I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 203 ไปส่ง
ในฐานะที่โดฮาเป็นศูนย์กลางของสหพันธรัฐ ท่าอวกาศระหว่างดวงดาวของมันก็เป็นหนึ่งในท่าที่ใหญ่และหรูหราที่สุดในหมู่ดวงดาวทั้งหมดของสหพันธรัฐ ท่าอวกาศถูกสร้างอยู่บริเวณนอกดวงดาว พื้นที่ในนั้นมีขนาดเท่าเมืองหนึ่งของดาว และเจ้าหน้าที่ของท่าอวกาศต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองท่าอวกาศ นอกจากแรงโน้มถ่วงที่แตกต่างจากดวงดาวนิดหน่อยแล้ว ของอย่างอื่นต่างก็ไม่ทำให้คนรู้สึกถึงความแตกต่างเลย
สิ่งที่เชื่อมท่าอวกาศกับแผ่นดินคือรถไฟจรวดขบวนพิเศษ ศูนย์กลางของท่าอวกาศก็คือชานชาลาของรถไฟขบวนพิเศษ มันรับรถไฟจรวดขบวนพิเศษของเมืองต่างๆ ที่มาจากแผ่นดิน พูดได้ว่าสถานที่เจริญรุ่งเรื่องที่สุด คึกคักที่สุด และมีผ็คนหลั่งไหลมามากที่สุดก็คือที่นี่ ต่อให้เป็นช่วงเวลาปกติ มันก็ต้องรองรับผู้คนหลายล้านคนทุกวัน
และวันนี้ก็เป็นหนึ่งวันที่ท่าอวกาศคึกคักมากที่สุด เนื่องจากช่วงเวลาลงทะเบียนหนึ่งครั้งต่อปีของโรงเรียนทหารรวมทั้งโรงเรียนชื่อดังแห่งใหญ่ๆ ต่างอยู่ในวันนี้ นักเรียนทุกคนที่ลงทะเบียนในวันนี้ต่างรีบมาที่ท่าอวกาศด้วยกันกับครอบครัว ทำให้ทั่วทั้งพื้นที่เปลี่ยนเป็นเสียงดังจ้อกแจ้ก และก็ร่ำลากันด้วยความอาลัยอาวรณ์
ในฐานะที่โดฮาเป็นดาวศูนย์กลางของสหพันธรัฐ ท่าอวกาศจึงมีขนนาดใหญ่โตมโหฬาร มันครอบครองหอคอยการบินหลายหมื่นแห่งเพื่อให้ยานบินจอดเทียบท่า ยานบินส่วนตัวของโรงเรียนทหารขนาดใหญ่ต่างๆ รวมทั้งโรงเรียนชื่อดังอื่นๆ ที่มารับนักเรียนเข้าโรงเรียนโดยเฉพาะได้มาจอดเทียบท่าต่างๆ แล้ว พวกเขากำลังรอคอยเหล่านักเรียนแสดงจดหมายตอบรับเข้าศึกษาเพื่อเป็นหลักฐานไปข้างใน
แน่นอนว่ายานบินเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในเขต X Y Z แน่นอน เนื่องจากสามเขตนั้นเป็นพื้นที่สำคัญทางการทหาร ให้ยานรบต่อสู้เทียบจอดเท่านั้น ยานบินทั่วไปจะถูกจำกัดการเข้า
ในเวลานี้เอง เด็กหนุ่มหลายคนกำลังรวมกลุ่มกันที่มุมหนึ่งของห้องโถงชานชาลารถไฟขบวนพิเศษ เด็กหนุ่มหนึ่งในนั้นคุกเข่าอยู่บนพื้น สองมือถือซาลาเปาลูกใหญ่ไว้ข้างละลูก ในปากยังคงคาบไส้กรอกชิ้นหนึ่งและเคี้ยวมันอย่างตะกละตะกลามราวกับว่ารอบข้างไม่มีคนอยู่ เขาไม่รักษาภาพลักษณ์เลยสักนิดทำให้เด็กหนุ่มเด็กสาวรวมถึงบรรดาผู้ปกครองที่เดินผ่านข้างๆ ตัวเขาอดนิ่วหน้าไม่ได้
“เซี่ยอี๋ นายรักษาภาพลักษณ์หน่อยได้ไหม?” เด็กหนุ่มที่มีรูปลักษณ์ราวหญิงสาวบริสุทธิ์ที่ยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาเห็นแบบนี้ก็อดขมวดคิ้วเอ่ยออกมาไม่ได้
“ลั่วล่าง ฉันหิวนี่นา…” เซี่ยอี๋ที่หาช่องว่างพูดคุยจากการทานอาหารได้อย่างยากลำบากก็ฝืนเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมาในที่สุด คนกลุ่มนี้ก็คือทีมฉีหลงที่นัดมาลงทะเบียนด้วยกันนี่เอง
“ตอนนายออกมาไม่ได้ทานข้าวเช้าหรือไง?” สองตาของลั่วล่างจ้องมองเซี่ยอี๋ด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง ให้ตายสิ ใกล้จะสิบโมงแล้ว หมอนี่ตื่นนอนกี่โมงกันแน่?
เซี่ยอี๋กัดซาลาเปาสองคำใหญ่จากในมือทั้งสองข้าง ซาลาเปาลูกใหญ่ในมือก็หายไปเช่นนี้เอง เขาเคี้ยวไม่กี่ทีก็กลืนมันลงไปทันที อย่างไรก็ตาม วิธีการสวาปามอาหารที่หวังเพียงความเร็วไม่ได้หวังคุณภาพแบบนี้ได้มอบบทเรียนให้เซี่ยอี๋ทันใด เขาที่หล่อเหลาองอาจงดงามหาใครเทียมถูกซาลาเปาติดคอแล้ว….
เซี่ยอี๋ทุบหน้าอกอย่างสุดชีวิต หลินจงชิงที่อยู่อีกด้านเห็นว่าท่าไม่ดีแล้วก็รีบดึงขวดน้ำออกมาจากกระเป๋าเป้ ก่อนจะเปิดฝาขวดแล้วส่งให้เซี่ยอี๋
เซี่ยอี๋หยิบขวดน้ำขึ้นมากรอกใส่ปาก ในที่สุดก็พักหายใจ “เชี่ย อันตรายเกินไปแล้ว เมื่อตะกี้นี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะถูกซาลาเปาติดคอตายแล้ว!” เขากล่าวจบก็ตบหน้าอกตัวเองเบาๆ อีกครั้งด้วยความนึกกลัว ลอบยินดีในความโชคดีของตัวเอง
“ใครใช้ให้นายกินเร็วขนาดนั้นล่ะ เหมือนชาตินี้ไม่เคยกินข้าวอย่างนั้นแหละ” สองตาของลั่วล่างมองค้อนไปที่เซี่ยอี ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
เซี่ยอี๋เอ่ยพึมพำเสียงค่อยว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะอยากตอบคำถามนาย ฉันจะกินเร็วขนาดนี้เหรอ?”
“คำถามอะไร?” ลั่วล่างอึ้งไป จากนั้นก็พลันตระหนักขึ้นมาได้แล้วเอ่ยว่า “ประโยคที่ว่าไม่ได้ทานข้าวเช้าเมื่อตะกี้นี้เนี่ยนะ?” นี่ต้องตอบด้วยเหรอ? ท่าทีตะกละตะกลามแบบนี้ก็รู้แล้วว่าเขาไม่ได้ทานอาหารเช้าแน่นอน
“แหะๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อคืนตื่นเต้นมากเกินไปจนนอนดึก วันนี้ก็เลยนอนตื่นสาย เพราะงั้นก็เลยไม่มีเวลากินข้าวเช้าไงล่ะ…” เซี่ยอี๋ไม่มีความอับอายอะไรเลย เขาบอกสาเหตุที่ตัวเองไม่ได้ทานอาหารเช้าโดยไม่อย่างตรงไปตรงมา
“ตื่นเต้นอะไรกัน แค่ไปโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเองไม่ใช่เหรอ?” ลั่วล่างกลอกตาฉับพลันอย่างไม่สบอารมณ์ ดวงหน้าเต็มไปด้วยความดูถูก
กระทั่งการผจญภัยระหว่างดวงดาวก็ผ่านมาแล้ว ลั่วล่างที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่โตแล้วเลยรู้สึกเฉยชากับการเข้าไปเรียนที่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งอย่างยิ่ง ความจริงแล้วในใจลั่วล่างก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน เพียงแต่เขาไม่ได้ทำเกินจริงเหมือนเซี่ยอี๋เท่านั้น แน่นอนว่าไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้อยู่แล้ว
การเหยียดหยามของลั่วล่างทำให้เซี่ยอี๋อดร้อง ‘ชิ’ ออกมาไม่ได้ “ฉันไม่ได้ตื่นเต้นเพราะเรื่องนี้สักหน่อย…” เขาเงยหน้ามองไปที่ฉีหลง สีหน้ายากจะปกปิดความตื่นเต้นไว้ “เมื่อคืนหัวหน้าบอกไว้ไม่ใช่เหรอว่า วันนี้ลูกพี่หลานจะมาส่งพวกเราที่นี่…เอาเถอะ ฉันตื่นเต้นจริงๆ นั่นแหละ”
นับตั้งแต่ที่เขาเจอหลิงหลานบนสถานที่ทำการประเมินเมื่อสองเดือนก่อน เขาก็ค้นหาคำตอบของเขามาตลอด ในที่สุดเขาก็รู้สึกว่าเขาหาตำแหน่งของตัวเองเจอในระหว่างการผจญภัย เพียงแต่พวกเขาไม่มีโอกาสเจอหลิงหลาน เขาก็เลยไม่สามารถบอกคำตอบที่เขาหาเจอให้หลิงหลานฟัง
ถึงแม้ว่าพวกฉีหลงจะทำการติดต่อหลิงหลานผ่านทางการติดต่อเสมือนจริงในระหว่างการผจญภัยอยู่บ่อยๆ แต่ตอนนั้นเซี่ยอี๋มีความรู้สึกว่าเขาถูกไล่ออกไปอยู่ด้านนอก ถึงแม้หลิงหลานในหน้าจอจะพยักหน้าทักทายให้เขา ไม่ได้เมินเฉยเขา แต่เขาก็รู้สึกว่าขอเพียงหลิงหลานปรากฏตัว เขาก็จะถูกเพื่อนๆ ข้างกายไม่สนใจใยดีโดยไม่รู้ตัว…
สิ่งที่ทำให้เขากลุ้มใจมากกว่านั้นก็คือ มีหลายครั้งที่เขาอยากบอกคำตอบของเขาให้หลิงหลานที่อยู่ในหน้าจอฟัง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับดวงหน้าเคร่งขรึมเย็นชารวมถึงดวงตาเย็นเยียบทว่าเฉียบคมสามารถมองเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งของหลิงหลาน เขาก็พูดไม่ออก
เซี่ยอี๋จำเป็นต้องยอมรับว่าในใจเขามีความรู้สึกประหม่าต่อหลิงหลานอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้สำหรับเรื่องนี้ ทำให้เขาไม่กล้าหุนหันเอ่ยปากตามใจชอบ อย่างไรก็ตาม การเจอหน้ากันในวันนี้คือโอกาสดี เขาไม่มีทางถอยอีก เขาจะต้องบอกหลิงหลานให้ได้ว่าคำตอบของเขาคืออะไร
คำพูดของเซี่ยอี๋ทำให้สีหน้าของลั่วล่างเคร่งขรึมขึ้นมาทันที ขอเพียงเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับหลิงหลาน ท่าทีของลั่วล่างจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังโดยสิ้นเชิง ในความคิดเขา หลิงหลานเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกันเพียงคนเดียวที่เขาเลื่อมใส เป็นลูกพี่ที่ไม่อาจล่วงเกินได้
ใช่แล้ว เขาไม่ยอมจำนนต่ออู๋จย่งที่มีชื่ออยู่อันดับสอง ไม่ยอมจำนนต่อหลี่อิงเจี๋ยที่ช่วงชิงตำแหน่งอันดับสามขึ้นๆ ลงๆ กับเขาเสมอมา และก็ไม่ยอมจำนนต่อฉีหลงที่อยู่อันดับหนึ่งและเป็นหัวหน้าทีมตัวเองด้วย ทว่าเขาไม่อาจไม่ยอมจำนนต่อหลิงหลานที่แข็งแกร่งทรงพลัง ทำให้เขารู้สึกมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าลึกล้ำจนไม่อาจหยั่งถึงมาโดยตลอด
นี่เป็นความเลื่อมใสและเคารพยำเกรงอย่างไร้เสียงที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่เด็กๆ ความเคารพนับถือเช่นนี้สูงมากขึ้นเรื่อยๆ ตามการเพิ่มขึ้นของอายุ สุดท้ายก็มาถึงขั้นไม่อาจเอาออกไปได้ พูดอีกอย่างก็คือ ชาตินี้ลั่วล่างยอมจำนนให้กับคนผู้เดียว ยอมรับลูกพี่แค่คนเดียวเท่านั้น เขาก็คือหลิงหลาน
“เซี่ยอี๋พูดถูกแล้ว ฉันได้รับข้อความจากหัวหน้า ก็อึ้งไปเลย เกือบคิดว่าตัวเองหูฝาดไปซะแล้ว….” หลินจงชิงที่อยู่ด้านข้างก็พูดจากใจจริงเช่นกัน
ลูกพี่หลานที่เย็นชาทรงอำนาจในภาพความทรงจำของหลินจงชิงไม่มีทางทำเรื่องมาส่งพวกเขาด้วยความอบอุ่นแบบนี้แน่นอน มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะส่งภาพโฮโลแกรมมาทิ้งคำพูดเอาไว้หนึ่งประโยคด้วยความเย็นชาว่า “ไปแล้วก็อย่าทำให้ฉันขายหน้าล่ะ!” หลังจากนั้นก็ตามต่อด้วยความหล่อเหลายอดเยี่ยมโคตรเท่ต่างๆ นานา แล้วก็ทิ้งเงาหลังที่สูงสง่าอย่างหาใดเปรียบให้พวกเขาจนกระทั่งหายไป….
ดังนั้นเมื่อหลินจงชิงได้ยินข่าวนี้แล้วก็อึ้งไปทันที ไม่รู้ว่าตัวเองวางสายอุปกรณ์สื่อสารกับหัวหน้าฉีหลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาทานอาหารเย็นด้วยความใจลอยแล้วเดินโงนเงนอย่างล่องลอยขึ้นเตียงก่อนจะนอนหลับไปอย่างน่าอัศจรรย์ จนกระทั่งตื่นมาวันที่สอง เขาก็กัดแขนตัวเองแรงๆ ถึงค่อยพบว่าเขาไม่ได้ฟังผิดไปจริงๆ
เวลานี้เอง ฉีหลงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็อดเอ่ยปากพูดไม่ได้เหมือนกัน “อย่าว่าแต่นายเลย ขนาดฉันได้รับวิดีโอคอลของลูกพี่หลาน ฉันก็อึ้งไปเหมือนกัน ความรู้สึกแรกก็คือฉันต้องฝันไปแน่นอน คนที่อยู่ตรงข้ามไม่ใช่ลูกพี่ของฉันเด็ดขาด…”
หานจี้จวินฟังต่อไปไม่ได้แล้ว เขาเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “เอาล่ะ ความเป็นจริงคือ ลูกพี่หลานมาส่งพวกเราจริงๆ นั่นแหละ พวกนายตั้งสติกันหน่อย อย่าให้ลูกพี่ไม่พอใจล่ะ”
สามปีก่อน เนื่องจากปัญหาเรื่องสภาวะของฉีหลงทำให้ลูกพี่หลานที่ไม่พอใจโยนภารกิจลงมาให้ทันที ทำให้พวกเขาทนทุกข์ทรมาน เจ็บปวดจนพูดไม่ออกเพราะเหตุนี้ หานจี้จวินไม่อยากให้ภารกิจสามปีมาอีกครั้งเพราะสภาพย่ำแย่ของพวกเขา เขาจะต้องล้มพับแน่นอน
คำพูดของหานจี้จวินทำให้คนอื่นๆ อดตัวสั่นไม่ได้ ต่อให้เป็นเซี่ยอี๋ที่เดินเหินงุ่มง่ามมีท่าทางซึมเซาก็เปลี่ยนท่าทีในตอนแรกไป ดูสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ภารกิจเมื่อสามปีก่อนนั้นทำให้พวกเขาหวาดกลัวจริงๆ พวกเขาไม่กล้าทดลองง่ายๆ แล้ว
เมื่อเห็นพวกเพื่อนๆ เปลี่ยนมาเป็นดูองอาจห้าวหาญ หานจี้จวินค่อยมองเวลาบนอุปกรณ์สื่อสารที่ข้อมือตัวเองด้วยความพอใจ “อีกสามนาทีก็จะสิบโมงแล้ว ลูกพี่บอกไว้ว่าให้เจอกันที่ห้องโถงของชานชาลาหมายเลขเก้าตอนสิบโมง เชื่อว่าเขาน่าจะกำลังถึงแล้ว”
คนอื่นๆ มองอุปกรณ์สื่อสารของตัวเองตามจิตใต้สำนึกก่อนจะพบว่าหานจี้จวินพูดมาไม่ผิด พวกเขาตื่นตัวขึ้นมา เริ่มรอคอยด้วยความร้อนใจ ทุกคนต่างมองไปยังฝูงชนที่ผ่านไปผ่านมาในห้องโถงของชานชาลาด้วยความปราถรถนา หวังว่าลูกพี่ของตัวเองก็อยู่ในนั้น…
บนที่นั่งเรียงแถวชิดกำแพงด้านหลังพวกเขา คนที่แหงนหน้ากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนที่นั่ง ใช้นิตยสารของสหพันธรัฐที่ออกใหม่วันนี้กางปิดใบหน้าของตัวเองราวกับกำลังนอนหลับอยู่พลันนั่งตัวตรงขึ้นมา
คนผู้นั้นสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมดาสุดขีดไว้ด้านใน ด้านนอกคลุมทับด้วยเสื้อคลุมกันลมสีเขียวทหาร กางเกงสีดำ เข็มขัดกระดุมโลหะ เท้าสวมรองเท้าบู้ททหารสีดำไว้คู่หนึ่ง การแต่งตัวเช่นนี้ย่อมทำให้คนรู้สึกว่าหล่อเหลามีชีวิตชีวา แต่กลิ่นอายของเขากลับธรรมดาเรียบง่ายอย่างยิ่ง เหมือนกับว่าเป็นคนเดินถนนธรรมดาทั่วไป ทำให้คนอดมองข้ามอีกฝ่ายไปไม่ได้….
เขาเอานิตยสารที่คลุมใบหน้าลงช้าๆ เผยให้เห็นดวงหน้างดงามที่เคร่งขรึมเย็นชา เขามองไปยังเด็กหนุ่มหลายคนที่กำลังค้นหาเป้าหมายทางด้านหน้าอย่างใจจดใจจ่อก็อดไม่ไหวยกมุมปากขึ้นน้อยๆ ทำลายความเย็นชาไปในพริบตา ความอบอุ่นปรากฏขึ้นบนตัวเขาจางๆ
เขายัดนิตยสารในมือเข้าไปในกระเป๋าเป้ที่อยู่ด้านข้าง หลังจากนั้นก็สะพายกระเป๋าเป้ไว้ข้างหลังก่อนจะเดินไปที่ด้านหลังพวกฉีหลงช้าๆ เนื่องจากเขาเดินแทบจะไม่มีเสียงฝีเท้า พวกฉีหลงจึงไม่ได้สังเกตเลยว่าด้านหลังพวกเขามีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
“แย่แล้ว!” ฉีหลงพลันจับสังเกตบางอย่างได้ก่อนจะหันศีรษะกลับไปทันที พรสวรรค์สัญชาตญาณสัตว์ป่าของฉีหลงเตือนเขาในช่วงเวลาวิกฤติ
การเคลื่อนไหวผิดปกติของฉีหลงทำให้คนอื่นๆ ตกใจ พวกเขาหันหน้ากลับไปตามการตอบสนอง ลั่วล่างถึงกับทำท่าเตรียมตัวโจมตีทันทีด้วยซ้ำ
“ลูกพี่!” ฉีหลงที่หันหน้ากลัยมาพลันร้องอุทานเสียงหลง “นายมาอยู่ด้านหลังพวกเราได้ยังไง?”
ควรรู้ไว้ว่าสถานที่ที่พวกเขายืนอยู่สามารถจับจ้องฝูงชนทั้งหมดที่เข้าออกชานชาลาหมายเลขเก้าอยู่ในสายตาพวกเขาได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนลอดสายตาของพวกเขาแล้วมาที่ด้านหลังของพวกเขา หรือว่าลูกพี่มีความสามารถเทเลพอร์ตอันน่ามหัศจรรย์? ฉีหลงอดคาดเดาลอยๆ ไม่ได้
………………………