I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 66 อยู่โรงเรียนประจำแล้ว
สถานที่ลับสุดยอดแห่งหนึ่งในดาวโดฮา ใครบางคนกำลังใช้อุปกรณ์สื่อสารรายงานผลการปฏิบัติการของพวกเขา “หัวหน้า ลูกน้องส่งข่าวมาว่า พวกเราล้มเหลวแล้วครับ”
“เกิดอะไรขึ้น?” มีเพียงเสียงจักรกลเย็นเยียบที่ถูกดัดแปลงดังออกมาจากภายในหน้าจอที่มืดสนิท
“คนคุ้มกันไอ้เด็กสวะนั่นมีเยอะมากเกินไป ไม่เพียงแต่มีศัตรูของเรา ยังมีเบลดเคลื่อนพลออกมาด้วยเหมือนกันครับ”
“เบลด? ทำไมพวกมันถึงเข้ามายุ่งด้วย?” เบลดโผล่ตัวออกมาทำให้อีกฝ่ายไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“หัวหน้าครับ ตอนนี้ควรจะทำยังไงดี?” หน้าผากของคนติดต่อหลั่งหยาดเหงื่อเย็นๆ ลงมา หัวหน้าของเขาไม่อนุญาตให้ลูกน้องล้มเหลว เขากลัวว่าตัวเองจะถูกหัวหน้าเชือดแล้ว
“ดูเหมือนสถานการณ์จะท่าไม่ดีอยู่บ้างนะ” การปรากฏตัวของเบลดทำให้อีกฝ่ายรู้สึกกังวลใจ “ลูกชายของหลิงเซียว…บางทีพวกเขาอาจจะใช้มันเป็นเหยื่อล่อแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้” คนติดต่อไม่กล้าเชื่อ หลิงเซียวเป็นวีรบุรุษของสหพันธรัฐ พวกเขาจะปฏิบัติต่อลูกชายของวีรบุรุษอย่างไร้ความเมตตาปรานีแบบนี้ได้ยังไง
“เหอะ มีอะไรที่คนกุมอำนาจทอดทิ้งเพื่อผลประโยชน์ไม่ได้?” ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะหยัน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหน็บแนม “ถ้าหลิงเซียวยังมีชีวิตอยู่ แล้วรู้ว่าประเทศที่เขาสละชีวิตปกป้องใช้สายเลือดเพียงคนเดียวของเขามาเป็นเหยื่อล่อให้ตกอยู่ในอันตราย เกรงว่าเขาคงจะนึกเสียใจภายหลังแล้ว”
เมื่อรู้ว่าคำพูดของตัวเองไม่มีความหมายอยู่บ้าง เสียงจักรกลก็รีบเอ่ยสั่งการอย่างจริงจังว่า “ล้มเลิกการจัดการลูกชายของหลิงเซียว อยากใช้เขาล่อพวกเราออกมา? ช่างฝันเสียจริง!”
“รับทราบครับ!” คนติดต่ออดยืนตัวตรงรับคำสั่งไม่ได้ ทว่าในใจยังรู้สึกกังวลอยู่บ้าง ดังนั้นก็เลยเอ่ยปากถามว่า “หัวหน้า นั่นเป็นลูกของผู้ควบหุ่นรบขั้นเทวะนะครับ ดูจากข้อมูลที่ส่งมา พรสวรรค์ของเขายอดเยี่ยมมาก ถ้าเกิดเขาโตขึ้นมากลายเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะอีกคนเหมือนกับหลิงเซียวละก็ มันจะเป็นภัยต่อจักรวรรดิเราอย่างมาก จะเสี่ยงกำจัดเขาดีหรือไม่ครับ…” ผุ้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะแข็งแกร่งฝืนโชคชะตามากเกินไปจริงๆ ถึงขนาดที่สามารถตัดสินผลแพ้ชนะของการรบในตอนสุดท้ายได้เลย
เสียงจักรกลได้ยินเสียงกังวลใจของลูกน้องก็เอ่ยด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่งว่า “นายไม่ได้ศึกษาข้อมูลของผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะเลยหรือไง? หลายร้อยปีที่ผ่านมา มีลูกหลานของผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะคนไหนสามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดได้อีกครั้ง? ต่อให้เป็นผู้ควบคุมไพ่ราชาทั่วไปก็ยังยากมากเลย นักพันธุศาสตร์ของจักรวรรดิของเราไม่ได้เผยแพร่งานวิจัยของพวกเขาแล้วหรือว่า เมื่อทายาทสักคนได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะ ก็หมายความว่าขีดความสามารถด้านพรสวรรค์ที่อยู่ในยีนของทายาทไปถึงขีดสุดแล้ว พูดได้ว่าขีดความสามารถด้านพรสวรรค์ทั้งหมดที่อยู่ในสายเลือดถูกผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะคนนี้ใช้ไปหมดแล้ว และผลก็คือลูกหลานของเขาก็จะยิ่งธรรมดาลงเรื่อยๆ…ลูกหลานของหลิงเซียวย่อมไม่มีหวังแล้วแน่นอน”
ไม่อย่างนั้น ไม่มีทางที่หลิงหลานลูกชายของหลิงเซียวจะไม่ได้ติดแม้กระทั่งสิบอันดับแรกของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือหรอก ตระกูลหลิงตกต่ำลงเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว พวกมันไม่มีค่าพอให้พวกเขาสนใจ
ข่าวนี้ทุบคนติดต่อจนรู้สึกหัวหมุนไปหมด ในเมื่อลูกชายของหลิงเซียวไม่มีทางกลายเป็นภัยคุกคามของจักรวรรดิ ถ้าอย่างนั้นหัวหน้าของเขาจ่ายค่าตอบแทนในการลอบสังหารหลิงหลานไปมากมายขนาดนั้นเพื่ออะไร?
อีกฝ่ายคล้ายกับรู้สึกได้ถึงความงุนงงของลูกน้อง เสียงจักรกลในอุปกรณ์สื่อสารดังขึ้นมาอีกครั้งว่า “หลิงเซียวตายไปเกือบจะเจ็ดปีแล้ว ทหารของสหพันธรัฐทั้งหมดต่างไม่ลืมผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะที่ฝีมือสูงส่งน่าตกตะลึงคนนี้ ยังคงเคารพบูชาเขาไม่เสื่อมคลาย ถ้าเวลานี้ข่าวลูกชายของเขาถูกหุ่นรบทางการของสหพันธรัฐลอบสังหารแพร่ออกไปละก็ นายคิดว่าทหารในสหพันธรัฐหัวเซี่ยจะคิดยังไง?”
หน้าผากของคนติดต่อเหงื่อแตกพลั่กมากยิ่งขึ้น “มีความเป็นไปได้สูงว่าการตายของหลิงเซียวจะเป็นแผนการร้าย เขาเป็นเหยื่อสังเวยในการต่อสู้แย่งชิงอำนาจของพวกระดับสูงในกองทัพ มีความเป็นไปได้มากว่าจะเกิดการเปลี่ยนทางกองทัพในสหพันธรัฐ” ไม่นึกเลยว่าหัวหน้าของเขาคิดจะวางแผนการใหญ่โดยใช้ประโยชน์จากการตายของหลิงหลาน
“น่าเสียดายที่อีกฝ่ายก็คิดถึงจุดนี้เหมือนกัน ดังนั้นก็เลยใช้แผนซ้อนแผน ให้ลูกชายของหลิงเซียวมาเป็นเบี้ยล่อพวกเรามาติดกับ ฉันคิดว่า ต่อให้พวกเราฆ่าลูกชายของหลิงเซียวได้แล้วจริงๆ อีกฝ่ายก็สามารถปลอมแปลงหลักฐานปัดความรับผิดชอบมาให้จักรวรรดิของพวกเรา” เสียงจักรกลเต็มไปด้วยความเสียดาย การต่อสู้ครั้งนี้เขาแพ้แล้ว ยังดีที่เขาสังเกตเห็นแต่แรกและเก็บกวาดร่องรอยได้ทันเวลา สิ่งที่เปิดเผยเป็นเพียงแค่ตัวเบี้ยที่ไม่สลักสำคัญ
คนติดต่อถูกเสียงจักรกลเตือนสติก็หลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาเต็มศีรษะ เขาเกือบจะทำลายแผนการใหญ่ของหัวหน้าแล้ว ก็เลยรีบผงกศีรษะโค้งคำนับกล่าวว่า “ครับ หัวหน้า ผมเข้าใจแล้ว”
“กระจายคนของเรา อย่าทำเรื่องบุ่มบ่าม เรื่องของตระกูลหลิงก็ให้สิ้นสุดลงแค่นี้” เสียงจักรกลละทิ้งปฏิบัติการลอบสังหารหลิงหลานอย่างเด็ดขาด เขาไม่อาจให้ฝ่ายตรงข้ามเอาสาเหตุการตายของลูกชายหลิงเซียวมากดหัวจักรวรรดิได้
การตายของหลิงเซียวทำให้เขาประจักษ์ถึงความบ้าคลั่งของทหารสหพันธรัฐ ดึงความขัดแย้งระหว่างพวกเขาทั้งสองประเทศให้เป็นสงครามยืดเยื้อแห่งยุค จนถึงตอนนี้ก็ไม่สามารถหยุดสงครามได้ ถ้าหากการตายของลูกชายหลิงเซียวกระตุ้นพวกทหารสหพันธรัฐขึ้นมาอีกครั้ง เขากลัวว่าจักรวรรดิจะถูกพวกบ้านี้โจมตีจนย่อยยับ
“ครับ หัวหน้า” คนติดต่อส่งเสียงตอบรับอีกครั้งแล้วค่อยปิดอุปกรณ์สื่อสารอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็ประกาศคำสั่งของหัวหน้าลงไป
ด้วยเหตุนี้เอง วิกฤติของหลิงหลานจึงถูกแก้ไขเช่นนี้เอง เมื่อหลิงหลานกลายเป็นดาวสงครามรุ่นใหม่ของสหพันธรัฐ คนเหล่านี้ก็นึกเสียใจภายหลังไม่หายว่าทำไมตอนนั้นถึงไม่ดำเนินการลอบสังหารต่อ…
ในขณะเดียวกัน หัวหน้าทีมเบลดก็ได้รับข่าวที่ 413 ส่งมาจากการที่ลอบคุ้มกันส่งหลิงหลานกลับบ้านตลอดทาง เรื่องการลอบสังหารครั้งนี้ทำให้เขาหลั่งเหงื่อเย็นๆ มาตลอดในขณะเดียวกันก็ทำให้เขาเดือดดาลมากเช่นกัน เขาไม่นึกเลยว่าฝ่ายตรงข้ามจะลอบควบคุมระดับสูงบางคนในกองทัพสหพันธรัฐได้สำเร็จ
ผู้ควบคุมหุ่นรบที่ทีม 413 ส่งมากลุ่มนั้นเป็นทหารของสหพันธรัฐจริงๆ แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ พวกเขาไม่รู้อะไรเลย พวกเขาเป็นเพียงพวกคนโง่ที่ถูกใช้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หัวหน้าทีมเบลดสามารถแน่ใจได้ว่าอิทธิพลของฝ่ายตรงข้ามที่ซ่อนอยู่ในสหพันธรัฐนั้นใหญ่มาก คนทรยศรวมกลุ่มกันอยู่ข้างกายเขาแล้ว แต่เรื่องที่เขากังวลตอนนี้คือ ความปลอดภัยของหลิงหลาน ครั้งนี้หลิงหลานโชคดีหนีรอดมาได้ แล้วครั้งหน้าล่ะ?
หัวหน้าทีมเบลดลังเลไปสักพัก ในที่สุดเขาก็ต่อสายไปยังหมายเลขติดต่อนั้นอีกครั้ง…สุดท้ายเมื่อเขาปิดอุปกรณ์สื่อสาร ใบหน้าเขาก็เผยรอยยิ้มและความโล่งใจออกมา
ถึงแม้ว่าตาแก่นั่นจะขู่เข็ญเขาอย่างหนัก แต่ว่าบรรลุเป้าหมายของเขาได้ก็พอ อย่างมากเขาก็แค่ทำงานเป็นจับกังอีกหลายงาน ความยากลำบากแบบนี้คุ้มค่าแล้วเพื่อสายเลือดวีรบุรุษของสหพันธรัฐ!
………….
เช้าวันที่สอง ในที่สุดหลิงหลานก็รอดพ้นจากการทารุณกรรมของหมายเลขห้า เธอลุกขึ้นมาล้างหน้าหวีผมด้วยสีหน้าซึมกระทือแล้วทานอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว ช่วยไม่ได้ ระยะทางค่อนข้างไกล เธอต้องฉกฉวยเวลาทุกวินาที แน่นอนว่าหลิงหลานเองก็ครุ่นคิดอยู่ว่าจะหาห้องพักรอบๆ สถาบันศูนย์กลางลูกเสือดีหรือไม่ ทุกวันเสียเวลาไปกลับนานขนาดนี้ หลิงหลานคิดว่ามันไม่ใช่แผนการระยะยาวเช่นกัน
หลิงหลานตัดสินใจแล้วว่าวันนี้เธอกลับบ้านแล้วจะปรึกษาเรื่องนี้กับมารดาของเธอ เมื่อเธอจัดการเตรียมตัวไปโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว ก็มีแขกคนหนึ่งมาที่ตระกูลหลิงโดยไม่คาดคิด นั่นก็คือท่านผู้อำนวยการของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ
ความจริงแล้วการมาของท่านผู้อำนวยการมีแค่เรื่องเดียวเท่านั้น นั่นก็คือหวังว่าหลิงหลานจะทิ้งสิทธิการเรียนไปกลับของนักเรียนห้องพิเศษนี้ เนื่องจากปีนี้ มีเพียงหลิงหลานคนเดียวเท่านั้นที่เลือกเรียนไปกลับ ท่านผู้อำนวยการคิดว่านี่จะเป็นการถ่วงความก้าวหน้าและผลการเรียนของหลิงหลาน
เนื่องจากทางสถาบันเรียกร้องให้นักเรียนทิ้งสิทธิข้อนี้ไป ดังนั้นทางสถาบันย่อมรับปากว่าหลิงหลานสามารถร้องขอได้ข้อหนึ่ง แน่นอนว่าคำขอข้อนี้ต้องเป็นเรื่องที่ทางสถาบันสามารถทำได้
ถึงแม้ว่าหลานลั่วเฟิ่งจะต้องการคำมั่นสัญญาข้อนี้มาก แต่เธอไม่สามารถตอบรับได้ หลิงหลานเรียนไปกลับเพื่ออะไรกันล่ะ? เป็นเพราะปัญหาเรื่องเพศของเธอไง ถ้าหากอาศัยร่วมกับคนอื่น ความเป็นไปได้ที่เรื่องนี้จะถูกเปิดเผยมีมากเกินไปจริงๆ หลานลั่วเฟิ่งเดิมพันไม่ไหว
หลานลั่วเฟิ่งอยากจะปฏิเสธก็จะต้องมีเหตุผลที่จะปฏิเสธด้วย ซึ่งครั้งนี้ได้สะท้อนไหวพริบของหลานลั่วเฟิ่งออกมาทั้งหมด เธอนึกเหตุผลที่ทำให้คนเชื่อถือได้ในชั่วพริบตา บอกว่าหลังจากที่หลิงเซียวพลีชีพไป เธอก็เป็นโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรงสุดขีด ทนอยู่ห่างจากลูกของเธอนานมากเกินไปไม่ได้ ถ้าหากหลิงหลานอยู่ประจำละก็ เธอจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จนถึงขนาดที่ทำร้ายตัวเอง
ทางด้านหลิงฉินก็ให้ร่วมมืออย่างรู้ใจกัน เขาพลันทำหน้าโศกเศร้าเสียใจ ผงกศีรษะอย่างหนักเพื่อสื่อว่าคำพูดของคุณนายเขาเป็นความจริง ส่วนหลิงหลานก็กังวลใจกับท่าทีของมารดาเลยได้แต่ปฏิเสธความหวังดีของท่านผู้อำนวยการอย่างสุภาพเท่านั้น
เล่นไพ่น่าสงสารเป็นการลงมือที่ดีตามที่คาดคิดไว้จริงๆ ท่านผู้อำนวยการทำหน้ากระอักกระอ่วนและลำบากใจ ในขณะที่ทั้งสามคนคิดว่าท่านผู้อำนวยการจะล้มเลิกแผนการของเขาแล้ว ท่านผู้อำนวยการกลับดูเหมือนทำการตัดสินใจครั้งใหญ่มาก เขากล่าวข้อเสนอที่ทำให้พวกหลิงหลานสามคนตกตะลึง
เขาเสนอให้หลานลั่วเฟิ่งกับหลิงหลานพักอยู่ด้วยกันในโรงเรียน เนื่องจากกฎเหล็กที่ไม่ให้คนที่ไม่ใช่บุคลากรในสถาบันเข้าพักอาศัย ท่านผู้อำนวยการยังออกหน้ารับหลานลั่วเฟิ่งเป็นผู้ช่วยอาจารย์ของสถาบันเป็นพิเศษ ทำให้หลานลั่วเฟิ่งพักอยู่ในโรงเรียนได้อย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์
ท่านผู้อำนวยการยังรับปากอีกว่า หลิงหลานกับมารดาสามารถอยู่อาศัยตามลำพังในบ้านพักของสถาบัน ไม่มีใครมารบกวนได้ ถึงขนาดที่ท่านผู้อำนวยการยังใจดีอนุญาตให้หลานลั่วเฟิ่งพาคนรับใช้สองคนเข้าไปช่วยจัดการดูแลบ้านพักเป็นพิเศษ
คำพูดนี้ทำให้พวกหลิงหลานสามคนไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธอีกต่อไป หลิงหลานตัดสินใจขอบคุณท่านผู้อำนวยการทันที รับปากท่านผู้อำนวยการว่าเธอยินดีล้มเลิกการเรียนแบบไปกลับ และจะรีบจัดการขั้นตอนเข้าพักในสถาบันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ท่านผู้อำนวยการได้รับคำตอบที่ตัวเองพึงพอใจก็อารมณ์ดีมาก เขาให้หลิงหลานหยุดเรียนหนึ่งวัน เพื่อให้เธอจัดการขั้นตอนทุกอย่างให้เสร็จและเข้าไปพักในสถาบันในวันนี้ หลังจากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อจากไปโดยไร้ความกังวล ทิ้งไว้เพียงพวกหลิงหลานสามคนที่ยังไม่คืนสติกลับมาทั้งหมดนั่งอึ้ง (นั่งบื้อ) อยู่ในห้องรับแขก
…………
ท่านผู้อำนวยการเดินออกจากหน้าประตูของตระกูลหลิง ก่อนจะนั่งบนโฮเวอร์คาร์ ในที่สุดเขาก็นั่งทื่ออยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่ได้รักษารูปลักษณ์สง่างามเป็นสุภาพบุรุษของเขาอีกต่อไป เขายื่นมือไปเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก ทอดถอนใจอีกครั้งที่ตระกูลหลิงรับมือยากมากเกินไปจริงๆ เขานึกถึงเมื่อก่อนตอนที่พูดเกลี้ยกล่อมหลิงเซียว เขาก็ต้องจ่ายค่าชดเชยมากมายถึงจะทำสำเร็จเหมือนกัน…
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเขาก็ทำเรื่องที่สหายเก่าไหว้วานมาได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าทางสถาบันจะจ่ายค่าตอบแทนไว้มาก แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงยอดเยี่ยม ท่านผู้อำนวยการเผยรอยยิ้มอิ่มอกอิ่มใจออกมา เขารีดไถผลประโยชน์นับไม่ถ้วนจากตัวสหายเก่าได้ นี่ย่อมไม่ขาดทุนแน่นอน
………….
หลิงฉินเป็นคนแรกที่คืนสติกลับมา เขากล่าวกับหลานลั่วเฟิ่งด้วยใบหน้าปิติยินดีว่า “คุณนาย นี่เป็นเรื่องดีนะครับ ขอเพียงคุณชายหลานอยู่ในสถาบันลูกเสือ ย่อมต้องปลอดภัยแน่นอน”
หลานลั่วเฟิ่งรู้สึกไม่แน่ใจและเอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนว่า “คุณอาฉิน คุณคิดว่าทำไมสถาบันถึงดูแลหลิงหลาน เปิดประตูหลังให้หลิงหลานมากมายขนาดนี้ด้วยคะ? ฉันรู้สึกกังวลมากๆ ก่อนหน้านี้หลิงหลานเจอการลอบสังหาร หลังจากนั้นทางสถาบันศูนย์กลางลูกเสือก็ให้สวัสดิการหลิงหลานดีแบบนี้”
ควรทราบว่าประตูของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือไม่อาจเข้าได้ง่ายๆ เงินเดือนและสวัสดิการของบุคลากรด้านในย่อมดีที่สุดในสหพันธรัฐ ดังนั้น ต่อให้เป็นตำแหน่งผู้ช่วยอาจารย์ตัวเล็กๆ ก็ยังมีคนที่มีความสามารถการศึกษาสูงมากมายแย่งชิงกัน หลานลั่วเฟิ่งไม่นึกเลยว่าเธอจะได้รับตำแหน่งที่ทำให้ทุกคนปรารถนาเพราะมีความสัมพันธ์กับหลิงหลาน หลานลั่วเฟิ่งย่อมไม่ได้ให้ค่ากับตำแหน่งนี้แน่นอน ถึงแม้ว่าตระกูลหลิงจะดูอ่อนแอ แต่ว่ารากฐานยังคงหนามาก สามารถทำให้หลานลั่วเฟิ่งกับลูกไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่ได้หลายชั่วอายุ
คำพูดของหลานลั่วเฟิ่งทำให้หลิงฉินลังเลขึ้นมา หรือว่านี่จะเป็นการวางแผนร้ายใส่หลิงหลานอีก? หลิงฉินก็ขึ้นมาเล็กน้อย การหยุดยั้งการลอบสังหารอย่างต่อเนื่องเมื่อวานทำให้หัวใจของชายชรายังรู้สึกไม่มั่นคงจนถึงตอนนี้
หลิงหลานเห็นดังนั้นก็รีบกล่าวเตือนสติว่า “ฉันได้ยินว่าอัตราความปลอดภัยของสถาบันศูนย์กลางลูกเสืออยู่ในระดับสูงสุด นักเรียนก็เป็นคนที่ทางสถาบันให้ความสำคัญมากที่สุด หลังจากที่สถาบันถูกก่อตั้งขึ้นมา ก็ไม่เคยมีนักเรียนสักคนเกิดเรื่องในสถาบันเลย คุณปู่หลิงฉิน ข่าวลือนี้เป็นความจริงหรือเปล่า?”
แววตาของหลิงฉินเปล่งประกายราวกับนึกอะไรบางอย่างได้ “คุณนาย คุณชายหลานพูดมาไม่ผิด สถาบันลูกเสือเป็นอิสระจากระบบกองทัพและรัฐบาล คนที่รับหน้าที่ปกป้องมันก็คือผู้ควบคุมขั้นเทวะ….”
สีหน้าของหลิงฉินดูตื่นเต้น แววตาฉายความเร่าร้อนออกมาวูบหนึ่ง หลิงหลานคุ้นเคยกับสายตาแบบนี้มาก แฟนคลับคลั่งไคล้ดาราบางคนในชาติก่อนก็เปล่งรัศมีแสงในดวงตาแบบนี้ออกมา
หลิงหลานรู้ดีว่าสิ่งที่ทำให้หลิงฉินตื่นเต้นหวั่นไหวก็คือผู้ควบคุมขั้นเทวะที่เขาเอ่ยถึง นี่มันคืออะไรกันแน่?
หลิงหลานตัดสินใจให้เสี่ยวซื่อหาข้อมูลด้านนี้ในภายหลัง จู่ๆ เธอก็พบว่าเธอไม่รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับโลกใบนี้จริงๆ เรื่องการลอบสังหารทำให้เธอได้เห็นหุ่นรบของจริง มันทำให้เธอรู้สึกหลงใหลตั้งแต่ครั้งแรก…หลายปีมานี้เธอหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนมาตลอด จนมองข้ามความยอดเยี่ยมของโลกภายนอกไป
อันที่จริง นี่จะโทษหลิงหลานไม่ได้ ข้อมูลบางอย่างเป็นข้อมูลลับสุดยอดของทางกองทัพ เสี่ยวซื่อคิดว่าอายุของหลิงหลานในตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้ ดังนั้นเขาก็เลยไม่เก็บข้อมูลไว้ หลิงหลานย่อมไม่มีทางรู้เรื่องพวกนี้
ดังนั้น ตอนนี้หลิงหลานที่น่าสงสารยังคงไม่รู้เลยว่า พ่อของเธอเป็นไอดอลของทหารสหพันธรัฐ เป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะที่อายุน้อยที่สุดของสหพันธรัฐ
คำพูดของหลิงฉินทำให้หลานลั่วเฟิ่งรู้สึกวางใจ ดังนั้นเธอจึงวิ่งขึ้นไปชั้นบนเพื่อเก็บสัมภาระของเธอกับหลิงหลานด้วยความเบิกบาน
ด้วยเหตุนี้เอง หลิงหลานเลยไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นในห้องสเปเชียลเอในวันแรกของการเปิดเรียนอย่างเป็นทางการ ครูประจำชั้นของห้องสเปเชียลเอเอ่ยอย่างบิดเบือนว่าหลิงหลานลาหยุด น้ำเสียงของครูฟังดูมีความเข้าข้างอย่างชัดเจนทำให้นักเรียนห้องสเปเชียลเอรู้สึกไม่พอใจ วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันเป็นการส่วนตัว….
ฉีหลงไม่ได้คิดอะไรมาก ลั่วล่างดูเหมือนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง มีเพียงหานจี้จวินที่ทำหน้าเคร่งขรึม…
ลูกพี่หลาน นายเป็นใครกันแน่?
………………………………………………….