I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 115 กระต่ายที่น่าเวทนา!
“บอกลูกไปเพื่ออะไรล่ะ? หรือว่าการที่เขาเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะมันจะส่งผลต่อชีวิตลูกเหรอ?” หลานลั่วเฟิ่งมองหลิงหลานอย่างงุนงงแวบหนึ่ง “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเขาจากพวกเราไปแล้ว ต่อให้เขาอยู่เคียงข้างพวกเรา ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะหรือไม่ มันเกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วยล่ะ?”
หลิงหลานครุ่นคิดก่อนจะรู้สึกว่าที่หลานลั่วเฟิ่งพูดมาถูกต้องมากๆ ไม่ว่าจะรู้ว่าหลิงเซียวคือผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะหรือไม่ มันก็ไม่มีผลอะไรกับเธอจริงๆ
หลานลั่วเฟิ่งใช้ตะเกียบคีบผักดองที่หลิงหลานชอบทานไปวางไว้ในชามของหลิงหลาน ก่อนจะพูดต่อว่า “นอกจากนี้ หลิงเซียวก็เป็นแค่หลิงเซียว เขาเป็นคนธรรมดา แล้วก็เป็นสามีของแม่ พ่อลูกด้วย ต่อให้เขาเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะ ก็ยังคงเป็นสามีแม่ เป็นพ่อของลูกอยู่ดี สถานะทั้งสองนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนไปตลอดกาล”
คำพูดของหลานลั่วเฟิ่งทำให้ร่างกายหลิงหลานสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ความรู้สึกว้าวุ่นใจที่เกิดขึ้นเนื่องจากรู้ว่าหลิงเซียวคือผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะหายไปในทันที
“แล้วก็นะ หลานลูกรัก อย่าให้สถานะของพ่อลูกมาส่งผลกับการตัดสินใจในอนาคตของลูกนะ ลูกต้องจำไว้ว่า ลูกก็คือลูก ลูกแค่บังเอิญมีพ่อชื่อหลิงเซียวเท่านั้นเอง” หลานลั่วเฟิ่งกังวลใจเล็กน้อย เธอกลัวมากๆ ว่าลูกสาวจะเลือกทำสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบเพราะว่าหลิงเซียว เช่น ไปเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบอะไรทำนองนั้น “แม่หวังว่าลูกจะเลือกอนาคตที่ลูกชอบ ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น…”
ถ้อยคำของหลานลั่วเฟิ่งทำให้หลิงหลานมองแม่ของเธอใหม่อีกครั้ง เธอรู้สึกราวกับว่าได้รู้จักหลานลั่วเฟิ่งใหม่อีกครั้ง
หลิงหลานคาดว่าในบรรดาผู้หญิงที่พ่อของเธอเคยเจอมา มีเพียงแม่ของเธอเท่านั้นที่ไม่เห็นพ่อเป็นผู้แข็งแกร่งหรือไอดอล หรือว่าเป็นคูปองอาหารระยะยาว[1] หากแต่มองเขาเป็นคนธรรมดาทั่วไปที่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันอย่างปกติสุขได้ เพราะอย่างนั้น พ่อถึงได้เลือกแม่…อืม แถมยังลงมืออย่างเฉียบขาดในตอนที่แม่เธอยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ด้วย
“ขอบคุณนะแม่!” หลิงหลานพูดจากใจจริง เธอทานผักดองที่หลานลั่วเฟิ่งคีบให้จนหมด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามต่อว่า “แม่ว่า พ่อยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?”
มุมปากของหลานลั่วเฟิ่งคลี่ออกเป็นรอยยิ้มสว่างไสว เธอพยักหน้าพูดโดยไม่ลังเลว่า “ใช่ แม่คิดว่าพ่อของลูกไม่ตายง่ายๆ ขนาดนั้นหรอก เขาคือผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะเชียวนะ!” น้ำเสียงของเธอไม่มีการปกปิดความชื่นชมและความภาคภูมิใจของตัวเองเลยสักนิดเดียว
หลิงหลานยิ้มตาม ในเมื่อแม่เธอคาดหวังไว้แบบนี้ ถ้าอย่างนั้นเธอก็คาดหวังแบบนี้ด้วยเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นก็เหมือนอย่างที่แม่พูดเอาไว้ ผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะไม่ใช่คนที่จะตายง่ายขนาดนั้น…
หลิงหลานทานอาหารเสร็จแล้วก็ไปเดินย่อยอาหารที่สนามหญ้าด้านนอกเป็นเพื่อนแม่ หลังจากนั้นเธอก็ไปที่ห้องออกกำลังกายเพื่อฝึกฝนทักษะการต่อสู้มือเปล่าพื้นฐานหลายชุด โดยเฉพาะทักษะการต่อสู้มือเปล่าพื้นฐานของสถาบันลูกเสือ หลิงหลานจะต้องฝึกมันมากกว่าสิบรอบทุกครั้ง เพราะหลิงเซียวบอกไว้ว่า ทักษะการต่อสู้มือเปล่าชุดนี้ไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น มันถึงขนาดมีส่วนช่วยเหลือที่ความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการเลื่อนระดับการควบคุมหุ่นรบในอนาคต
สุดท้ายเธอค่อยไปอาบน้ำนอน จากนั้นก็เข้าไปในมิติการเรียนรู้เหมือนดังเช่นทุกครั้ง เธอเห็นเสี่ยวซื่อกำลังนั่งอยู่บนพื้น มีกองกระดาษจำนวนมหาศาลสุมอยู่เต็มข้างกาย และเขาก็กำลังพลิกอ่านกระดาษหลายแผ่นในมือ
หลิงหลานถามด้วยความสงสัยว่า “เสี่ยวซื่อ นายกำลังทำอะไรอยู่น่ะ?”
บางทีเสี่ยวซื่ออาจจะใจจดใจจ่อมากเกินไป เขาถูกเสียงของหลิงหลานขู่ขวัญจนสะบัดมือออกฉับพลัน กระดาษในมือเขากระจายออกมาทันที แล้วยังมีกระดาษหนึ่งในนั้นร่วงแหมะลงบนหัวเขา
เสี่ยวซื่อรีบดึงกระดาษแผ่นนั้นลงมา เมื่อเห็นว่าหลิงหลานกำลังหัวเราะมองเขาอยู่เหมือนขบขันกับท่าทีของเขาเมื่อสักครู่นี้ เขาก็พูดอย่างไม่สมอารมณ์ว่า “ลูกพี่ เธอจะมาเงียบๆ แบบนี้ทำไม? เกือบจะทำให้ฉันตกใจตายแล้วนะ!”
“ทำให้นายตกใจตาย? ทำไม เมื่อตะกี้นี้นายทำไม่ดีอยู่เหรอ?” หลิงหลานเอ่ยหยอกๆ
ไม่นึกเลยว่าเสี่ยวซื่อจะทำหน้าตกใจ เขารีบเอื้อมมือไปเก็บรวบรวมกระดาษตรงหน้าอย่างรวดเร็ว หลิงหลานพูดด้วยความระแวงว่า “คงไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีอยู่จริงๆ ใช่ไหม?”
เสี่ยวซื่อพูดพลางหัวเราะอย่างสำลักว่า “มีที่ไหนกัน! ฉันแค่กำลังเก็บรวมรวมข้อมูลเท่านั้น พวกเรื่องที่เกี่ยวกับคุณพ่อแล้วก็เรื่องหุ่นรบด้วย”
เมื่อเสี่ยวซื่อพูดถึงหุ่นรบ ปากก็พูดอะไรบางอย่างที่จับใจความไม่ได้ อย่างไรก็ตามความสนใจของหลิงหลานถูกคำพูดว่าเรื่องที่เกี่ยวกับคุณพ่อดึงดูดไปแล้วเรียบร้อย เธอพูดเตือนอย่างจริงจังว่า “รวบรวมข้อมูลก็รวบรวมข้อมูล แต่ต้องระวังปกปิดเป็นความลับ อย่าให้คนอื่นพบเข้าละ”
เสี่ยวซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “วางใจเถอะน่า ลูกพี่!”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…” หลิงหลานชี้ไปที่กระดาษตรงหน้าเสี่ยวซื่อ “ต้องทำขนาดนี้ด้วยหรือ?” อันที่จริงเสี่ยวซื่อสามารถสรุปข้อมูลไปที่โปรแกรมของตัวเองโดยตรง ไม่จำเป็นต้องแสดงข้อมูลพวกนั้นออกมาเหมือนกระดาษเป็นแผ่นๆ แบบนี้
“ลูกพี่ เธอไม่รู้สึกเลยหรือไงว่าใช้กระดาษแสดงตัวหนังสือพวกนี้แล้วดูมีระดับมากๆ?” เสี่ยวซื่อเอ่ยด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม “ฉันหยิบกระดาษมาอ่าน ให้ความรู้สึกว่าชาญฉลาดมากๆ ไม่ใช่เหรอ?”
เจ้าเด็กตัวปัญหานี่นะ ที่แท้ก็กำลังทำเท่สินะ! หลิงหลานพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นนายก็ทำตัวดูฉลาดต่อไปละกัน ฉันต้องเข้าไปเรียนในมิติการเรียนรู้แล้ว
ท่าทีไม่ประทับใจของหลิงหลานทำให้เสี่ยวซื่อรู้สึกได้ลึกๆ ถึงช่วงว่างระหว่างวัยที่ปรากฏขึ้นในการสื่อสารของเขากับลูกพี่ เพราะอย่างนั้น เขาจึงโบกมือให้หลิงหลานอย่างดูถูกมากๆ เป็นการบอกหลิงหลานว่าอย่ามารบกวนการทำงานของเขา
ท่าทีไร้หัวใจของเสี่ยวซื่อทำให้หลิงหลานได้แต่ส่ายหัวเงียบๆ เธอถอนหายใจเบาๆ ตอนนี้เจ้าเด็กมีปัญหาดูจะขี้งอนมากเกินไปแล้ว ขณะที่เธอเพิ่งจะเตรียมตัวผลักประตูทักษะกายภาพให้เปิดออก สายตาก็หันมองไปบนประตูบานหนึ่งที่อยู่ข้างๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ ในที่สุดมันก็มีสองคำปรากฏขึ้นมาว่า ‘หุ่นรบ’!
หรือว่าเป็นเพราะเธอได้สัมผัสกับหุ่นรบ ดังนั้นมิติการเรียนรู้ก็เลยเปิดหลักสูตรวิชาหุ่นรบแล้ว?
หัวใจหลิงหลานร้อนรุ่มขึ้นมา เธอทิ้งประตูทักษะการต่อสู้มือเปล่าไป และลองผลักประตูหุ่นรบดู ก่อนจะพบว่ามันขยับเบาๆ ไม่ได้เชื่อมติดกันโดยที่ไม่มีรอยแยกเลยสักนิดเดียวเหมือนกับก่อนหน้านี้
หลิงหลานผลักประตูแรงๆ ทันที ประตูเปิดออกดังปัง เธอเดินเข้าไปในนั้น ก่อนจะเห็นพื้นที่ที่ไร้จุดสิ้นสุด และตรงด้านหน้าซึ่งไม่ไกลนัก ก็มีทหารใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราท่าทางดุดันคนหนึ่งกำลังหัวเราะดังลั่นมองเธอเดินเข้ามา
“ฮ่าๆ หลิงหลาน ในที่สุดเธอก็มาแล้ว!” การทักทายอย่างร้อนแรงของนายทหารทำให้หลิงหลานมองเขาด้วยสายตาระแวดระวังแวบหนึ่ง หรือว่าเขาจะเป็นอาจารย์คนใหม่อีกคน?
อาจารย์หลายคนที่หลิงหลานได้เจอมาจนถึงตอนนี้มีลักษณะนิสัยแตกต่างกันไป มีทั้งนิสัยชั่วร้าย มีทั้งนิสัยเย็นชา และก็มีคนที่เคร่งขรึมทระนงตน หมายเลขหนึ่งเป็นคนที่เย็นชาจนถึงขีดสุด แล้วก็พูดคำไหนคำนั้น ส่วนหมายเลขห้า ถึงแม้ว่าเขาจะชอบหัวเราะ แต่ก็ชั่วร้ายเป็นที่สุด แถมยังโรคจิตอย่างหาใดเปรียบ ทำให้คนรู้สึกหนาวเหน็บจนถึงกระดูก ส่วนหมายเลขเก้าก็เข้มงวดมาก ทั้งยังดูเย็นชาและหยิ่งทระนงมาก แต่แท้จริงแล้วก็เป็นผู้หญิงที่จิตใจอ่อนโยนอย่างยิ่ง หลิงหลานได้รับการเอาใจใส่มากมายจากเธอมาตั้งแต่แรกแล้ว
ดังนั้นหลิงหลานเลยไม่กลัวอาจารย์หน้าดุ แต่กลัวพวกที่กระตือรือร้นจัดใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอถูกหมายเลขห้าทรมานจนหวาดกลัวไปแล้ว… เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายดูกระตือรือร้น มีรอยยิ้มเต็มเปี่ยม เธอก็ระมัดระวังตัวขึ้นมา ถ้าเกิดมีอาจารย์แบบหมายเลขห้ามาอีกคน เธอจะต้องถูกหยอกเล่นจนน่าอนาถมากแน่นอน
“อย่าคิดมากไป ฉันไม่ใช่หมายเลขห้า ไม่สนใจเรื่องทรมานคนเลย ใช่แล้ว ฉันคืออาจารย์ด้านหุ่นรบของเธอ หมายเลขสาม ความเป็นจริงแล้ว ตอนที่เธออายุหกขวบ ฉันก็คิดจะเปิดหลักสูตรวิชาหุ่นรบแล้ว แต่ว่าเพราะสถานการณ์ของเธอในตอนนั้น พี่ใหญ่หมายเลขหนึ่งก็เลยปฏิเสธคำขอของฉัน ฉันคิดว่ายังต้องรอต่อไปอีกสักห้าหกปีก่อนเสียอีก ไม่นึกเลยว่าแค่ปีเดียวเธอก็เปิดเองได้แล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆ… ดีเหลือเกิน!” หมายเลขสามแหงนหน้าหัวเราะให้กับท้องฟ้าราวกับดีใจกับการเลือกของหลิงหลานมาก ดูเหมือนว่าเขาอดทนรอต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ
ในที่สุดเสียงหัวเราะก็หยุดลง แต่หลิงหลานยังไม่ทันได้ถามอะไร หมายเลขสามก็ดีดนิ้วทีหนึ่ง หุ่นรบกระต่ายตัวหนึ่งก็หล่นลงมาจากท้องฟ้า ร่วงมาตรงหน้าหลิงหลานทันที รูปร่างที่คุ้นตาของมันทำให้หน้าผากหลิงหลานเต็มไปด้วยขีดดำ “ทำไมถึงมีหุ่นรบตัวนี้ด้วยละคะ?”
หมายเลขสามกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ช่วยไม่ได้นะ การควบคุมหุ่นรบของพวกเรายังแตกต่างกับโลกของเธออยู่นิดหน่อย เพราะงั้นพวกเราเลยต้องให้ผู้ช่วยมิติรวบรวมแบบจำลองและวิธีการควบคุมหุ่นรบทั้งหมดของที่นี่ ตอนนี้ผู้ช่วยหุ่นรบก็ส่งหุ่นรบแบบนี้มาให้ แน่นอนว่านี่ก็เป็นเพราะเธอได้เลือกหุ่นรบตัวนี้แล้ว…”
ในที่สุดหลิงหลานก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเสี่ยวซื่อถึงมีท่าทีทำเรื่องแย่ๆ ในห้องโถงมิติ ที่แท้เขาก็แอบนำข้อมูลของหุ่นรบกระต่ายเข้ามาในมิติการเรียนรู้นี่เอง ทำให้มันกลายเป็นหุ่นรบตัวแรกสำหรับการฝึกฝนหุ่นรบของเธอ ให้ตายเถอะ เขารู้ดีว่าเธอไม่ชอบเจ้าหุ่นรบกระต่ายนี่เอามากๆ จะเปลี่ยนเอารูปแบบอื่นเข้ามาให้เธอหน่อยไม่ได้เลยหรือไง?
แน่นอนว่าหลิงหลานยิ่งกลุ้มใจกับความโชคร้ายของตัวเอง ถ้าหากเธอสุ่มได้หุ่นรบที่น่าเกรงขามพวกนั้นมาตั้งแต่แรก เธอก็ไม่จำเป็นต้องทนรับสายตาล้อเลียนของหมายเลขสามหรอก
ต่อให้ในใจหลิงหลานจะรู้สึกเศร้าใจอีกสักแค่ไหน เธอก็ยังต้องฟังคำสั่งจากอาจารย์หมายเลขสาม เธอนั่งลงในห้องคนขับของหุ่นรบกระต่าย ปุ่มควบคุมที่ปรากฏขึ้นด้านในยังคงเป็นปุ่มกดพวกนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ตามที่คาดไว้จริงๆ
หลิงหลานติดเครื่องยนต์หุ่นรบ แล้วหุ่นรบก็ถูกเปิดใช้งานสำเร็จอย่างรวดเร็ว เธอเปิดหน้าจอของหุ่นรบให้แสดงสถานการณ์ด้านนอกออกมา แต่กลับพบว่าเวลานี้พื้นที่กว้างโล่งแต่เดิมนั้นได้กลายมาเป็นเส้นทางที่คับแคบสุดขีด หลิงหลานกะดูแล้ว มันมีความกว้างมากกว่าตัวหุ่นรบแค่เพียง 1.5 เท่า ถ้าอยากจะผ่านเส้นทางนี้อย่างราบรื่น เงื่อนไขในการควบคุมการเดินของหุ่นรบนั้นสูงมาก ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีอุปสรรคอย่างอื่นกระจายไม่เป็นระเบียบอยู่ด้านในเส้นทางนี้ มีทั้งบนพื้น และก็มีบนกำแพงทั้งสองฟาก อุปสรรคพวกนี้เกรงว่าจะเป็นการทดสอบความสามารถในการควบคุมของผู้ควบคุมหุ่นรบตามแต่สถานการณ์
“ก่อนอื่นเธอทำการฝึกฝนรับมือสิ่งกีดขวาง เห็นตัวเลขที่อยู่ด้านล่างหน้าจอไหม?” เสียงของหมายเลขสามดังขึ้นข้างหูหลิงหลาน
หลิงหลานมองไปที่จุดที่อาจารย์หมายเลขสามบอก ด้านล่างสุดของหน้าจอตรงหน้ามีตัวเลข 03.00.00 กำลังกระพริบแสงอยู่ตรงนั้นอย่างรุนแรง ย้ำเตือนหลิงหลานถึงการมีอยู่ของมัน
“นี่คือเวลานับถอยหลังสามนาที เธอต้องผ่านการแข่งฝ่าสิ่งกีดขวางนี้ให้ได้ภายใน 3 นาทีถึงจะผ่าน ส่วนเส้นตายในการจบภารกิจของเธอมีแค่หนึ่งอาทิตย์เท่านั้น” ฟังออกได้อย่างชัดเจนว่าเสียงของหมายเลขสามดูสนุกสนานบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่บ้าง
เชี่ย! ไม่ได้สอนอะไรเธอสักอย่างเดียวแล้วก็มอบภารกิจให้เธอทันทีเลยเนี่ยนะ? อาจารย์หมายเลขสาม คุณเป็นอาจารย์ด้านหุ่นรบ ไม่ใช่คนประกาศภารกิจนะ การที่คุณทำแบบนี้มันไร้ยางอายไปไหม? หลิงหลานยังไม่ทันส่งเสียงคัดค้าน เธอก็เห็นตัวเลขที่กระพริบแสบด้านล่างหน้าจอเริ่มนับถอยหลังลงอย่างรวดเร็ว
ขอบตาของหลิงหลานกระตุก ทันใดนั้นเธอก็พบว่าจากความเร็วในการกระโดด เวลาสามนาทีไม่ได้มากมายเลยจริงๆ
เวลานี้เองเสียงที่ยินดีปรีดากับความทุกข์คนอื่นของหมายเลขสามก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “ใช่แล้ว ทุกครั้งที่ท้าทายไม่สำเร็จ ระบบจะมอบบทลงโทษให้ เธอต้องอดทนเข้าไว้นะ!”
หลิงหลานได้ยินคำพูดนี้ก็ควบคุมหุ่นรบอย่างขยันขันแข็ง นิ้วเธอสะบัดไปมา ปลดปล่อยความเร็วที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมา… บทลงโทษของระบบย่อมไม่ใช่สิ่งที่ทนรับได้ง่ายขนาดนั้นแน่นอน เธอไม่อยากลิ้มรสชาตินั้นอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม ความคิดเป็นสิ่งที่งดงาม แต่ความเป็นจริงช่างโหดร้าย หลังจากที่หลิงหลานกระแทกเข้ากับกำแพงนับครั้งไม่ถ้วน ทำตัวเป็นกระต่ายจากเรื่องเฝ้ารอกระต่ายใต้ต้นไม้[2]ตัวนั้น ในที่สุดเวลานับถอยหลังถึงศูนย์ ส่วนเธอก็เพิ่งจะกระโดดไปออกมาได้ไม่กี่เมตร เจ้ากระต่ายที่น่าเวทนาเอ๋ย… หลิงหลานยังไม่ทันร้องอุทานจบก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจนชาไหลผ่านไปทั่วร่างกาย…
………………………………………………
[1] อุปมาว่าเป็นคนที่สนับสนุนด้านการเงินอย่างมั่นคงไปตลอดชีวิต
[2] ใช้เปรียบเปรยถึง คนที่ไม่คิดที่จะลงแรงหรือพยายามทำงาน แต่กลับหวังที่จะได้ผลงานที่ดี หรือได้สิ่งตอบแทนดีๆ อย่างลมๆ แล้งๆ ซึ่งมันไม่มีวันเป็นไปได้
นิทานเรื่องนี้กล่าวถึงชาวนาคนหนึ่งเห็นซากกระต่ายตัวหนึ่งอยู่ใต้ต้นไม้ ชาวนาผู้นั้นจึงวางเครื่องมือทำไร่ไถนาของตนแล้วนั่งรอกระต่ายตัวใหม่มาวิ่งชนต้นไม้ตายอีกตัว เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยไปหาอาหารเอง แต่สุดท้ายเขาไม่เพียงไม่พบกระต่ายตัวใหม่ ยังถูกผู้คนต่างๆ ตัวเราะเยาะด้วย