I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 154 ฟื้นคืนสติ!
ณ อวกาศ ภายในห้องบัญชาการยานแม่ของจักรวรรดิฮิงูเระ คนกลุ่มหนึ่งอดทนเฝ้ารอมาหลายชั่วโมงแล้ว ทว่าตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้พวกเขาไม่ได้รับข่าวดีจากทางด้านล่างเลย นี่ทำให้พวกเขารู้สึกหงุดหงิดฉุนเฉียวอยู่บ้าง ทยอยกันปรึกษาว่าต่อไปจะต้องจัดการอย่างไรดี
“ผู้บัญชาการ ตอนนี้กองทัพยานรบกำลังเสริมของฝ่ายตรงข้ามมาถึงที่นี่แล้ว ส่วนกองทัพยานรบหนุนของพวกเราก็อยู่ตรงนี้แล้วครับ” เสนาธิการชี้ไปยังแผนที่ดวงดาวบนหน้าจอขนาดใหญ่ รายงานสภาพกองกำลังทหารให้กับผู้บัญชาการสูงสุด
“อีกสามชั่วโมง ยานรบของฝ่ายตรงข้ามก็จะปรากฏตัวขึ้นที่นอกชั้นบรรยากาศของดาวดวงนี้ครับ” เสนาธิการกล่าวต่อหลังจากที่อ่านข้อมูลประมาณการณ์ล่วงหน้า
“ก่อนที่กองยานรบหนุนนี้จะมาถึงที่นี่ พวกมันน่าจะถูกกองทัพเสริมที่จักรวรรดิเราส่งมาโจมตี พวกเรายังพอมีเวลาครับ” เสนาธิการไม่ยอมแพ้แค่นี้แน่นอน ตอนนี้บนดาวอยู่ในสภาพรบกันนัว ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายแล้วผู้แพ้ผู้ชนะคือใคร
“ตอนนี้พวกอิเคดะคุงอยู่ที่ไหน?” ผู้บัญชาการเอ่ยถามอีก
“ลงสู่ดาวได้อย่างปลอดภัยแล้วครับ กำลังทำการปฏิบัติการตัดหัวอยู่ แต่ว่ามีแค่สองทีมเท่านั้นที่รวมกลุ่มกันสำเร็จ ส่วนทีมอื่นๆ ถ้าไม่ได้หายสาบสูญไป ก็เป็นวีรบุรุษที่ยอมสละชีพเพื่อเกียรติยศไปแล้วครับ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการอีกทางด้านหนึ่งที่รู้ตัวเลขผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตดีเอ่ยปากขึ้น
“กองทัพยานรบอื่นของสหพันธรัฐมีการเคลื่อนไหวผิดปกติอะไรไหม?” ผู้บัญชาการเอ่ยถามเสนาธิการ
เสนาธิการชี้ไปยังสามจุดที่อยู่ใกล้กับดาวดวงนี้มากที่สุดพลางกล่าวว่า “สามจุดนี้มีกองยานรบเสริมเคลื่อนพลแล้ว ถึงแม้ว่าสายลับของเราจะค้นหาจุดหมายปลายทางของพวกเขาไม่เจอ แต่ว่าดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ พวกมันต้องพุ่งมาหาพวกเราที่นี่แน่นอนครับ”
“ถ้าพวกมันมา เราไม่มีโอกาสชนะอะไรในสงครามนี้เลย” ดาวดวงนี้อยู่ใกล้กับสหพันธรัฐ ซีซาร์ แล้วก็กัลแลนด์สามประเทศ ไกลกับฮิงูเระอยู่บ้างจริงๆ ดังนั้น กองทัพอวกาศของพวกเขาไม่มีทางส่งกองทัพมาช่วยเหลือได้เร็วเหมือนกับสหพันธรัฐ
ผู้บัญชาการครุ่นคิดสักพักก่อนจะเอ่ยถามว่า “พวกเรายังเหลือเวลามากสุดแค่ไหน?”
“ถ้าเกิดไม่พิจารณาเรื่องกองทัพที่อยู่ใกล้ที่สุด มีเวลามากสุดแค่เจ็ดชั่วโมงเท่านั้นครับ” เสนาธิการมอบเวลาที่เหลืออยู่ให้กับพวกเขาอย่างเฉียบขาด
“สั่งอิเคดะคุงว่า พวกเขามีเวลาแค่เจ็ดชั่วโมง ไม่สิ มีแค่หกชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ถ้าเกิดหกชั่วโมงครึ่งแล้ว ไม่สามารถปฏิบัติการตัดหัวได้ พวกเขาจะกลายเป็นคนถูกทิ้ง” ผู้บัญชาการกล่าวอย่างอำมหิตเย็นชา
“ไฮ้!” ทุกคนต่างก้มหน้ารับคำสั่งด้วยความหวาดกลัว ในฮิงูเระ ผู้บัญชาการสูงสุดสามารถตัดสินความเป็นความตายของทหารเบื้องล่างได้ทั้งหมด
เวลาผ่านไปทีละนิด กองทัพเสริมกองแรกของสหพันธรัฐที่มาช่วยสนับสนุนยังไม่ทันได้เข้าสู่ขอบเขตอวกาศของดาวดวงนี้ก็ถูกกองทัพที่มาจากจักรวรรดิฮิงูเระซุ่มโจมตีแล้ว ทั้งสองฝ่ายเปิดฉากมหาสงครามอวกาศอย่างรุนแรง ทั้งสองประเทศมียานรบอย่างน้อยที่สุดหนึ่งพันลำ ทหารอวกาศแสนกว่าคนได้เสียชีวิตในสงครามอวกาศครั้งนี้
เมื่อเวลาเหลืออยู่ครึ่งชั่งโมงสุดท้าย ภายในห้องบัญชาการยานแม่ฮิงูเระเต็มไปด้วยความมืดครึ้ม สีหน้าของทุกคนต่างเป็นสีเทา พวกเขาสัมผัสได้ถึงความล้มเหลวจากแผนการรุกรานของพวกเขาในครั้งนี้
“ทำไมจนถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวของอิเคดะคุงเลย?” เมื่อเห็นกองทัพหนุนของฝ่ายตรงข้ามกำลังจะมาถึง ผู้บัญชาการยานแม่ที่อยู่ในอวกาศก็เริ่มเดือดดาลขึ้นมา
คนข้างกายได้แต่ก้มหน้าเงียบๆ เวลานี้ทุกคนต่างรู้สึกว่าหัวหน้าทีมอิเคดะอาจจะอยู่ในสภาพเลวร้ายมากกว่าดีแล้ว
“บากะ ไอ้พวกขยะ!” ความจริงแล้วในใจผู้บัญชาเองก็สังหรณ์ใจว่าท่าไม่ดีแล้ว เพียงแต่เขาไม่ยอมเชื่อมาตลอดเท่านั้น พวกเขาย่อมไม่รู้ว่า หุ่นรบไพ่ราชาที่เหลืออยู่เพียงสองทีมของพวกเขา หนึ่งทีมในนั้นเสียชีวิตในเงื้อมมือของหลิงหลานอย่างไร้สุ้มไร้เสียงไปแล้ว ทว่าความจริงข้อนี้จะไม่มีคนรู้ไปตลอดกาล นอกจากพวกฉีหลงสี่คน
ส่วนอีกทีมโชคร้ายบังเอิญเจอหน่วยหุ่นรบผู้บัญชาการสูงสุดของค่ายทหาร ตัวผู้บัญชาการสูงสุดก็เป็นผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาขั้นสูงสุด ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็สามารถเลื่อนขั้นไปสู่ระดับราชันได้ และคนที่อ่อนด้อยที่สุดในหน่วยรบคุ้มกันของเขาก็เป็นผู้ควบคุมหุ่นรบระดับพิเศษ นอกจากนี้ผู้บัญชาการของค่ายทหารก็เป็นคนเจ้าเล่ห์อีกด้วย เมื่อเห็นทีมไพ่ราชาของฝ่ายตรงข้ามก็สั่งการให้หน่วยหุ่นรบโอบล้อมสังหาร
ทีมนั้นไม่มีโอกาสได้ต่อต้านก็เสียชีวิตอยู่ท่ามกลางปืนเลเซอร์ที่หุ่นรบระดมยิงออกมานับไม่ถ้วน ปฏิบัติการตัดหัวจึงถูกทำลายลงอย่างง่ายดายเช่นนี้เอง
เมื่อพวกฉีหลงกลับมาที่ฐานบัญชาการได้อย่างปลอดภัย สงครามก็อยู่ในช่วงสิ้นสุดลงแล้ว ยานรบในอวกาศเริ่มถอนทัพไปยังอาณาเขตประเทศของตัวเองตามแผนการ
เมื่อยานอวกาศถอนทัพไปก็หมายความว่าผู้ควบคุมหุ่นรบที่ถูกปล่อยอยู่บนดาวเหล่านี้ได้กลายเป็นผู้ถูกทิ้งไปแล้ว ฐานบัญชาการของดาวส่งสัญญาณเรียกให้ยอมแพ้ออกมา อย่างไรก็ตาม ผู้ควบคุมหุ่นรบของฮิงูเระถูกจักรวรรดิฮิงูเระล้างสมองไปโดยสิ้นเชิงแล้ว เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่มีหนทางรอด ขวัญกำลังใจของผู้ควบคุมหุ่นรบฮิงูเระเหล่านี้ก็ไม่ได้ตกต่ำลง และก็ ไม่ได้เลือกยอมจำนน หากแต่ระเบิดพลังต่อสู้อันน่าตกใจออกมา ลากผู้ควบคุมหุ่นรบของสหพันธรัฐหลายคนตายตกไปด้วยกัน นี่ทำให้พวกผู้ควบคุมหุ่นรบของสหพันธรัฐตกตะลึงจนหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาทั่วร่าง ไม่กล้าสงสารผู้ถูกทิ้งเหล่านี้อีก เมื่อเห็นคนที่รอดชีวิตก็ยิงถล่มให้ตายทันที
สถานการณ์แบบนี้ทำให้ผู้บาดเจ็บของทั้งสองประเทศลดลงมาก ฮิงูเระไม่ต้องการจับเชลย ดังนั้นในขณะที่ได้รับชัยชนะก็กำจัดชีวิตของคู่ต่อสู้ทันที ส่วนสหพันธรัฐก็ทำการตาต่อตาฟันต่อฟัน จนสุดท้ายจึงทำการยิงสังหารมาตลอด ไม่มีใครยอมจับเชลยที่เอาชีวิตเพื่อนร่วมรบของพวกเขาไป
……………..
พวกฉีหลงฝืนเดินทางมาสิบห้าชั่วโมงเต็มถึงค่อยกลับมายังฐานที่มั่น เมื่อเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ของค่ายทหารเห็นพวกฉีหลงแบกหลิงหลานที่สลบไสลไม่ได้สติมาก็รีบให้พวกฉีหลงวางหลิงหลานเข้าไปยังหนึ่งในแคปซูลรักษาเพื่อทำการรักษา
“โชคดีที่พวกเธอกลับมาทันเวลา ถ้าเกิดช้าไปอีกหนึ่งชั่วโมง เกรงว่าแคปซูลรักษาจะรักษาได้ไม่ดีแล้ว” เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เห็นข้อมูลที่ส่งกลับออกมาจากในแคปซูลรักษาก็อดรู้สึกดีใจที่บังเอิญโชคดีขึ้นมาไม่ได้
ฉีหลงเอ่ยถามด้วยความร้อนใจว่า “ถ้างั้นเขาต้องใช้เวลารักษากี่ชั่วโมงถึงจะฟื้นครับ?”
“ถ้าเรื่องฟื้น บางทีประมาณสามวันก็ได้แล้ว แต่ถ้าอยากจะรักษาร่างกายของเขาให้หายดีเป็นปลิดทิ้ง คาดว่าจะต้องนอนอยู่ในแคปซูลรักษาสามเดือน” เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ไม่ได้กล่าวเกินจริง อันที่จริงร่างกายของหลิงหลานเกือบจะพังไปแล้ว เพียงแต่ภายในร่างกายยังรักษาพลังชีวิตสายหนึ่งไว้ และพลังชีวิตสายนี้บังเอิญมอบพลังงานในการฟื้นฟูหลิงหลานพอดี ถ้าหากพลังชีวิตสายนี้ถูกทำลายหมด ต่อให้หลิงหลานนอนอยู่ในแคปซูลรักษาสิบปีก็ไม่มีประโยชน์
“สามเดือน นานขนาดนี้เชียว?” นี่ทำให้บรรดาเพื่อนๆ ตัวน้อยรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมา พวกเขารู้ว่าหลิงหลานได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก แต่ไม่คาดคิดว่าจะบาดเจ็บหนักขนาดนี้
“นานขนาดนี้? หนูๆ ทั้งหลาย พวกเธอควรจะดีใจที่ใช้เวลาแค่สามเดือนนะ ไม่ใช่ว่าไม่ต้องใช้เวลาเลย” เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ส่ายหน้าถอนหายใจ มีแค่เด็กเท่านั้นที่จะคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องระยะเวลาในการรักษา สำหรับพวกเขาที่เคยชินกับการเห็นความเป็นความตายแล้ว ขอเพียงยังมีโอกาสได้นอนรักษาอยู่ข้างใน ไม่ว่าใช้เวลานานเท่าไหร่ก็เป็นเรื่องน่ายินดีแล้ว
ทุกวันเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์มีคนไข้เข้าออกนับไม่ถ้วน หลังจากที่จัดการหลิงหลานเรียบร้อยแล้วก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจอีก ส่วนพวกฉีหลงก็มาที่แผนกรักษาเฝ้าอยู่ด้านหน้าแคปซูลรักษารอคอยการฟื้นคืนสติของหลิงหลานแทบจะทุกวัน
เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ยอดเยี่ยมมาก บอกว่าสามวัน หลิงหลานก็ได้สติรางๆ ในวันที่สาม
พวกเขาตื่นเต้นมาก รีบสอบถามหลิงหลานว่าต้องการอะไร
หลิงหลานส่ายหน้าให้กับพวกเขา ส่วนเสี่ยวซื่อก็บอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากที่เธอหมดสติให้ฟัง และก็รู้ว่าพวกฉีหลงสี่คนรู้เรื่องที่เธอสามารถบังคับหุ่นรบแล้ว อย่างไรก็ตาม หลิงหลานพอใจการจัดการกับปัญหาในตอนสุดท้ายของหานจี้จวินมาก เดิมทีเธอเองก็คิดจะใช้เจ้านี่มาทำลายของทุกอย่างที่สามารถเปิดข้อมูลของเธอเหมือนกัน
เวลานี้ในที่สุดดาวดวงนี้ก็ถูกสหพันธรัฐควบคุมไว้ได้ พวกเขาสังหารทหารฮิงูเระทุกคนที่รุกรานเข้ามาในดวงดาวจนหมด แน่นอนว่ายังมีผู้ควบคุมหุ่นรบฮิงูเระบางส่วนที่เลือกทิ้งหุ่นรบและหนีเข้าไปซ่อนตัวในป่าคนเดียวเพื่อรอคอยโอกาสตอบโต้กลับในครั้งต่อไป
สหพันธรัฐเองก็ไม่ได้ส่งกองทหารไปกว้างล้างคนกลุ่มนี้ เนื่องจากเมื่อพวกเขาเข้าไปในเขตสัตว์อสูรระดับ F พวกผู้ควบคุมหุ่นรบที่ไม่มีหุ่นรบย่อมไม่อาจจัดการกับสัตว์อสูรเหล่านั้นได้เท่าไหร่จริงๆ…
การก่อสร้างใหม่หลังจากสงครามรวดเร็วมากเช่นกัน วัตถุดิบทรัพยากรจากสหพันธรัฐถูกส่งมาที่ดาวไม่หยุดหย่อน นี่ก็ต้องขอบคุณจักรวรรดิฮิงูเระ เพราะการรุกรานของพวกเขาในครั้งนี้ได้บีบให้สหพันธรัฐประกาศพิกัดตำแหน่งดวงดาวลึกลับ และจัดมันเข้าไปในอาณาเขตของสหพันธรัฐ ตั้งชื่อว่า ดาวสัตว์อสูร เนื่องจากไม่มีอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากสัตว์อสูรที่ไม่หมดไม่สิ้น….
ผ่านไปครึ่งเดือน พวกฉีหลงกลับมาทำภารกิจล่าสัตว์ต่อ แน่นอนว่าพวกเขาไม่ลืมแบ่งผลที่เก็บเกี่ยวกลับมาทุกครั้งให้หลิงหลานส่วนหนึ่ง เวลาสามเดือนผ่านไปเช่นนี้เอง ในที่สุดหลิงหลานก็ถูกเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์แจ้งว่าสามารถออกจาก แคปซูลรักษา เริ่มใช้ชีวิตอย่างอิสระได้แล้ว
สิ่งแรกที่หลิงหลานลุกขึ้นมาทำก็คือไปทานอาหาร เพราะว่าเธอหิวจะตายแล้วจริงๆ ถึงแม้ว่ายาบำรุงสามารถเติมธาตุต่างๆ ที่ร่างกายต้องการได้เพียงพอ แต่ว่ากระเพาะที่ทำงานอย่างปกติมาเป็นเวลาสิบปียังไม่สามารถต้านทานความรู้สึกหิวแบบนี้ได้
เมื่อเธอรับประทานอาหารอย่างอิ่มหนำเสร็จถึงค่อยสังเกตเห็นว่าฉีหลง หานจี้จวินและคนอื่นๆ กำลังอดทนนั่งอยู่ด้านข้างรอคอยให้เธอทานอาหารเสร็จ
“พวกนายมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” หลิงหลานงงงัน เมื่อสักครู่นี่เธอทานอาหารอย่างใจจดใจจ่อ ทำให้เธอไม่ได้สนใจสถานการณ์รอบตัว
แน่นอนว่าเธอเค้นถามเสี่ยวซื่อแล้วว่าทำไมถึงไม่เตือนเธอ ทำให้เสี่ยวซื่อพูดไม่ออกอย่างมาก คนพวกนี้เป็นสมาชิกที่ลูกพี่เคยสั่งว่าไม่จำเป็นต้องแจ้งเตือนเธอ นี่ลูกพี่เปลี่ยนความคิดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ทำไมเขาไม่รู้เลยล่ะ?
“เพิ่งมาไม่นาน เห็นลูกพี่กินข้าวอย่างมีความสุข พวกเขาก็รู้สึกดีใจมาก” หานจี้จวินตอบยิ้มๆ
หลิงหลานนวดหว่างคิ้วอย่างจนใจ เอ่ยด้วยความกลัดกลุ้มว่า “หานจี้จวิน อยากถามอะไรก็ถามมาเถอะ ท่าทางลับๆ ล่อๆ แบบนี้ไม่เหมาะกับนายเลยจริงๆ” หานจี้จวินเปลี่ยนจากลูกเสือที่เคร่งขรึมกลายเป็นคุณชายที่อบอุ่นใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มทันที มองยังไงก็ไม่สบอารมณ์ หลิงหลานรู้สึกขนลุกไปทั่วร่างเท่านั้น
“ดูเหมือนที่นี่จะไม่เหมาะนะ” หานจี้จวินเก็บรอยยิ้ม กล่าวด้วยความเสียใจพลางมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง
เนื่องจากการก่อสร้างใหม่หลังสงครามเริ่มต้นมาได้สามเดือนกว่าแล้ว พวกทหารเก่าแก่มากมายต่างได้รับอาวุธใหม่ของตัวเองก็เลยอารมณ์ดีอย่างยิ่งยวด ดังนั้นถึงได้เห็นบรรยากาศคึกคักอบอุ่นในแต่ละโต๊ะอย่างง่ายดายมากๆ
หลิงหลานเห็นดังนั้นเลยผงกศีรษะพูดว่า “ก็จริง ถ้างั้นพวกเรากลับไปที่หอพักกันเถอะ”
หลิงหลานพาพวกฉีหลงมาที่หอพักของพวกเขา เธออาบน้ำก่อน หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นชุดป้องกันชุดใหม่ถึงค่อยนั่งลงบนตำแหน่งของตัวเองก่อนจะพูดว่า “เอาล่ะ มีคำถามอะไรก็ถามมาเถอะ แต่ว่าได้แค่วันนี้เท่านั้นนะ” หลิงหลานไม่ใช่คนที่ชอบเล่าเรื่องตัวเอง ดังนั้นเธอถึงไม่ได้บอกเรื่องที่พ่อของเธอคือหลิงเซียวให้พวกเขาฟังลากยาวมานานขนาดนี้
……………………..