I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 3 การตรวจวัดตอนแรกเกิด
หลิงหลานและหลานลั่วเฟิ่งได้รับการดูแลจัดการเรียบร้อยแล้วก็ถูกส่งกลับเข้าไปในห้องผู้ป่วยระดับสูง นอกจากนี้หลิงฉินยังจัดเตรียมอุปกรณ์ตรวจวัดที่ทำหน้าที่ตรวจสอบประเมินข้อมูลต่างๆ ของร่างกายเด็กทารกโดยเฉพาะไว้ด้วย
“คุณนาย ให้ผมตรวจวัดสภาพร่างกายของคุณชายน้อยหน่อยนะครับ” หลิงฉินรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ต่อให้ตำแหน่งเกียรติคุณของพลตรีหลิงเซียวจะได้คุณหนูสืบทอด ตระกูลหลิงรุ่นนี้ก็ไม่สามารถได้หุ่นรบขั้นเทวะ เป็นตัวแทนของอาวุธขั้นสุดยอดที่แข็งแกร่งที่สุดของสหพันธรัฐ! เฉกเช่นเดียวกับหุ่นรบที่พลตรีหลิงเซียวได้รับ
กฎหมายของสหพันธรัฐที่ดูเหมือนกับมีความลำเอียงว่า กำหนดให้ญาติพี่น้องผู้ชายเท่านั้นที่จะสืบทอดตำแหน่งทางการทหารได้ แท้จริงแล้วมันอิงตามความเป็นจริงบางอย่าง เนื่องจากเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าไม่มีผู้ควบคุมเพศหญิงในหมู่หุ่นรบขั้นเทวะเลยสักคน
ผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะมีข้อกำหนดสูงมาก ไม่เพียงแต่ต้องการพลังจิตที่แข็งแกร่ง มันยังต้องการร่างกายที่แข็งแรงทรงพลังอีกด้วย เนื่องจากหุ่นรบขั้นเทวะใช้พลังจิตที่ประสานกับร่างกายมาควบคุมเพื่อแสดงเทคนิคการต่อสู้และการเคลื่อนไหวโจมตีแต่ละอันที่สลับซับซ้อนอันตรายสุดขีดมากมาย แต่เนื่องจากการเคลื่อนไหวเหล่านี้จะสะท้อนกลับใส่ร่างกายของผู้ควบคุมตามอัตราส่วนระดับความแข็งแกร่งของพลังที่แสดงออกมา ถ้าหากไม่มีร่างกายที่แข็งแกร่งละก็ บางทีการเคลื่อนไหวที่กำหนดไว้อาจจะทำให้ผู้ควบคุมได้รับบาดเจ็บได้
คุณสมบัติร่างกายตามธรรมชาติของผู้ชายและผู้หญิงแตกต่างกัน บางทีอาจจะปรากฏให้เห็นได้ไม่ชัดเจนในหุ่นรบทั่วไป ทว่ามันแสดงออกอย่างชัดเจนยิ่งในหุ่นรบขั้นเทวะ ไม่มีผู้หญิงสักคนสามารถแบกรับการสะท้อนกลับแบบนั้นได้เลย ต่อให้ฝึกฝนจนกลายเป็นนักกล้ามหญิงที่แข็งแกร่งก็ยังรับไม่ไหว ความแตกต่างของร่างกายโดยธรรมชาติไม่สามารถอาศัยการเสริมเพิ่มเติมภายหลังในการควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะ
มาว่ากันถึงตำแหน่งทางการทหารที่ถูกสืบทอดพวกนั้น อันที่จริงแล้วมันแสดงถึงทรัพยากรที่ประเทศชาติทุ่มกำลังอบรมบ่มเพาะไว้ ประเทศชาติจะใช้เงินทองและกำลังคนนับไม่ถ้วนมาฝึกอบรมเหล่าผู้สืบทอดที่กำหนดไว้ และเป้าหมายสูงสุดคือคาดหวังว่าคนที่พวกเขาสิ้นเปลืองกำลังเงินทองและแรงใจอบรมสั่งสอนออกมานั้นจะสามารถควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะ กลายเป็นอาวุธขั้นสุดยอดของประเทศชาติได้
ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้หญิงที่ไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้ก็จะถูกสหพันธรัฐทอดทิ้ง จากคำพูดของพวกนักการเมืองกล่าวไว้ว่า พวกเขาไม่สามารถสิ้นเปลืองเงินของผู้เสียภาษีได้ ถูกต้องไหมล่ะ ดังนั้นกฎหมายที่ปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างไม่เสมอภาคซึ่งมีความลำเอียงชัดเจนนี้จึงปรากฏขึ้นมาในสหพันธรัฐอย่างโจ่งแจ้ง โดยที่ไม่มีการคัดค้านของประชาชน
เวลานี้หลิงหลานย่อมไม่รู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เมื่อเธอเกิดมาก็ร้องขึ้นสองทีจากนั้นก็เข้าสู่การฝึกปรือ เนื่องจากเธอพบว่าชั่วพริบตาที่เธอถือกำเนิดนั้นก็รู้สึกได้ว่าสัมผัสของลมปราณที่ฝึกฝนขึ้นมาได้พรั่งพรูออกมาอย่างมหาศาล ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอรู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่หาได้ยากยิ่ง ดังนั้นเธอจึงฝึกฝนเข้าสู่สมาธิด้วยความกระตือรือร้น และไม่สนใจว่าตัวเองจะอยู่ที่ไหน
แน่นอนว่าที่หลิงหลานใจกล้าขนาดนี้เป็นเพราะว่าเธอคือเด็กทารก นอกจากนอนแล้วก็กิน กินแล้วก็นอน โดยพื้นฐานแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ดังนั้นถึงแม้เธอจะฝึกปรือเข้าสู่สมาธิ คนอื่นๆ ก็แค่คิดว่าเธอหลับไป ไม่ได้ตื่นตกใจ แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ คำพูดหลายประโยคที่เธอได้ยินตอนที่เกิด ทำให้เธอรู้ว่ามารดาของเธอในโลกนี้จะต้องปกป้องเธอไว้อย่างแน่นอน ดังนั้นเธอก็เลยฝึกฝนได้อย่างวางใจ
หลานลั่วเฟิ่งส่งหลิงหลานเข้าไปในมือของหลิงฉินด้วยความระมัดระวัง มองหลิงฉินค่อยๆ วางหลิงหลานเข้าไปในแคปซูลโปร่งใสรูปทรงวงรี
หลิงฉินเพิ่งจะเก็บมือกลับไปก็เห็นแคปซูลโปร่งใสปิดตัวจนหมด คลื่นแสงสีแดงและสีเขียวแต่ละสายกวาดไปที่ร่างกายของหลิงหลานสลับกัน
ทันใดนั้นแคปซูลโปร่งแสงก็ส่งเสียงหวีดแจ้งเตือนที่แสบแก้วหูขึ้นมา…
“เกิดอะไรขึ้น” ร่างกายที่กึ่งนั่งกึ่งนอนของหลานลั่วเฟิ่งเด้งตัวขึ้นมาฉับพลัน สีหน้าที่เดิมทีซีดเผือดเล็กน้อยเนื่องจากการคลอดลูกก็ยิ่งดูขาวซีด เธอหวาดกลัวจนตัวสั่นว่าจะเกิดอะไรไม่คาดฝันขึ้นกับลูกของตัวเอง
ไม่ได้มีแค่หลานลั่วเฟิ่งที่กลัว หลิงฉินเองก็ถูกเสียงเตือนที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายนี้ทำให้ตกใจเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หลิงฉินยังไม่ทันได้พุ่งเข้าไปตรวจสอบ เสียงร้องเตือนก็ดับลงไปและอุปกรณ์ตรวจวัดก็กลับคืนสู่ปกติ
ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริด ทว่าก็ไม่กล้าดึงดันหยุดการประเมินของหลิงหลานและอดทนรอต่อไป
ส่วนหลิงหลานก็ไม่รู้เรื่องนี้เลย เวลานี้เองมีเสียงเด็กอ่อนเอ่ยขึ้นอย่างอวดดีในหัวของเธอว่า “ยังดีนะที่ฉันมีปฏิกิริยาตอบสนองไว ไม่อย่างนั้นความลับของโฮสต์คงถูกเจอไปแล้ว ไว้ถึงเวลาที่มีโอกาสทักทายโฮสต์ครั้งหน้า จะต้องให้เธอชมฉันดีๆ…หึๆ!”
ในที่สุดอุปกรณ์ตรวจวัดก็เริ่มแจ้งข้อมูลที่ประเมินออกมา
ข้อมูลที่ประเมิน:
คุณสมบัติร่างกาย: ระดับ S!
พลังจิต: ระดับสอง!
ศักยภาพ: ระดับ S!
การประเมินโดยรวม: ดีเลิศ แนะนำให้เน้นการอบรมสั่งสอน
ข้อมูลนี้ทำให้หลิงฉินตกตะลึงไป เขาไม่กล้าเชื่อทุกสิ่งที่ได้ยินและรีบพุ่งเข้าไปหยิบข้อมูลที่อุปกรณ์ตรวจวัดพิมพ์ออกมาก่อนจะดูคร่าวๆ รอบหนึ่ง
ตัวอักษรสีดำบนกระดาษขาวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาได้ยินไม่ผิด
คุณสมบัติร่างกายระดับ S ต่อให้เป็นทารกเพศชายก็มีแค่หนึ่งหรือสองคนในหมู่หนึ่งพันคนเท่านั้นที่มีระดับ S นี่ไม่นับว่าเป็นเรื่องน่าตกใจอยู่แล้ว เพราะว่าคุณสมบัติร่างกายตอนเกิดของหลิงเซียว บิดาของหลิงหลานก็ไปถึงระดับ SS นั่นเป็นพรสวรรค์ทางกายภาพที่จะโผล่ขึ้นมาสักคนในหมู่เด็กหลายหมื่นคน หลิงฉินคาดว่าคุณสมบัติร่างกายที่ดีของหลิงหลานก็น่าจะได้รับการสืบทอดมาจากบิดาของเธอ
สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือ หลิงหลานยังเป็นผู้ใช้พลังจิตระดับสองโดยกำเนิด นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หลิงหลานมีพรสวรรค์เป็นพิเศษในด้านการฝึกฝนพลังจิต นั่นเป็นเด็กที่จะโผล่ขึ้นมาสักคนในหมู่เด็กหลายหมื่นคน….
หลิงฉินตัวสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น กระทั่งพลตรีหลิงเซียวของตระกูลเขาซึ่งเป็นบิดาของหลิงหลาน ตอนที่เขาเกิดมาก็มีพลังจิตแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น
ศักยภาพระดับ S เหมือนกับการประเมินของพลตรีหลิงเซียวในเวลานั้น แต่ควรรู้ไว้ว่าพลตรีหลิงเซียวของพวกเขาเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะ นั่นหมายความว่าคุณหนูหลิงหลานของตระกูลเขาก็มีความเป็นไปได้ที่จะควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะเหมือนกันใช่ไหม
ผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะ…หลิงฉินตัวสั่นเทิ้มแรงมากขึ้นจนเกือบจะน้ำตาเอ่อคลอ ตระกูลหลิงของพวกเขาจะมีผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะหญิงจริงๆ เหรอ
ถ้าหากเป็นเรื่องจริง นั่นก็เป็นการตบหน้าคนทั่วทั้งสหพันธรัฐแล้ว!
หลิงฉินรู้สึกตื่นเต้นสุดขีด ในขณะที่เขากำลังดีใจเป็นบ้าเป็นหลังอยู่นั้นก็พลันคิดอะไรขึ้นมาได้ราวกับน้ำเย็นราดลงมาที่ศีรษะ เขาได้สติขึ้นมาทันทีและอดหัวเราะเสียงขื่นไม่ได้ เขาคาดหวังให้มีคนสืบทอดตำแหน่งของพลตรีหลิงเซียวมากเกินไป จนลืมรายงานที่สหพันธรัฐทำการวิจัยเรื่องยีนออกมา มันไม่มีความเป็นไปได้เลยที่ลูกหลานเชื้อสายตรงของผู้ควบคุมชั้นเทวะจะเลื่อนระดับเป็นผู้ควบคุมชั้นเทวะได้ ต่อให้เป็นยีนกลายพันธุ์ นั่นก็แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เหมือนกัน
หลิงฉินรู้สึกหดหู่ก่อนจะปลุกใจตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าคุณหนูจะไม่มีทางกลายเป็นผู้ควบคุมชั้นเทวะ แต่ดูจากยีนของพลตรีหลิงเซียวที่ร้ายกาจสุดขีดแล้ว อนาคตของคุณหนูเองก็ไม่มีทางย่ำแย่เช่นกัน นอกจากนี้รายงานฉบับนั้นก็วิจัยแค่ลูกหลานเชื้อสายตรงเพศชาย แต่ไม่เคยวิจัยเพศหญิงมาก่อน บางทีคุณหนูอาจจะมีความเป็นไปได้หนึ่งในล้านๆ ก็ได้ หลิงฉินคิดปลอบใจตัวเอง
ถึงแม้ว่าหลานลั่วเฟิ่งจะตกตะลึงกับข้อมูลของหลิงหลานที่ประเมินออกมามากๆ แต่ถึงอย่างไรเธอก็เป็นแม่ ความรู้สึกแรกคือจะปกป้องลูกของตัวเองได้อย่างไร เธอเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “คุณอาฉิน ต้องปกปิดข้อมูลของหลิงหลานให้ได้นะคะ”
ถ้าหากข้อมูลของหลิงหลานรั่วไหลออกไป สหพันธรัฐจะต้องเสนอให้ทำตามการฝึกอบรมอย่างเข้มงวดของพวกเขา ถ้าหากหลิงหลานเป็นผู้ชาย หลานลั่วเฟิ่งก็ไม่มีความเห็นอะไร แต่ว่าหลิงหลานเป็นเด็กผู้หญิง เธอไม่หวังให้ลูกสาวของเธอทนทุกข์ทรมาน นอกจากนี้สหพันธรัฐจะส่งคนเข้ามาฝึกสอน ความลับเรื่องหลิงหลานเป็นผู้หญิงก็จะรั่วไหลได้ง่ายมาก นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่เธออยากปกปิดข้อมูลของหลิงหลานไว้
ความจริงแล้ว ตอนที่หลิงหลานยังไม่เกิด หลานลั่วเฟิ่งก็ตัดสินใจจะให้หลินหลางใช้ชีวิตตามใจชอบ และไม่อยากให้หลิงหลานสืบทอดตำแหน่งของบิดา เดินอยู่บนเส้นทางทหารสายนี้ หลานลั่วเฟิ่งรู้ดีมากๆ ว่า ขอเพียงหลิงหลานไม่ได้ทำความผิดใหญ่หลวงทรยศต่อประเทศชาติ ก็สามารถอาศัยตำแหน่งเกียรติคุณทั้งหมดที่ได้รับมาจากการสละชีพของหลิงเซียว ทำให้หลิงหลานมีชีวิตที่เพรียบพร้อมสมบูรณ์ ใช้ชีวิตได้ตามที่ตัวเองต้องการ ดังนั้นต่อให้หลิงหลานเตรียมตัวจะเป็นลูกเศรษฐีที่ไม่ทำงานทำการ หลานลั่วเฟิ่งก็ไม่คัดค้าน
หลานลั่วเฟิ่งจ้องมองหลิงหลานที่อยู่ในอุปกรณ์ตรวจวัดด้วยสายตาละอายใจระคนรักใคร่เอ็นดู อีกทั้งยังเอ่ยขึ้นในใจว่า ขอโทษนะ หลิงหลานลูกรัก แม่ทำให้ลูกต้องใช้ชีวิตอย่างผิดปกติ…เพราะว่าลูกเป็นลูกสาวของหลิงเซียว แม่ไม่อนุญาตให้คนอื่นนอกจากลูกไปเสวยสุขกับตำแหน่งและผลประโยชน์จากเกียรติยศชื่อเสียงทั้งหมดที่ได้มาจากการพลีชีพของหลิงเซียวหรอกนะ
แต่ลูกก็เป็นลูกสาวของแม่ แม่รักลูกมาก ดังนั้นแม่ไม่อยากให้ลูกแบกรับภาระของตระกูลหลิง ต่อไป แม่จะไม่ไปจู้จี้สอนสั่งอะไรลูก ลูกอยากไปเส้นทางไหนก็ไปตามที่ลูกเลือกเองเลย ต่อให้ลูกจะกลายเป็นลูกเศรษฐีที่เอาแต่รักสนุก แม่ก็สนับสนุนลูก
จำเป็นต้องพูดว่าหลานลั่วเฟิ่งเองก็เป็นแม่ที่ปกป้องลูกน้อยของตัวเองอย่างสุดขั้ว ถ้าหากหลังจากนี้หลิงหลานอยากผลาญทรัพย์สินของตระกูลหลิงจนหมด เกรงว่าหลานลั่วเฟิ่งอาจจะรีบร้อนเสนอแผนการด้วยความกระตือรือร้นก็ได้
…………………………………………………….