สึกได้เพียงอาจารย์ที่พวกเขาคุ้นหน้าคุ้นตาบางคนหายตัวไปแล้ว และเพิ่มอาจารย์แปลกหน้าบางคนขึ้นมา แต่เนื่องจากทุกปีต่างมีอาจารย์หน้าใหม่ปรากฏตัวขึ้นมา พวกเขาจึงไม่รู้สึกแปลก
อย่างไรก็ตาม ทางกองทัพต้องให้คำตัดสินสุดท้ายเกี่ยวกับการหายไปของมิติมรดกหลิงเซียว ในที่สุดทางกองทัพก็เลือกความเป็นไปได้สุดท้าย นั่นก็คือในตอนที่หลิงเซียวตั้งค่ามิติมรดกแห่งนี้ไว้นั้น เขาได้กำหนดเส้นตายเวลาสุดท้ายไว้ ไม่ว่าจะมีคนได้รับมรดกของเขาหรือไม่ ขอเพียงถึงเวลา มิติก็จะทำลายตัวเอง
การคาดการณ์นี้เหมาะสมและชอบธรรม ได้รับการเห็นชอบจากระดับสูงส่วนใหญ่ ถึงแม้ว่ามีระดับสูงส่วนน้อยมากๆ ที่คิดว่าจะต้องมีคนได้รับมรดกของหลิงเซียวไปแล้วแน่นอน เพียงแต่พวกเขาไม่เจอเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขารู้ว่าจอมพลสูงสุดของสหพันธรัฐอนุมัติคำตัดสินที่ทางกองทัพยื่นเสนอมา ก็รู้ว่าแนวโน้มของสถานการณ์ได้แล้วเลยได้แต่ยอมแพ้เรื่องการสืบสวนต่อด้วยความเสียใจ ไม่มีคนกล้าซักไซ้ไล่เลียงการตัดสินใจของจอมพล ดังนั้นเรื่องการหายไปของมิติมรดกหลิงเซียวจึงจบลงอย่างสงบเช่นนี้เอง กลายเป็นปริศนาที่ทางกองทัพไม่สามารถแก้ได้โดยสิ้นเชิง
ในที่สุดเรื่องการหายไปของมิติมรดกหลิงเซียวก็สงบลงไปตามกาลเวลา หลิงหลานที่พักรักษาตัวติดต่อกันได้หนึ่งเดือนกว่า สภาพการฟื้นฟูของร่างกายก็ดีมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหลานลั่วเฟิ่งรู้ว่าหลิงหลานสามารถออกจากแคปซูลรักษามาเดินได้รอบหนึ่งก็ตัดสินใจจัดเก็บของให้เรียบร้อย อีกสามวันให้หลังจะกลับคฤหาสน์ตระกูลหลิง
ในสามวันมานี้ หลานลั่วเฟิ่งยุ่งมากๆ เธอยื่นคำขอให้กับทางสถาบันเพื่อดำเนินขั้นตอนการหยุดเรียนของหลิงหลาน นี่เป็นการขัดต่อข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องของสหพันธรัฐ แต่เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์พิเศษที่ร่างกายหลิงหลานได้รับบาดเจ็บจนจำเป็นต้องพักรักษา รวมไปถึงมู่สุ่ยชิงสร้างแรงกดดันอยู่ข้างๆ เยี่ยอีฝานแล้ว หลังจากที่ได้คำมั่นสัญญาว่าจะให้หลิงหลานกลับมาที่สถาบันเพื่อทำการประเมินผลสุดท้ายให้เสร็จในอีกสามปีให้หลังเพื่อที่จะได้สมัครเข้าโรงเรียนทหารหรือว่าสถาบันเฉพาะทางอื่นๆ ทางสถาบันจึงอนุมัติคำขอหยุดเรียนของหลิงหลาน
ความจริงแล้วเรื่องที่หลิงหลานถูกลอบสังหารในตอนที่ต่อสู้ประจัญบานนั้นได้ถูกแพร่กระจายออกไปทั่วทั้งสถาบันหลังจากการต่อสู้ประจัญบาน โดยเฉพาะปีเจ็ด เมื่อพวกเขารู้ว่าหลิงหลานจัดการอันดับหนึ่งของปีสิบได้สำเร็จแล้วก็เจอมือสังหารที่ประเทศศัตรูส่งมาลอบสังหาร ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์ของสถาบันมาถึงทันเวลา มีความเป็นไปได้สูงว่าหลิงหลานจะถูกอีกฝ่ายจัดการได้สำเร็จแล้ว นี่ทำให้นักเรียนปีเจ็ดทั้งหมดโกรธแค้นสุดขีด เพราะพวกเขารู้ดีว่า ถ้าไม่ใช่เพราะหลิงหลานจัดการอันดับหนึ่งของปีสิบทันที มีความเป็นไปได้สูงว่าสุดท้ายฝ่ายที่ได้รับชัยชนะในการต่อสู้ประจัญบานครั้งนี้ก็คือปีสิบ…
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้แบบนี้ นักเรียนปีเจ็ดก็ยิ่งเกลียดชังพวกประเทศที่เป็นศัตรูกับสหพันธรัฐมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะพวกฉีหลงที่ปรารถนาจะหามือสังหารคนนั้นได้ตัวเอง และฉีกร่างมันเป็นหมื่นชิ้น
หลานลั่วเฟิ่งรู้ว่าความจริงคืออะไร แต่ก็รู้เหมือนกันว่านี่คือการเมือง จำเป็นต้องมีคำโกหกบางอย่างอยู่และจำเป็นต้องฝังความจริงบางอย่างเอาไว้เพื่อความสามัคคี เพื่อความมั่นคงและก็เพื่อกระตุ้นความรักชาติของเหล่านักเรียน หลานลั่วเฟิ่งไม่คิดจะตั้งตนเป็นศัตรูกับเครื่องจักรของประเทศ ขอเพียงพวกเขาสามารถให้คำอธิบายที่เธอพึงพอใจได้ เธอก็ไม่สนใจเรื่องราวที่ไม่สำคัญเหล่านี้เลย ดังนั้นเธอจึงเลือกมองข้ามไป
พวกฉีหลงกังวลเรื่องร่างกายของหลิงหลานอย่างยิ่งยวด พวกเขาเข้ามาเยี่ยมหลิงหลานตลอดในตอนที่หลิงหลานหมดสติ และก็รู้ว่าความเสียหายของร่างกายหลิงหลานร้ายแรงมาก จำเป็นต้องพักรักษาที่บ้านเป็นเวลานาน ไม่สามารถเข้าเรียนในสถาบันลูกเสือต่อได้ ข่าวนี้ทำให้ในใจพวกเขาโศกเศร้าไม่หยุด โดยเฉพาะฉีหลงที่รู้ข่าวนี้แล้ว ก็ไปเคี่ยวกรำตัวเองในห้องประลองคนเดียว ท้ายที่สุดก็ยังคงเป็นหานจี้จวินที่กล่อมให้เขาออกมา
อย่างไรก็ตาม คนอื่นๆ ในทีมหลิงหลานยังคงสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของฉีหลง ถึงแม้ว่าเขายังคงมีท่าทีตรงไปตรงมาเหมือนกับเมื่อก่อน แต่ว่าในร่างกายดูเหมือนกับมีภูเขาไฟที่คุกรุ่นอยู่ภายใน ถึงแม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนเป็นปกติทุกอย่าง แต่ไม่มีใครรู้เหมือนกันว่าเขาจะระเบิดขึ้นมาในเวลาไหน….
หานจี้จวินรู้สึกกึ่งยินดีและกึ่งเศร้าเสียใจกับสภาพเช่นนี้ของฉีหลง เขายินดีที่ฉีหลงเปลี่ยนเป็นมีนิสัยเชิงรุกมากขึ้น ก้าวร้าวมากขึ้นเพราะเรื่องของลูกพี่หลาน แต่สิ่งที่เขากังวลก็คือ เขากลัวว่าฉีหลงจะแบกรับแรงกดดันที่ให้กับตัวเองไม่ไหว จนสุดท้ายก็พังทลายไปโดยสิ้นเชิง….
หานจี้จวินลอบกำหมัดแน่น บอกตัวเองว่าเขาต้องพยายามแล้ว เขาจะให้ฉีหลงเดินไปยังหนทางพังทลายไม่ได้เด็ดขาด เขาจะชี้หนทางให้ฉีหลงในตอนที่อีกฝ่ายสับสน…
…………
เมื่อข่าวยืนยันเรื่องการหยุดเรียนของหลิงหลานแพร่ออกมา กลุ่มของฉีหลงประกอบด้วยหานซู่หย่า ลั่วเฉารวมไปถึงสมาชิกทีม 072 ดั้งเดิมต่างพากันรีบมา พวกเขามาบอกลาหลิงหลานเป็นครั้งสุดท้าย
ทุกคนมาถึงตรงหน้าหลิงหลานด้วยความรู้สึกที่ยังอาลัยอาวรณ์ เวลานี้หลิงหลานกำลังนั่งพักอยู่บนเก้าอี้รถเข็นอัตโนมัติไฮเทคตัวหนึ่ง เมื่อเธอเห็นทุกคนมาอำลาเธอ ในใจก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่งยวด
อย่างไรก็ตาม เมื่อหลิงหลานเห็นท่าทีของฉีหลง คิ้วเธอก็ขมวดน้อยๆ เธอเป็นคนช่างสังเกตย่อมสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของฉีหลง
“ฉีหลง นายเข้ามา” เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของฉีหลง หลิงหลานก็อารมณ์เสียทันที เธอให้ฉีหลงยืนอยู่ตรงหน้าเธอด้วยสายตาเย็นเยียบ
ฉีหลงเดินมาถึงเบื้องหน้าหลิงหลานด้วยความตื่นเต้น รอคอยคำสั่งของลูกพี่ ทว่าหลิงหลานไม่ได้พูดอะไร เธอดีดนิ้วขึ้นมาฉับพลัน ลูกแก้วน้ำแข็งก็โจมตีใส่หน้าผากของเขาอย่างแรง ทำให้ศีรษะของฉีหลงเอนไปข้างหลังอย่างควบคุมไม่ได้
ฉีหลงเจ็บจนแยกเขี้ยวออกมา มือขวาพลันกดที่หน้าผากของตัวเองและนวดอย่างบ้าคลั่ง ปากก็ตะโกนว่า “ลูกพี่ นายดีดใส่ฉันทำไม?”
ลูกแก้วน้ำแข็งของหลิงหลานลูกนี้ได้ทิ้งรอยสีแดงก่ำไว้บนหน้าผากของฉีหลง เห็นได้ว่าตอนนั้นหลิงหลานไม่ได้ออมมือเลย “พอเห็นท่าทีของนายแบบนี้ ฉันก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ อยากอัดนายเป็นพิเศษ”
ฉีหลงเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ทำไมล่ะ ลูกพี่? ฉันก็ดีอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“ดีอยู่? ท่าทีโกรธแค้นของนายคืออะไรล่ะ?” หลิงหลานกล่าวพลางแค่นเสียงเย็น หลิงหลานสัมผัสถึงโทสะที่ฉีหลงไม่สามารถระบายออกมาได้ทั้งหมด
ฉีหลงเงียบไป สองมือที่ห้อยลงต่ำของเขากำหมัดแน่น หลังมือปรากฏเส้นเลือดดำ ถึงขนาดที่ไม่รู้สึกเลยว่าเล็บทิ้งรอยลึกไว้ในฝ่ามือ หรือเขาต้องบอกลูกพี่หลานว่า ตอนนี้เขาเจ็บแค้นที่ตัวเองไร้ความสามารถอย่างหาที่เปรียบไม่ได้….ถ้าความสามารถของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้อีกสักนิด ลูกพี่หลานก็ไม่ต้องต่อสู้คนเดียวแล้ว
ฉีหลงรู้ว่า ต่อให้ฟังก์ชั่นการสื่อสารของอุปกรณ์สื่อสารถูกล็อกทั้งหมดในช่วงการต่อสู้ประจัญบาน แต่ลูกพี่หลานสามารถเมินข้อจำกัดของกฎระเบียบพวกนี้ได้ เขาสามารถแจ้งพวกเขาทั้งหมด แต่ตอนที่ลูกพี่หลานอยู่ในอาการร่อแร่ถึงแก่ชีวิตก็เลือกที่จะไม่บอกพวกเขา หากแต่ต่อสู้เพียงคนเดียว เขารู้ว่านี่เป็นเพราะหลิงหลานไม่อยากนำอันตรายมาสู่พวกเขา แต่จากมุมมองอีกทางด้านหนึ่งก็ยืนยันได้ว่าความสามารถของพวกเขาด้อยมากเกินไปจริงๆ ไม่ได้สามารถช่วยหลิงหลานได้เลย…
‘ผัวะ’ อาวุธรูปร่างกระบองที่เย็นเยียบเคาะใส่หลังมือของฉีหลงทันที ทิ้งรอยแดงไว้เป็นทาง “ทำอะไรเนี่ย? ทำร้ายตัวเอง? ฉันไม่มีลูกน้องขี้ตื่นขนาดนี้” ในมือหลิงหลานกุมกระบองน้ำแข็งที่หลอมออกมาท่อนหนึ่ง กล่าวด้วยใบหน้าเย็นเยียบ
คำพูดของหลิงหลานทำให้อารมณ์ของฉีหลงปั่นป่วนสุดขีด หน้าอกกระเพื่อมอย่างรุนแรงหลายที ปากก็โพล่งออกมาว่า “ลูกพี่ ฉันอยากแข็งแกร่ง!”
หลิงหลานเลิกคิ้ว “เพราะอะไร?”
“ฉันไม่อยากยืนอยู่ข้างหลังนายอีกแล้ว ไม่อยากเห็นลูกพี่ได้รับบาดเจ็บแต่ว่าไม่มีกำลังช่วยเหลือ ความรู้สึกนี้มันแย่มาก…” ฉีหลงกล่าวพึมพำเสียงเบา กำปั้นของเขากุมแน่นขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็พลันเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยเสียงที่ดังลั่นว่า “ดังนั้น ฉันอยากจะแข็งแกร่งมากพอ! ฉันอยากจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับลูกพี่ กลายเป็นแขนซ้ายแขนขวาของลูกพี่ เป็นพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกันจริงๆ…”
………………………………………………..
[1] จากในเรื่องทอมแอนด์เจอร์รี่