I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 259 สนองคืนสิ่งที่ทำลงไป
ลูกพี่ฮั่วลุกขึ้นมาทันที ตะโกนด้วยความตกใจว่า “เฟิงหมิง หยุดนะ!”
ถังอวี้ที่อยู่บนเวทีประลองหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน เขาขยับร่างทีเดียวก็พุ่งเข้าไปเตรียมพร้อมขัดขวางท่าไม้ตายที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างของเนี่ยเฟิงหมิงนี้ ถ้าหากเกิดการบาดเจ็บล้มตายอย่างหนักหนาสาหัสในการประลองที่เขาดูแลรับผิดชอบขึ้นมา มันก็เป็นการบกพร่องต่อหน้าที่อย่างใหญ่หลวงของเขาแล้ว…
‘ผัวะ’ เสียงหนักอึ้งดังขึ้นจากหมัดที่ชกใส่กายเนื้อ เสียงนี้กระจ่างใสมากอย่างชัดเจน ทุกคนสังเกตเห็นว่ามีคนปรากฏตัวบนเวทีประลองเพิ่มขึ้นหนึ่งคนด้วยความตะตะลึง
เขายืนอยู่ตรงกลางระหว่างเนี่ยเฟิงหมิงกับฉีหลง ฝ่ามือข้างหนึ่งกุมหมัดของเนี่ยเฟิงหมิงไว้อย่างสบายๆ ชายเสื้อที่ยังคงปลิวไสวนั้นยืนยันว่าคนผู้นี้เพิ่งจะมาถึง
กำปั้นถูกฝ่ามือของอีกฝ่ายจับไว้ ความรู้สึกแรกของเนี่ยเฟิงหมิงคือความสามารถของอีกฝ่ายเหมือนทะเลลึกที่หยั่งไม่ถึงก้น เมื่อพลังปะทุที่แฝงอยู่ในหมัดของเขาซัดใส่ฝ่ายตรงข้าม มันกลับเหมือนก้อนหินที่ร่วงลงไปในทะเลแห่งความตาย ไม่มีสะเก็ดน้ำสาดขึ้นมาเลยสักนิดเดียว ราวกับว่าพลังของเขาถูกทะเลลึกไร้ขอบเขตนี้กลืนกินไปจนหมด
ความรู้สึกแบบนี้มาแค่ชั่วแวบเดียวเท่านั้น เนี่ยเฟิงหมิงรู้สึกอีกว่าฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งดุจภูเขา แค่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ทำการตอบโต้กลับอะไร แต่มันกลับทำให้เขาขึ้นหน้าถอยหลังไม่ได้เลย
สิ่งที่ทำให้เนี่ยเฟิงหมิงหวาดกลัวยิ่งกว่าคือ เวลานี้ฝ่ายตรงข้ามปล่อยกลิ่นอายเย็นเยียบสุดขีดออกมา เนี่ยเฟิงหมิงกวาดตามองไปที่ดวงตาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายโดยไม่ระวังก็เห็นจิตสังหารกระหายเลือดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เดิมทีจิตใจและพลังกายของเนี่ยเฟิงหมิงมาถึงขีดจำกัดแล้ว แรงต้านทานทางจิตใจอยู่ในจุดต่ำที่สุด ทำให้จิตสังหารกระหายเลือดนี้ถือโอกาสโถมเข้าใส่ในใจเขานำมาซึ่งความหวาดหวั่นอย่างไร้ที่สิ้นสุด ร่างกายของเขาเริ่มสั่นเทาขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
เวลานี้พันเอกถังอวี้มาถึงข้างกายเนี่ยเฟิงหมิงแล้ว ทว่าเขามาช้าไปก้าวหนึ่ง เมื่อเขาเห็นการโจมตีของเนี่ยเฟิงหมิงถูกคนนอกขวางไว้ก็โล่งอกทันที
อย่างไรก็ตาม เขาใจเย็นลงอย่างรวดเร็วและถูกความจริงข้อหนึ่งปลุกให้ตื่น เพราะว่าอันที่จริงแล้วคนที่อยู่ใกล้เนี่ยเฟิงหมิงมากที่สุดคือเขา แต่อีกฝ่ายกลับเร็วกว่าเขาก้าวหนึ่ง นี่พิสูจน์ว่าความสามารถของฝ่ายตรงข้ามเก่งกาจกว่าเขาใช่หรือเปล่า?
ถังอวี้มองอีกฝ่ายด้วยความตื่นตะลึงแล้วก็เห็นว่าคนผู้นั้นสวมชุดเครื่องแบบโรงเรียนทหารสีเขียวทั่วไป ไม่ได้สูงและก็ไม่ได้เตี้ย รูปร่างดูผอมอ่อนแออยู่บ้าง ทว่าไม่ได้มีความรู้สึกเปราะบางเหมือนลั่วล่าง ร่างที่ยืนสูงตระหง่านคล้ายกับซ่อนพลังไว้นับไม่ถ้วน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถสกัดกั้นการโจมตีของเนี่ยเฟิงหมิงได้อย่างง่ายดายและไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิดเดียว
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ ถึงแม้เขาดูเย็นชาไร้ความรู้สึกอย่างยิ่งยวด แต่ว่ายังไม่อาจปกปิดดวงหน้าอ่อนเยาว์ที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ของเขา รูปลักษณ์แปลกหน้ากอปรกับชุดเครื่องแบบโรงเรียนทหารของนักเรียนใหม่ที่ธรรมดาสุดขีดทำให้พันเอกถังอวี้รู้สถานะของอีกฝ่ายได้ทันที
ถังอวี้ไม่ได้เตรียมตำหนิอีกฝ่าย ถึงยังไงกระบวนท่าของเนี่ยเฟิงหมิงเมื่อสักครู่นี้ก็โหดเหี้ยมมากเกินไปจริงๆ ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมทีมในกลุ่มเดียวกัน อยากช่วยเหลือเพื่อนก็เป็นที่ถูกต้องชอบธรรม ถังอวี้อนุญาต
แต่ยังไม่ทันที่ถังอวี้จะสอบถามอีกฝ่าย บรรดานักเรียนด้านล่างเวทีที่ได้สติแล้วก็ทยอยกันอุทานขึ้นมา
“หมอนั่นเป็นใครน่ะ?”
“จู่ๆ เขาโผล่บนเวทีประลองได้ยังไง?”
“ใช่แล้ว เขาขึ้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
เนื่องจากความเร็วของคนที่มาว่องไวมากเกินไป นักเรียนมากมายที่มีระดับขอบเขตไม่ถึงจึงมองเห็นได้แค่เพียงมีร่างคนผู้หนึ่งปรากฎตัวขึ้นบนเวทีประลองอย่างไร้ที่มาที่ไป ทว่าพวกเขามองไม่เห็นเส้นทางการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่พวกเขางุนงง
“ความเร็วของหมอนี่แทบจะถึงขีดจำกัดของมนุษย์แล้ว!” คนในบ็อกซ์ที่มีสายตาเฉียบแหลมอยู่บ้างต่างยอมรับจุดนี้ในใจรู้สึกตื่นตะลึงอย่างหาใดเปรียบ ถึงแม้ไม่รู้ที่มาที่ไปของอีกฝ่าย แต่พวกเขาจดจำรูปร่างหน้าตาของคนผู้นี้เอาไว้พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ตัดสินใจว่าเมื่อกลับไปแล้วจะต้องทำการตรวจสอบว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่…
สีหน้าของถังอวี้กลับคืนเป็นปกติอย่างรวดเร็วก่อนจะเอ่ยกับคนผู้นั้นว่า “นักเรียน ขอบคุณมากที่ลงมือช่วยเหลือ แต่ว่ายังอยู่ในระหว่างการประลอง รบกวนเธอช่วยออกไปจากเวทีประลองด้วย”
“ไม่จำเป็นแล้วครับ รอบนี้ กลุ่มนักเรียนใหม่ของพวกเราแพ้แล้ว” หลิงหลานประกาศเรียบๆ
ถังอวี้อึ้งไป ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นตัวแทนกลุ่มนักเรียนใหม่ได้หรือเปล่า จากนั้นเขาก็ได้ยินอู่จย่งตัวแทนของกลุ่มนักเรียนใหม่ด้านล่างเวทีประลองตะโกนเสียงสูงว่า “ถูกต้องครับ รอบนี้กลุ่มนักเรียนใหม่ของเราขอยอมแพ้!”
ในเมื่อตัวแทนกลุ่มนักเรียนใหม่ยอมแพ้ ถังอวี้ก็ไม่ได้พูดมากอีก ประกาศเสียงดังทันทีว่า “รอบที่สาม เนี่ยเฟิงหมิงปีห้าชนะ! คะแนนรวมสองต่อหนึ่งกลุ่มหุ่นรบเหลยถิงนำกลุ่มนักเรียนใหม่”
ถังอวี้เพิ่งจะประกาศ หลิงหลานก็หันหน้ามองไปทางฉีหลงที่อยู่ด้านหลังซึ่งยังยืนนิ่งไม่ไหวติง ในใจมีความเจ็บปวดสายหนึ่งไหลผ่าน ถึงแม้เธออยากให้ฉีหลงทะลวงขีดจำกัด แต่เธอไม่อยากเห็นฉีหลงย่ำแย่ขนาดนี้ บาดเจ็บหนักแบบนี้ ถ้าหากเธอขวางการโจมตีของเนี่ยเฟิงหมิงได้ไม่ทันกาล พลังนั้นย่อมทำให้กระดูกแต่ละท่อนของฉีหลงแตกเป็นเสี่ยงๆ ต่อให้ฟื้นฟูกลับมา คุณสมบัติร่างกายที่แข็งแกร่งแต่เดิมของฉีหลงก็จะลดลงไปหลายระดับ ถึงขนาดที่ทำลายความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดในอนาคตของฉีหลง
พอคิดถึงตรงนี้ โทสะในใจหลิงหลานก็ลุกโชนขึ้นมา แค้นเคืองความโหดเหี้ยมของคู่ต่อสู้ และก็เกลียดชังความประมาทและเชื่อมั่นว่าต้องเป็นแบบนี้ของตัวเอง โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์น่าสลดขึ้น ไม่อย่างนั้นเธอคงเสียใจไปชั่วชีวิต
หลิงหลานสูดลมหายใจลึกๆ ข่มกลั้นโทสะในใจ กล่าวกับฉีหลงเบาๆ ว่า “ฉีหลง การประลองจบแล้ว นายพักได้แล้วล่ะ”
ฉีหลงที่เดิมทียืนนิ่งไม่ขยับได้ยินคำพูดของหลิงหลานก็เหมือนกับได้รับคำสั่งอะไรบางอย่าง ร่างของเขาล้มลงไป ถังอวี้ตอบสนองรวดเร็วยิ่ง เขารับฉีหลงไว้อย่างนุ่มนวลก่อนจะตรวจสอบอาการบาดเจ็บให้ฉีหลง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตะโกนเสียงดังลั่นว่า “เจ้าหน้าที่รีบส่งไปที่ศูนย์รักษาเร็วเข้า!” ไม่นึกเลยว่าอาการบาดเจ็บภายในของฉีหลงจะสาหัสขนาดนี้ แต่เขาก็ยังต่อสู้ได้นานขนาดนั้น จนถึงสุดท้ายก็ไม่ยอมล้มลงไป นี่มันจิตวิญญาณอะไรกันแน่เนี่ยที่ประคองเด็กหนุ่มคนนี้ไว้
ถังอวี้อดนึกถึงลั่วล่างกับหลี่อิงเจี๋ยก่อนหน้านี้ไม่ได้ พวกเขาก็เป็นแบบนี้ อดทนต่ออาการบาดเจ็บที่แทบจะรับไม่ไหว ทำการโต้กลับที่น่ากลัวที่สุดออกมา…เขาอดมองไปยังเด็กหนุ่มที่ทำหน้าเย็นชาเบื้องหน้าเขาไม่ได้ ต่อให้อีกฝ่ายไม่ได้พูดอธิบาย เขาก็รู้ว่าหัวหน้าที่แท้จริงของกลุ่มนักเรียนใหม่น่าจะเป็นเขา
ไม่นาน ฉีหลงก็ถูกส่งไปที่ศูนย์รักษา ในฐานะที่หานจี้จวินเป็นเพื่อนสนิทของฉีหลง เขาย่อมนั่งไม่ติดอยู่แล้ว เขารุดหน้าไปเป็นเพื่อนเองโดยไม่รอคำสั่งของพวกหลิงหลาน…
ในตอนนี้เอง เนี่ยเฟิงหมิงที่ตกอยู่ท่ามกลางจิตสังหารกระหายเลือดไม่อาจมีสติกลับมาก็อาศัยพลังใจอันยอดเยี่ยมของเขาฝ่าทะลวงปีศาจในใจ กลับมามีสติแจ่มชัดใหม่ได้ในที่สุด
“นายได้สติแล้วเหรอ?” สีหน้าของหลิงหลานยังคงเย็นชาไร้อารมณ์ ทว่าโทสะที่เดิมทีสะกดกลั้นไว้ภายในดวงตาทั้งสองข้ามลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งตามการได้สติของเนี่ยเฟิงหมิง
“การประลองรอบนี้สิ้นสุดลงแล้ว รบกวนนักเรียนปล่อยผู้เข้าประลองคนนี้ด้วย” ถึงแม้หมัดอัดอากาศสุดท้ายของเนี่ยเฟิงหมิงโหดเหี้ยมอยู่บ้าง แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่ได้สร้างเหตุการณ์ที่ไม่อาจกู้กลับคืนได้ ถังอวี้ยังคงหวังว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก เปลี่ยนเรื่องเล็กไม่ให้มีเรื่อง อย่างไรเสียการประลองของเนี่ยเฟิงหมิงจบลงแล้ว กลุ่มนักเรียนใหม่พัวพันเรื่องนี้ต่อไปอีกก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร
เนี่ยเฟิงหมิงได้ยินถังอวี้พูดแบบนี้ก็ดิ้นรนฉับพลัน พยายามสลัดหลุดออกจากการควบคุมของหลิงหลาน ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกมาตลอดว่าเด็กหนุ่มที่เย็นชาตรงหน้านี้อันตรายมากเกินไป ปฏิกิริยาตอบสนองทันทีของเขาก็คือออกห่างจากอีกฝ่าย
“ที่ยอมแพ้เป็นเพราะฝีมือของพวกเราสู้ไม่ได้ แต่ว่าคิดจะทำร้ายพี่น้องของฉันก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สมควรด้วย!” เสียงเย็นเยียบใสกระจ่างของหลิงหลานดังไปทั่วหอต่อสู้ นี่เป็นคำประกาศของหลิงหลานต่อทั้งโรงเรียนทหาร ไม่ว่าใครคิดจะทำร้ายพี่น้องของเธอ เธอจะไม่ปรานีปล่อยไปเป็นอันขาด
ใช่ หลิงหลานโกรธเกรี้ยวแล้วจริงๆ เธออยากให้ทุกคนในโรงเรียนทหารรู้ว่า เธอไม่ใช่คนอ่อนปวกเปียกที่กล้ำกลืนโทสะยอมทำตัวเป็นเต่าหัวหด
คำพูดเพิ่งจะกล่าวออกไปก็เห็นมือของหลิงหลานที่กุมหมัดของอีกฝ่ายยกขึ้นมาฉับพลัน ร่างของเนี่ยเฟิงหมิงถูกโยนขึ้นไป ในตอนที่เขาอยู่ห่างจากพื้นประมาณสองเมตร เนี่ยเฟิงหมิงก็รู้ได้ว่ามีมือเล็กๆ ที่เย็นเยียบทรงพลังข้างหนึ่งกดด้านหลังศีรษะเขาไว้ หลังจากนั้นก็ดันลงทันใด…
การเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันของหลิงหลานทำให้ถังอวี้ที่อยู่บนเวที รวมถึงลูกพี่ฮั่วที่อยู่ด้านล่างเวทีหน้าเปลี่ยนสีอย่างยิ่งยวด พวกเขาคิดว่าหลิงหลานกำลังจะลงมือสังหารก็พุ่งไปหาหลิงหลานพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย พยายามขัดขวางการกระทำป่าเถื่อนของอีกฝ่าย
ถังอวี้อยู่ห่างจากหลิงหลานแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ทว่าเขาอยากจะเข้าไปใกล้ แต่กลับถูกพลังปราณไร้รูปร่างสายหนึ่งขวางไว้ ขณะเดียวกันเนื่องจากลูกพี่ฮั่วอยู่ห่างมากเกินไป เวลาชั่วพริบตานั้นไม่อาจให้เขามาถึงได้
เสียง ‘ปัง’ ดังสนั่น! ทั่วทั้งเวทีประลองส่องรัศมีแสงพราวพร่าง รวมถึงเสียงเตือนภัยที่แสบแก้วหู คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่านี่หมายความว่าอะไร แต่ถังอวี้ที่เป็นกรรมการกลับรู้ดี นี่บ่งบอกว่าพลังโจมตีที่เวทีประลองได้รับเกือบจะถึงพลังทนทานสูงสุดของมันอย่างไร้ขีดจำกัดแล้ว ถ้าหากเพิ่มพลังอีกนิดเดียวละก็ เวทีประลองอาจจะพังทลายลงโดยสิ้นเชิง
เวลานี้ถังอวี้รักษาความเยือกเย็นต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เขาหน้าซีดมาก ควรรู้เอาไว้ว่าระดับความคงทนของเวทีประลองในหอต่อสู้แห่งนี้เพียงพอที่จะทนรับพลังโจมตีทั้งหมดของคนที่มาจากระดับต่ำกว่าเขตแดน ในเมื่อเวทีประลองส่งเสียงเตือนภัย หรือว่านักเรียนใหม่คนนี้เข้าใกล้ระดับเขตแดนอย่างไม่มีขีดจำกัดแล้ว หรือว่าอาจจะไปถึงสิ่งที่เรียกว่าระดับเขตแดนครึ่งก้าวในตำนาน?
เมื่อรัศมีแสงบนเวทีประลองหายไป เสียงเตือนภัยเงียบลงช้าๆ นักเรียนที่ชมการต่อสู้ทั้งหมดถึงค่อยมองเห็นสถานการณ์บนเวทีประลองได้ชัดเจน หลังจากนั้นพวกเขาก็หวาดหวั่นพรั่นพรึงกับฉากตรงหน้าทั้งหมด
ทั่วทั้งร่างของเนี่ยเฟิงหมิงนอนคว่ำอยู่บนเวทีประลองแนบชิดกับพื้น ใบหน้าของเขาเอียงเล็กน้อย ดวงตาสองข้างเหลือกขึ้นไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง พื้นที่ร่างกายของเขาสัมผัสแตกออกเป็นเสี่ยงๆ นับไม่ถ้วนแผ่กระจายไปทั่วเวทีประลองโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง ทำให้เวทีประลองดูชำรุดผุพัง นี่ทำให้คนอดเป็นห่วงสามคนที่ยืนอยู่ด้านบนไม่ได้ว่าจะเหยียบเวทีประลองที่ชำรุดเสียหายนี้จนถล่มลงไปทันทีหรือเปล่า
ลูกพี่ฮั่วที่มาถึงบนเวทีประลองแล้วเห็นสภาพน่าอเนจอนาถของเนี่ยเฟิงหมิง ดวงตาสองข้างก็แดงฉานทันใด เขาชี้ไปที่หลิงหลานถามด้วยความเดือดดาลว่า “นายฆ่าเขาทำไม?”
หลิงหลานปัดแขนเสื้อตัวเองราวกับปัดฝุ่นผงอะไรบางอย่างทิ้งไป ตอบกลับด้วยใบหน้าเฉยชาว่า “วางใจได้ เขาไม่ตายหรอก!”
“ไม่ตาย?” คำพูดประโยคนี้ทำให้ลูกพี่ฮั่วที่โกรธเกรี้ยวสุดขีดเยือกเย็นลง เขารีบหันไปมองพันเอกถังอวี้
เวลานี้พันเอกถังอวี้ไปตรวจสอบสภาพของเนี่ยเฟิงหมิงทันที เขาสำรวจด้านข้างลำคอของเนี่ยเฟิงหมิง สีหน้าที่เดิมทีดูย่ำแย่ค่อยผ่อนคลายลง โชคดีที่บาดเจ็บสาหัสเท่านั้น ไม่ได้เสียชีวิต ไม่อย่างนั้นต่อให้เขามีใจอยากช่วยกลุ่มนักเรียนใหม่ ก็รับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ไหวเช่นกัน
“ยังมีลมหายใจ แต่ว่ากระดูกทั่วร่างหักหมดแล้ว ต้องรีบส่งไปที่ศูนย์รักษา ดูท่าเนี่ยเฟิงหมิงคงไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาแข็งแรงได้หากไม่ใช้เวลาเกือบปี” ถังอวี้บอกสภาพของเนี่ยเฟิงหมิงให้ลูกพี่ฮั่วฟัง หลังจากนั้นก็สั่งเจ้าหน้าที่นำเนี่ยเฟิงหมิงส่งไปที่ศูนย์รักษาอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ถังอวี้ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีแล้ว การประลองสามรอบติดต่อกัน ผู้ได้รับเลือกให้เข้าประลองหกคนต่างถูกส่งไปที่ศูนย์รักษา นี่คือการประลองต่อสู้หรือว่าเป็นการล้างแค้นอย่างเอาเป็นเอาตายกันแน่นะ? ไม่เคยมีการต่อสู้เดิมพันอย่างเป็นทางการครั้งไหนที่รุนแรงขนาดนี้เลย สุดท้ายก็เป็นเพราะนักเรียนใหม่พวกนี้แต่ละคนต่างก็หัวแข็งไม่ยอมแพ้….
หรือว่าตอนที่นักเรียนใหม่ทดสอบเข้าโรงเรียน คนป่าเถื่อนที่ผีเห็นก็ยังเป็นทุกข์พวกนั้นจะหักกระดูกที่เย่อหยิ่งของพวกเขาแล้วอบรมสั่งสอนดีๆ สักยกเหรอ? พันเอกถังอวี้สัมผัสได้ว่าความหยิ่งทระนงของนักเรียนใหม่กลุ่มนี้ดูท่วมท้นเป็นพิเศษ ไม่เหมือนนักเรียนที่เคยถูกทรมานให้อับอายเลย…
ลูกพี่ฮั่วได้ยินว่าเนี่ยเฟิงหมิงไม่เป็นไรก็ค่อยโล่งอก เขาข่มกลั้นโทสะในใจ เอ่ยปากถามช้าๆ ว่า “นายทำร้ายสมาชิกกลุ่มของฉันโดยไม่มีสาเหตุทำไม?”
“ไม่มีสาเหตุ? ฉันแค่สนองคืนสิ่งที่เขาทำลงไปก็เท่านั้น” ดวงตาสองข้างของหลิงหลานจ้องลูกพี่ฮั่วอย่างเย็นชา “นายไม่รู้หรือไงว่าเมื่อตะกี้นี้สมาชิกกลุ่มของนายทำอะไร? ถ้าหากกระบวนท่านั้นโจมตีโดนละก็ พี่น้องของฉันก็อยู่ในสภาพเขาตอนนี้”
“นายช่วยเอาไว้แล้วไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อพี่น้องของนายไม่เป็นไร ทำไมถึงต้องลงมืออำมหิตอย่างนี้อีกล่ะ?”
“ถ้าเกิดฉันช่วยไม่ได้ล่ะ?” หลิงหลานถามกลับ “ฉันไม่มีทางปล่อยคนที่ทำร้ายพี่น้องของฉันไปหรอกนะ ต่อให้กลุ่มอำนาจของอีกฝ่ายจะใหญ่อีกสักแค่ไหน ความสามารถจะแข็งแกร่งอีกสักเท่าไหร่ก็ตาม”
หลิงหลานกล่าวถึงตรงนี้ สายตาเย็นเยียบก็กวาดมองไปยังทุกคนที่ชมการประลองด้านล่างเวทีรอบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยออกมาทีละคำว่า “ณ ที่แห่งนี้ ฉันขอเตือนทุกคนในโรงเรียนทหาร รวมถึงกลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ ไว้เลยว่า ถ้าหากมีคนกล้าหาเรื่องสมาชิกกลุ่มพี่น้องของฉันอย่างไร้เหตุผล หรือว่าทำร้ายพวกเขาละก็ ฉันไม่มีทางหยุดแน่นอน ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ฉันจะต้องทำให้พวกเขาชดใช้”
หลิงหลานใช้พลังจิตทำให้เสียงที่เย็นชาและเด็ดเดี่ยวของเธอดังขึ้นข้างหูของทุกคน รวมถึงบรรดาคนที่อยู่ในบ็อกซ์ นักเรียนจำนวนไม่น้อยที่มีความสามารถอ่อนด้อยหนาวยะเยือกไปทั้งร่าง ตัวสั่นเทาขึ้นมา…
มีเพียงหลี่หลานเฟิงที่สีหน้ากระตุกหลังจากที่ได้ยินคำพูดนี้ ประกายไฟพาดผ่านในแววตาอย่างรางเลือน ‘พลังที่คุ้นเคยนี้ หรือว่าอีกฝ่ายเป็นคนประเภทเดียวกันกับเขา?’ หลี่หลานเฟิงที่เดิมทีไม่ค่อยสนใจหลิงหลานได้วางหลิงหลานไว้ในใจทันที เขา เขาเตรียมพร้อมไปทดสอบหยั่งเชิงอีกฝ่ายเมื่อมีโอกาส ถ้าหากเป็นคนประเภทเดียวกัน บางทีอาจมีความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกัน…