I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 116 บทลงโทษที่ไม่สอดคล้องกับกฎ!
“แม่งเอ๊ย ก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะมาแบบนี้!” หลิงหลานอ้าปากสบถออกมา เธอเหมือนกับสามารถมองเห็นควันเบาบางตลบอบอวนขึ้นมาจากในปากตัวเอง อึก…ทั่วทั้งร่าวเธอเกือบจะถูกไฟฟ้าช็อตจนสุกได้ที่แล้ว
น่าเสียดาย ยังไม่ทันที่เธอหายจากอาการปวดชาก็เห็นภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน หุ่นรบมายังจุดเริ่มต้นในการออกตัวอีกครั้ง หลังจากนั้นมิติการเรียนรู้ก็ไม่ได้ให้เวลาหลิงหลานได้พักผ่อน เวลานับถอยหลังสามนาทีเริ่มนับใหม่อีกครั้ง
เมื่อหลิงหลานเห็นแบบนี้ก็อดสบถเสียงเบาไม่ได้ว่า เชี่ยเอ๊ย!
หลังจากนั้นเธอก็ลนลานควบคุมหุ่นรบกระต่ายให้พุ่งออกไปสุดชีวิต บางทีเหตุการณ์น่าอนาถก็เกิดขึ้นอีกครั้ง หลิงหลานกระโดดไปได้ไม่กี่ก้าวก็กระแทกเข้ากับกำแพง ก่อนที่เธอจะเด้งตัวกลับจากกำแพงแล้วชนเข้าไปที่กำแพงอีกรอบ…แล้วท้ายที่สุดเธอก็ยังคงกระแทกเข้ากับกำแพงอยู่ดี…
หลิงหลานรู้สึกแค่ว่าภาพตรงหน้ากลับหัวกลับหาง ผลลัพธ์จากการชนกำแพงติดต่อกันคือ เธอรู้สึกเวียนและตาลายอีกครั้ง หลังจากนั้นเธอก็ประสบกับความรู้สึกของเจ้ากระต่ายในนิทาน ‘เฝ้ารอกระต่ายใต้ต้นไม้’ อีกครั้ง!
ล้มเหลว แล้วก็ล้มเหลว! ถูกไฟช็อตแล้วก็ถูกไฟช็อตอีก เริ่มต้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า… หลิงหลานไม่รู้แล้วว่าเธอเริ่มตั้นใหม่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว เธอกะดูแล้วว่าตัวเองยังเข้าไปในเส้นทางนี้ไม่ถึงห้าสิบเมตรด้วยซ้ำ และที่เลวร้ายกว่านั้นคือ เธอไม่รู้เลยว่าไอ้เส้นทางเฮงซวยนี่มีความยาวเท่าไหร่
เหตุผลที่ทำให้หลิงหลานชนกำแพงไม่หยุดไม่หย่อนเป็นเพราะเส้นทางนี้มันแคบมากเกินไปจริงๆ มีบางครั้งที่หลิงหลานรู้สึกได้ชัดเจนว่าเธอไม่ได้ทำการควบคุมผิดพลาด พิกัดการกระโดดที่แสดงบนหน้าจอก็เป็นเส้นตรง แต่น่าเสียดายที่หุ่นรบยังคงชนกำแพงอย่างที่อธิบายไม่ได้ นี่ทำให้หลิงหลานท้อแท้ใจอยู่บ้าง ความร้อนรนก็ผุดขึ้นมาในจิตใจเธอเช่นกัน
ให้ตายเถอะ! เส้นทางนี้ไม่อนุญาตให้เธอควบคุมพลาดแม้แต่นิดเดียว นี่คือมาตรฐานที่มือใหม่ควรมีเหรอ? หลิงหลานที่ถูกไฟฟ้าช็อตจนจะขาดใจรู้สึกปวดร้าวใจอย่างหาใดเปรียบ นรกเถอะ ก็อย่างที่บอกไป ผู้ชายที่ชอบยิ้มไม่ใช่คนที่ดีอะไรนักหรอก….
ไม่รู้ว่าล้มเหลวไปเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว จิตใจของหลิงหลานก็เหนื่อยล้าจนถึงจุดวิกฤติ หลังจากถูกไฟฟ้าช็อตอีกรอบ เธอก็ถูกโยนออกมาจากมิติภารกิจ หลิงหลานกลับมาที่ห้องโถงของมิติการเรียนรู้ท่ามกลางความมึนงงอย่างหนักอีกครั้ง
ตอนนี้ห้องโถงนี้ไม่ได้รกเหมือนกับตอนที่เธอเพิ่งเข้ามาแล้ว เสี่ยวซื่อได้จัดการเก็บกวาดพื้นเรียบร้อย ทันทีที่เขาเห็นหลิงหลานปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา เสี่ยวซื่อก็พลันสะดุ้งโหยง ร้องตะโกนด้วยความตกใจว่า “ลูกพี่ เธอถูกไฟฟ้าช็อตมาเหรอ?!”
สมองหลิงหลานแล่นช้ามาก เธอได้ยินเสียงร้องตกใจของเสี่ยวซื่อก็แค่มองเขาอย่างไม่เข้าใจแวบหนึ่ง
เสี่ยวซื่อเห็นดังนั้นก็อดส่ายหัวถอนหายใจออกมาไม่ได้ เขาชี้นิ้วอย่างเห็นใจ ทันใดนั้นกระจกตั้งพื้นบานใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหลิงหลานฉับพลัน
ในกระจกมีร่างคนผู้หนึ่งที่ดำสนิทไปทั่วทั้งร่างถึงขนาดที่ยังปล่อยควันดำออกมากำลังจ้องมองกระจกอย่างเหม่อลอย ยกเว้นแต่ตาขาวของดวงตาคู่นั้นที่ยังคงเป็นสีขาวแล้ว… อ้อ ใช่แล้ว ยังมีฟันที่เป็นสีขาวเหมือนกัน! หลิงหลานยิงฟันใส่กระจก เผยให้เห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยของตัวเอง ฟันยิ่งดูขาวสว่างชัดเจนมากกว่าเดิมเมื่อตัดกับสีดำ
ไม่เพียงแค่นั้น เส้นผมของหลิงหลานยังชี้ฟู แล้วก็ม้วนเป็นก้อน นี่ทำให้หลิงหลานนึกถึงบะหมี่สำเร็จรูปในชาติที่แล้ว ช่างดูแปลกพิลึกยิ่งกว่าพิลึกจริงๆ
“อ้าก! หมายเลขสาม ฉันอยากจะฆ่าเขา…” สภาพน่าอนาถนี้ทำให้หลิงหลานกรีดร้องเสียงแหลมออกมา ตอนนี้เธอไม่มีความโมเอะของหนุ่มน้อยน่ารักเลยสักนิด ทั่วทั้งร่างเธอกลายเป็นปีศาจดำทะมึนที่คืบคลานออกมาจากในเตาไฟแล้ว
เสี่ยวซื่อปิดปากลอบยิ้มขึ้นมา “ลูกพี่ ที่แท้เธอก็เจอหมายเลขสามแล้ว! หึๆ อย่าเห็นว่าเขาทำหน้าสบายๆ เป็นกันเองนะ ความจริงแล้วเขาชอบแกล้งคนที่สุดเลย”
หลิงหลานนิ่งไปถนัดใจ “ที่แท้นายก็รู้จักพวกเขาด้วยเหรอ เสี่ยวซื่อ?” เธอนึกมาตลอดว่าเสี่ยวซื่อกับพวกเขาอยู่กันคนละระบบ ไม่น่าจะได้เจอกัน ดูเหมือนว่าความจริงจะไม่ได้แบบนี้สินะ
“แน่นอนอยู่แล้ว! ฉันมีเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่เยอะแยะที่ต้องให้พวกเขาช่วยหลือ เช่น การต่อสู้พวกนั้น… ถึงยังไงฉันก็แค่รู้จักพวกเขา” เสี่ยวซื่อเกือบจะหลุดปากพูดความจริงออกมา ที่แท้พวกกระบวนท่าจากการขโมยเรียนที่เขาช่วยหลิงหลานดัดแปลงแก้ไขนั้น ความจริงแล้วเป็นความดีความชอบจากการศึกษาวิจัยของเหล่าอาจารย์ ทว่าเสี่ยวซื่อแอบอ้างว่าเป็นผลงานของตัวเองอย่างหน้าไม่อายอย่างยิ่ง
หลิงหลานสัมผัสได้ว่าคำพูดของเสี่ยวซื่อมีปัญหานิดหน่อยก็จ้องมองเขาด้วยความสงสัยแวบหนึ่ง ทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ชองเสี่ยวซื่อเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ กลัวว่าพวกลูกไม้ที่เขาทำจะถูกลูกพี่ค้นพบ เขารีบเปลี่ยนหัวข้อว่า “ลูกพี่ ทำไมถึงอยู่ในสภาพน่าอนาถแบบนี้ล่ะ?”
หลิงหลานได้ยินคำถามของเสี่ยวซื่อก็ไม่สนใจไปคิดเรื่องช่องโหว่ในคำพูดของเสี่ยวซื่อแล้ว เธอถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดด้วยสีหน้าหดหู่ว่า “อาจารย์หมายเลขสามให้ฉันเคลียร์ภารกิจควบคุมหุ่นรบให้ได้…” เธอเกาหัว ขยี้เส้นผมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของตัวเองให้กลายเป็นรังนกทันที สุดท้ายเธอก็ตะโกนอย่างบ้าคลั่งด้วยความหงุดหงิดว่า “อ้าก… เขาไม่ได้สอนอะไรฉันเลย ก็ให้ฉันผ่านไอ้เส้นทางที่แคบจนไม่อาจแคบได้อีกภายในสามนาที นี่มันจะเป็นไปได้ยังไง?”
คำพูดของหลิงหลานทำให้เสี่ยวซื่อสะบัดกำปั้นเล็กๆ ของตัวเองด้วยความโกรธเกรี้ยวทันที กล่าวเหมือนกับคับแค้นใจศัตรูร่วมกันว่า “ใช่เลย หมายเลขสามทำเลยเถิดขนาดนี้ได้ยังไง? ไม่ว่ายังไงก็ต้องให้เวลาลูกพี่ปรับตัวด้วยสิ!”
“เอ่อ…ความจริงๆ แล้วอาจารย์ให้เวลาฉันเคลียร์ภารกิจหนึ่งอาทิตย์น่ะ!” หลิงหลานบอกความจริงให้เสี่ยวซื่อฟังอย่างกระอักกระอ่วน
“ถ้าอย่างนั้นลูกพี่ ทำไมเธอถึงได้ย่ำแย่ขนาดนี้ล่ะ?” ไม่ใช่การฝึกซ้อมหรอกเหรอ? ทำไมรู้สึกเหมือนฝ่าภูเขาคมดาบทะเลเพลิงเสียได้?
หลิงหลานได้ยินก็พูดอย่างทุกข์ใจว่า “ฝึกฝนก็ฝึกฝนสิ แต่ทุกครั้งที่ฉันพลาดก็จะถูกไฟฟ้าช็อตไง”
เสี่ยวซื่อเบิกตาโต เอ่ยด้วยสีหน้าเหลือเชื่อว่า “จะเป็นไปได้ยังไง ฝึกฝนพลาดก็ถูกไฟฟ้าช็อตเนี่ยนะ? ระบบเปลี่ยนเป็นเข้มงวดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” เขาพูดจบก็มองหลิงหลานด้วยสายตาเวทนาแวบหนึ่ง “ลูกพี่ เธอน่าสงสารแล้ว ถ้าเกิดทำภารกิจครั้งนี้พลาด ฉันคิดว่าต่อให้ไม่ตายก็ต้องหนังลอกแล้ว”
หลิงหลานได้ยินแล้ว อารมณ์ก็ดิ่งฮวบยิ่งกว่าเดิม “ใช่ไหมล่ะ ไม่นึกเลยว่าแค่ฝึกพลาดก็จะโดนช็อตไฟฟ้ารุนแรงขนาดนี้แล้ว ถ้าอีกหนึ่งอาทิตย์ฉันไม่ผ่านภารกิจนี้ขึ้นมาละก็…” หลิงหลานสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ในใจรู้สึกถึงวิกฤติหนักมากขึ้นเรื่อยๆ
บทลงโทษในมิติแห่งการเรียนรู้แปลกพิลึกกึกกือ ทว่าทุกรูปแบบจะทำให้คุณยากที่จะลืมไปชั่วชีวิต และก็ไม่อยากเผชิญกับมันสักครั้ง หลิงหลานเคยทำพลาดนับครั้งไม่ถ้วนภายในเงื้อมมืออาจารย์หมายเลขห้า และก็ได้ลิ้มรสพวกบทลงโทษที่คนหวาดหวั่นพรั่นพรึงจนสติแตกมาแล้ว สรุปคือเธอไม่อยากลิ้มรสมันอีกต่อไปแล้วจริงๆ
“แต่มันแปลกมากจริงๆ นะ…” เสี่ยวซื่อที่นั่งอยู่บนบันได มือกอบกุมใบหน้าไว้ขณะที่พูดด้วยความสับสนว่า “ในเมื่อให้เวลาจำกัดในการบรรลุภารกิจนี้ ทำไมถึงยังต้องลงโทษลูกพี่หลังจากที่ฝึกฝนพลาดด้วยล่ะ? นี่มันไม่สอดคล้องกับการตั้งค่าแต่เดิมของระบบเลยนะ?”
เสี่ยวซื่อเป็นคนที่คุ้นเคยกับระบบของมิติการเรียนรู้มากที่สุด ถึงแม้ว่าระบบมิติจะเข้มงวดมาก แต่ทุกการกระทำของมันก็ทำการเข้มงวดตามกฎของมิติการเรียนรู้ หรือว่ายังมีสาเหตุอื่นอีกหรือเปล่า?
เสี่ยวซื่อมองลูกพี่เขาอย่างดูหมิ่น “อาจารย์มีหน้าที่แค่จัดการเรื่องภารกิจเท่านั้น แต่ไม่มีอำนาจตัดสินบทลงโทษเกินขีดจำกัดได้…”
แต่หลิงหลานกลับพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นบทลงโทษของอาจารย์หมายเลขห้าคืออะไรล่ะ? ระดับความโรคจิตนั่นต้องเป็นผลงานของเขาแน่นอน”
เสี่ยวซื่ออธิบาย “นั่นเป็นเพราะลูกพี่ทำภารกิจล้มเหลวไปแล้ว ในหมู่บทลงโทษที่ระบบเสนอมาให้ทั้งหมด อาจารย์มีสิทธิที่จะเลือกอันหนึ่งมาเป็นบทลงโทษ”
หลิงหลานเข้าใจในที่สุด อย่างไรก็ตามแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เธอคิดแล้วก็ไม่เข้าใจมากขึ้น ทำไมระบบถึงไร้เหตุผล ทำการลงโทษเธอหลังจากที่เธอฝึกฝนพลาดด้วยล่ะ?
เสี่ยวซื่อค้นดูกฎของมิติแห่งการเรียนรู้ แล้วในที่สุดก็พบกฎข้อหนึ่งที่ค่อนข้างจะเข้ากับสถานการณ์แปลกประหลาดนี้ “ลูกพี่ ตอนที่เธอฝึกซ้อมได้ทำเรื่องบางอย่างที่ละเมิดกฎหรือเปล่า?”
ถ้าหากโฮสต์ได้กระทำการละเมิดกฎของระบบในตอนที่ฝึกฝน ก็จะได้รับบทลงโทษตามระดับการละเมิด!
หลิงหลานครุ่นคิดอย่างจริงจัง แล้วรู้สึกว่านอกจากตัวเองควบคุมหุ่นรบให้กระโดดชนกับกำแพงแล้ว เธอก็ไม่ได้ทำสิ่งใดอีก หรือระบบคิดว่าการที่เธอกระโดดขึ้นมาชนกำแพงคือการทำลายทรัพย์สินสาธารณะอันแสนบาปช้า ก็เลยมอบบทลงโทษให้เธอ?
หลิงหลานบอกการคาดเดาของเธอให้กับเสี่ยวซื่อ แล้วเสี่ยวซื่อก็ทุบโต๊ะอย่างเห็นด้วย คิดว่าสมมุติฐานของลูกพี่เขามีเหตุผล
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวซื่อสงสัยอย่างหนักว่า “ลูกพี่ ทำไมเธอต้องกระโดดชนกำแพงด้วยล่ะ? เดินไปช้าๆ ก็ไม่มีปัญหาแล้วไม่ใช่เหรอ?”
หลิงหลานพูดด้วยความอับอายว่า “ไม่ใช่เพราะไอ้เวลานับถอยหลังสามนาทีหรือไง? ฉันอยากจะเร่งความเร็วจบไอ้ภารกิจนี้ซะ แต่ยิ่งฉันเร่งเร็ว ก็ยิ่งควบคุมหุ่นรบได้ยาก แล้วพอฉันชนเข้ากับกำแพง เจ้าหุ่นรบก็กระเด้งกระดอนไปมาอย่างกับลูกเด้งทำให้ฉันควบคุมมันไม่ได้เลย แค่ก! สุดท้ายฉันเลยต้องเป็นแค่กระต่ายที่ถูกชนจนหัวหมุน…”
พลังจากการกระแทกที่หุ่นรบได้รับจะส่งผลจริงต่อร่างกายของหลิงหลานในอัตราสามสิบเปอร์เซ็นต์ ต่อให้ร่างกายของหลิงหลานจะแข็งแรงพอๆ กับกระทิง การกระแทกล้มกลิ้งติดต่อกันหลายครั้งก็ทำให้หลิงหลานรู้สึกเกินจะรับไหวอยู่ดี อาการเวียนหัวตาลายทำให้ตระหนักได้ถึงความรู้สึกของกระต่ายที่พุ่งชนต้นไม้โดยสิ้นเชิง
“ลูกพี่ เธอรู้ดีมากๆ ว่าจากความสามารถของเธอในตอนนี้ไม่มีทางทำภารกิจนี้สำเร็จภายในสามนาที งั้นเธอยังจะรีบร้อนอะไรล่ะ? ไม่สู้ทำความคุ้นเคยกับการควบคุมการเคลื่อนไหวของกระต่ายก่อนไม่ดีกว่าเหรอ พยายามควบคุมความเร็วให้ช้าๆ ไม่ให้ชนกำแพง ค่อยๆ เดินไปบนเส้นทาง ทำความคุ้นเคยกับเส้นทางนั้นไม่ดีกว่าเหรอ?” เสี่ยวซื่อไม่เข้าใจการตัดสินใจของหลิงหลานอย่างมาก อย่างไรเสียไม่ใช่ว่าให้เวลาหนึ่งอาทิตย์หรอกเหรอ? ทำไมถึงต้องรีบขนาดนั้นด้วยล่ะ?
หลิงหลานพูดอย่างกลัดกลุ้มว่า “ฉันเองก็ไม่อยากทำนะ! แต่อาจารย์หมายเลขสามพูดว่า ถ้าไม่ผ่านก็จะมีบทลงโทษนี่นา อีกอย่างพอเวลาหมด ฉันก็จะกลับมาที่จุดเริ่มต้น จะให้ฉันทำความคุ้นเคยเส้นทางได้ยังไง…” หลิงหลานพูดถึงตรงนี้ก็สะดุ้งโหยง ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงอะไรบางอย่างได้ แววตาของเธอส่องประกายขึ้นมาทันที
“ขอบคุณนะ เสี่ยวซื่อ!” ทันทีที่เสี่ยวซื่อได้สติกลับมา หลิงหลานก็กอดเสี่ยวซื่อไว้แล้วหอมแก้มเนียนนุ่มน้อยๆ ของเสี่ยวซื่ออย่างหนัก การกระทำอันร้อนแรงนี้ทำให้เสี่ยวซื่อหยุดทำงานทันที ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกลม จบเห่ไปโดยสิ้นเชิง
หลิงหลานไม่ทันสังเกตว่าเสี่ยวซื่อถูกจูบอันไม่คาดฝันของเธอทำให้วิญญาณหลุดลอยไปไกลแล้ว เธอสาวเท้ายาวๆ ไปที่หน้าประตูหุ่นรบก่อนจะผลักมันออกอย่างเด็ดเดี่ยว เธอต้องทดสอบดูว่าสมมุติฐานที่ได้มาเมื่อสักครู่นี้ถูกต้องหรือไม่
เมื่อเข้าไปในประตู เธอก็เห็นอาจารย์หมายเลขสามกับหุ่นรบกระต่ายของเธอตัวนั้น เมื่ออาจารย์หมายเลขสามเห็นหลิงหลานกลับมาอีกครั้ง ก็เอ่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจว่า “ฉันนึกว่าเธอจะมาพรุ่งนี้เสียอีก? ทำไมยังมีแรงฝึกฝนอยู่อีกล่ะ?”
หลิงหลานพูดเสียงเย็นว่า “ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นค่ะ” ถ้าเกิดว่ามันหมือนกับที่เธอคิดเอาไว้จริงๆ อาจารย์หมายเลขสามก็หน้าเนื้อใจเสือมากเกินไปแล้ว
อาจารย์หมายเลขสามเหมือนจะไม่เห็นสีหน้าดำมืดของหลิงหลาน เขาพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบานว่า “งั้นก็ดี! เข้าไปในหุ่นรบสิ”
…………………………
Related