I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 163 เริ่มต้นการต่อสู้ประจัญบาน!
ถึงแม้ว่าในใจผู้อำนวยการจะตกใจโมโหแต่ก็ยากจะปกปิดความปลื้มปิติที่มีต่อทายาทของสหายต่างวัยในตอนนั้น เขาเก็บอารมณ์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยตำหนิเสียงดังใส่อาจารย์ที่นั่งนิ่งอยู่ในห้องอาหารที่ยังคงอยู่ในสภาพตะลึงงันว่า “จะทานอะไรอีกล่ะ ยังไม่ขยับอีก…”
“เอ่อ…” พวกอาจารย์เจอร่างอารมณ์รุนแรงของท่านผู้อำนวยการไปก็ตกตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง ไม่คาดคิดว่าท่านผู้อำนวยการที่อ่อนโยนจะมีช่วงเวลาที่หยาบคายแบบนี้เหมือนกัน
“อีกสักครู่ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักจะส่งกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ประจัญบานไปที่อุปกรณ์สื่อสารของพวกนาย” ผู้อำนวยการเอ่ยด้วยความกระวนกระวาย “ทุกคนทำการตั้งมั่นเตรียมพร้อมรับมือ ตรวจตราดูทั่วทุกที่ ให้ความสนใจกับสัญญาณขอความช่วยเหลือที่ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักส่งมา ช่วยคนอย่างสุดความสามารถในช่วงเวลาวิกฤติ!” เมื่อไฟไหม้มาถึงคิ้วแล้ว[1] ต่อให้เป็นคนที่อ่อนโยนอีกแค่ไหนก็กินรังแตนแล้ว ถ้าหากเกิดการบาดเจ็บล้มตายมหาศาลขึ้นมาจริงๆ ละก็ เขาก็ Hold ไม่ไหวเหมือนกัน
“ครับ! ผู้อำนวยการ!” พวกอาจารย์ค่อยได้สติขึ้นมา เมื่อการต่อสู้ประจัญบานเปิดฉากขึ้น ความรับผิดชอบของพวกเขาย่อมไม่ง่ายเลย ในขณะที่พวกเขาต้องควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด ยังต้องแปลงร่างเป็นซุปเปอร์แมนที่มีความสามารถทุกด้านไปช่วยชีวิตนักเรียนในยามวิกฤติอีก
“แม่งเอ๊ย เป็นกลุ่มตัวปัญหาและสร้างความวุ่นวายจริงๆ…” ถึงแม้ว่าพวกอาจารย์จะบ่น แต่ไม่มีใครสักคนรู้สึกไม่พอใจ โดยเฉพาะพวกอาจารย์ของปีเจ็ดที่ปกปิดสีหน้าภาคภูมิใจได้ยากยิ่ง สร้างความอิจฉาให้กับอาจารย์คนอื่นๆ ใครใช้ให้เด็กที่พวกเขาสั่งสอนออกมามีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวอย่างนี้ล่ะ
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ของปีสิบดูหม่นหมองอยู่บ้าง เดิมทีพวกเขายังไม่รู้สึกว่านักเรียนของตัวเองโดดเด่นมากแล้ว แต่เมื่อเทียบกับนักเรียนปีเจ็ด พวกเขาก็รู้สึกว่านักเรียนที่ตัวเองสั่งสอนออกมายังมีความสามารถไม่พออยู่บ้าง
พวกอาจารย์ออกไปจากห้องอาหารอย่างรวดเร็ว เมื่อภายในห้องอาหารไม่เหลือใครสักคน สีหน้าของท่านผู้อำนวยการก็เหมือนกับเปลี่ยนไปก็ไม่ปาน ท่าทีเดือดดาลแต่เดิมของเขาหายไปทันใด ไม่เพียงเท่านั้น มุมปากของเขายังโค้งขึ้นมาในมุมองศาที่ดูน่าสงสัย บ่งบอกว่าอารมณ์ของเขาดีสุดขีด
“บางทีเด็กพวกนี้อาจจะเป็นอนาคตของสหพันธรัฐก็ได้…” ท่านผู้อำนวยการที่เฉลียวฉลาดคิดอะไรรอบคอบรู้ดีว่า พวกเด็กๆ ในตอนนี้ขาดอะไรไป
“การต่อสู้ประจัญบาน…มาได้ทันเวลาจริงๆ! หลิงเซียว ถ้าหากลูกชายของนายวางแผนและไม่ได้ทำมั่วซั่ว เขาก็ร้ายกาจจริงๆ…” ถ้าเกิดเขามองเรื่องนี้ออกจริงๆ และตั้งใจทำการต่อสู้ประจัญบานขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อให้พวกเด็กๆ มีโอกาส ปลุกพรสวรรค์ นั่นก็หมายความว่าหลิงหลานไม่ได้เป็นนักรบเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นนักกลยุทธ์ ถ้าหากเขาเติบโตต่อไป ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสกลายเป็นจอมพลในตำนาน
เลือดและสงครามถึงจะเป็นแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ในการการบ่มเพาะผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง! คนแก่ๆ อย่างพวกเขาอายุเยอะขึ้นไปทุกที จึงไม่อาจทำใจอบรมสั่งสอนคนรุ่นหลังอย่างไร้ความปราณีมากขึ้นเรื่อยๆ ยินดีเลือกพวกวิธีการสอนที่ปลอดภัย ไม่ยอมให้พวกเด็กๆ เสี่ยงอันตราย แต่ความจริงแล้วร้อยปีมานี้ เมื่อเทียบกับหนึ่งร้อยปีก่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่าจำนวนผู้ควบคุมหุ่นรบที่เลื่อนขั้นไปสู่ระดับท็อปลดลงอย่างน่าเศร้า ต่อให้มีหลิงเซียวอัจฉริยะแห่งยุคถือกำเนิดออกมา แต่ก็ไม่อาจปกปิดเรื่องนี้ได้ ถึงแม้ว่าการสอนของหนึ่งร้อยปีก่อนจะโหดเหี้ยมเต็มไปด้วยกลิ่นอายคาวเลือด แต่ผู้ควบคุมหุ่นรบชั้นยอดที่โดดเด่นกลับปรากฎตัวออกมารุ่นแล้วรุ่นเล่าอย่างไม่ขาดสาย…การที่สหพันธรัฐมีฐานะแบบนี้ได้ในตอนนี้เป็นเพราะผู้ควบคุมหุ่นรบชั้นยอดรุ่นแล้วรุ่นเล่ากลุ่มนี้สร้างออกมา
ถึงแม้ว่าท่านผู้อำนวยการจะรู้ข้อบกพร่องของพวกเขาอยู่แก่ใจ แต่เขากลับไม่มีความกล้าเปิดการต่อสู้ประจัญบานเอง…ไม่นึกเลยว่าปีนี้นักเรียนห้องพิเศษปีเจ็ดกลับช่วยเขาตัดสินใจออกมา
………..
จัตุรัสรื่อเย่ว์เขต N พวกหลิงหลานมาถึงสถานที่ตั้งแล้ว เวลานี้หุ่นยนต์ขนส่งอัจฉริยะของสถาบันได้นำกระบองยางมากองไว้เต็มจัตุรัสรื่อเย่ว์ จัตุรัสจื้อโหยวของปีสิบก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน
ทุกคนที่เข้าร่วมการต่อสู้ประจัญบาน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนที่ท้าประลองหรือว่าถูกท้าประลอง พวกเขาต่างได้รับกฎที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ประจัญบาน รู้ว่าอาวุธของพวกเขาในการต่อสู้ประจัญบานมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือกระบองยางพวกนี้ ถ้าหากพบว่ามีอาวุธอย่างอื่นปรากฎขึ้น คนผู้นั้นก็จะถูกขับออกจากสถาบันทันที และโดนหักคะแนนการต่อสู้ 1000 แต้ม แน่นอนว่าคุณอยากหยิบกระบองยางไปมากแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา ขอเพียงคุณแบกไปได้
นักเรียนปีเจ็ดทยอยกันหยิบอาวุธของตัวเองโดยที่ไม่ต้องสั่ง บางคนหยิบมาหนึ่งอัน บางคนหยิบมาสองอัน นี่ต้องดูว่า คุณถนัดใช้อาวุธมือเดียวหรือว่าอาวุธสองมือ
หลิงหลานหยิบมาหนึ่งอันเป็นพิธี ความจริงแล้วจากความสามารถของหลิงหลาน จะหยิบกระบองยางมาหรือไม่นั้นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรเลย แต่ในเมื่อทุกคนต่างหยิบมา เธอก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ จะทำตัวโดดเด่นมากเกินไปไม่ได้
ในขณะที่หลิงหลานคิดว่าเธอต้องอดทนรอคอยให้การต่อสู้ประจัญบานเริ่มต้นขึ้นก็พอนั้น ไม่นึกเลยว่าฉีหลงกับอู่จย่งจะร่วมมือกันขายเธอ พวกเขาเลือกเธอให้รับหน้าที่เป็นผู้นำในการต่อสู้ประจัญบานครั้งนี้โดยที่เธอไม่ได้รู้มาก่อนเลย และให้เธอวางแผนโดยรวมและระดมพลก่อนเริ่มการต่อสู้ จากคำพูดอู่จย่ง ในเมื่อการต่อสู้ประจัญบ้านเป็นเรื่องที่หลิงหลานตัดสินใจริเริ่ม เช่นนั้นเธอก็ต้องรับผิดชอบจนถึงที่สุด
หลิงหลานไม่ได้ปัดความรับผิดชอบเช่นกัน เดิมทีเธอก็อยากจัดการปัญหาที่มาจากชั้นปีสูงให้เสร็จเรียบร้อยทีเดียวไปเลย เธอยืนอยู่บนเวทีเปิดโล่งของจัตุรัสรื่อเย่ว์ ใช้เครื่องขยายเสียงที่นั่นพูดออกมาว่า “ทุกคนบอกว่าพวกเราปีเจ็ดบ้าไปแล้ว ถึงได้เปิดการต่อสู้ประจัญบาน…แต่ว่าพวกเราบ้าไปแล้วจริงๆ เหรอ?”
“ไม่!” น้ำเสียงที่มุ่งมั่นเด็ดขาดของหลิงหลานทำให้ความสนใจทั้งหมดของนักเรียนปีเจ็ดพุ่งรวมกันเข้ามา
“หลังจากที่พวกเราเข้ามาในเขตระดับสูงแล้ว ทุกคนถูกรุ่นพี่ปีสูงกลั่นแกล้งไม่มากก็น้อย ถึงขนาดที่โดนดูถูก การที่ตัดสินใจอดทนไม่ให้โดนกลั่นแกล้งรุนแรงเพื่อที่จะจบการศึกษาได้อย่างปลอดภัยก็นับว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องอย่างหนึ่ง ฉันเห็นด้วย!” คำพูดของหลิงหลานทำให้นักเรียนปีเจ็ดส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา ในเมื่อการอดทนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แล้วทำไมต้องเปิดการต่อสู้ประจัญบานด้วยล่ะ?
“แต่การอดทนสามารถแก้ไขปัญหาได้เหรอ? มันไม่ได้ไง!” เสียงของหลิงหลานเย็นชาขึ้นมาฉับพลัน ถึงขนาดที่ซ่อนจิตสังหารไว้ “รุ่นพี่ปีสูงไม่ได้หยุดมือเพราะนายอดทน พวกเขาถึงขนาดทำรุนแรงขึ้น ข่มเหงรังแกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันเชื่อว่าทุกคนสัมผัสถึงเรื่องนี้ได้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกเราจะอดทนต่อไปอีกทำไม? อดทนเพื่อให้หลายปีนี้ผ่านไป หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นรุ่นพี่ปีสูงที่อัปลักษณ์น่ารังเกียจพวกนั้น มารังแกพวกรุ่นน้องที่เข้ามาใหม่เพื่อหาทางปลอบใจตัวเองในตอนสุดท้ายเหรอ?”
“นี่เป็นเส้นทางที่พวกเราอยากเดินหรือไง?” แววตาของหลิงหลานเย็นเยียบสุดขีด ทำให้นักเรียนปีเจ็ดทุกคนรู้สึกหวาดหวั่น ไม่กล้าจ้องมองเธอตรงๆ
“อยากหรือไม่อยาก?” หลิงหลานตวาดเสียงดังก้องข้างหูทุกคน
“ไม่อยาก!” ฉีหลงตะโกนเสียงสูงขึ้นมาเป็นคนแรก ตามต่อด้วยพวกอู่จย่ง เสียงตะโกนดังขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายทุกคนก็เข้าร่วม หลอมรวมกันเป็นคลื่นเสียงที่ดังสนั่นว่า “ไม่อยาก!”
นี่เป็นเสียงในใจของนักเรียนปีเจ็ดในตอนนี้ พวกเขายังไม่เคยโดนรังแกจนถึงขั้นสูญเสียจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ไป ไม่ได้มีจิตใจบิดเบี้ยวเพราะถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม พวกเขาเต็มเปี่ยมด้วยความกล้าหาญและเจตจำนงในการต่อสู้ ดังนั้นถึงได้ปฏิเสธที่จะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนอัปลักษณ์น่ารังเกียจ
“ประวัติศาสตร์ดำมืดต้องสิ้นสุดลง ขนบธรรมเนียมดำมืดไม่ควรปรากฏขึ้นในเปลบ่มเพาะทหารที่มีคุณวุฒิ และพวกเรานักเรียนปีเจ็ดจะเป็นคนจบขนบธรรมเนียมดำมืดนี้…เป็นผู้กล้าต่อต้าน!”
“ผู้กล้า! ผู้กล้า! ผู้กล้า!” ทุกคนถูกคำพูดของหลิงหลานกระตุ้นจนเดือดเลือดพล่าน ร่องรอยความหวาดกลัวที่เดิมทีหลงเหลืออยู่ในจิตใจได้หายไปจนหมด ในสมองทุกคนมีเพียงการต่อสู้เท่านั้น!
หลิงหลานกดสองมือลงทำให้เสียงของนักเรียนด้านล่างเงียบไป หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เอ่ยต่อว่า “แน่นอนว่า ฉันเองก็ไม่อยากให้พวกเรามีแต่ความกล้าบ้าบิ่น นักปราชญ์กับผู้กล้าต้องอยู่พร้อมกัน เพราะฉะนั้นฉันแนะนำให้ห้องดีเด่นและห้องทั่วไปอาศัยทีมต่อสู้เป็นหน่วย!”
“ฉันไม่แนะนำให้พวกนายเคลื่อนไหวคนเดียว ถึงแม้ว่าการต่อสู้ประจัญบานจะเป็นการต่อสู้ตะลุมบอนขนาดใหญ่ แต่ก็เหมาะกับการให้ทีมร่วมมือมากๆ ฉันไม่อยากเห็นใครสักคนในปีเจ็ดของพวกเราหายไป อย่าลืมว่าข้างกายนายมีพี่ชายน้องชายของนาย พี่สาวน้องสาวของนาย เพื่อนๆ ของนาย สหายร่วมรบของนายอยู่ นายไม่ได้ต่อสู้คนเดียว!”
คำพูดประโยคนี้ได้รับการเห็นชอบจากทุกคนในปีเจ็ด ทุกคนมองไปที่บรรดาเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมรบข้างกาย ตัดสินใจว่าจะต่อสู้กับพวกเพื่อนๆ ไปจนถึงที่สุด!
“นอกจากนี้ อย่าลืมอ่านกฎการต่อสู้ประจัญบานให้ดี เมื่อพวกนายเจอนักเรียนห้องสเปเชียลเอก็กดปุ่มยอมแพ้หรือปุ่มขอความช่วยเหลือ…การยอมแพ้ไม่ใช่เรื่องน่าละอาย การมีชีวิตอยู่ถึงมีความหวัง!” หลิงหลานใช้พลังจิตสลักคำพูดประโยคสุดท้ายให้ลึกลงไปในใจของทุกคนที่นี่ ทำให้พวกเขาไม่ได้หุนหันพลันแล่นจนคิดจะให้ตายตกตามกันในช่วงเวลาวิกฤติ อย่างไรก็ตาม แค่นี้ก็ทำให้พลังจิตมหาศาลของหลิงหลานใช้หมดไปในทันที หัวสมองเริ่มปวดตุ๊บๆ ขึ้นมา
หลิงหลานเอ่ยคำพูดท่อนนี้จบแล้วก็ถอยกลับลงไป มอบตำแหน่งให้อู่จย่งกับฉีหลง เธอส่งสัญญาณให้หลินจงชิงคุ้มกันเธอ ก่อนจะนั่งอยู่ในมุม หลับตาฟื้นฟูพลัง
“ลูกพี่ ทำไมเธอบุ่มบ่ามได้ขนาดนี้เนี่ย?” เสี่ยวซื่อที่อยู่ในห้วงสติไม่พอใจการกระทำของหลิงหลานในครั้งนี้มาก
“รู้แล้วน่า ต่อไปไม่ทำแล้ว ฉันจะพักผ่อนก่อน ช่วยฉันตรวจตราทั่วๆ บริเวณหน่อย” หลิงหลานไม่ได้โต้แย่ง แต่เธอก็ไม่ได้เสียใจ การริเริ่มต่อสู้ประจัญบานเป็นการให้โอกาสทุกคนในปีเจ็ดแข็งแกร่ง ไม่ใช่ให้พวกเขาซบเซาอยู่ที่เดิม
หลิงหลานสั่งเสี่ยวซื่อแล้วก็ฝึกปรือพลังจิตอย่างสบายใจ เมื่อเทียบกับลั่วล่างและหลิงจงชิงแล้ว เธอเชื่อมั่นในการตรวจตราของเสี่ยวซื่อมากกว่า พื้นที่ที่ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักสามารถตรวจตราได้ เสี่ยวซื่อก็สามารถตรวจตราได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังไม่ทำให้ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักพบด้วย
เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก หนึ่งชั่วโมงกำลังจะผ่านไปแล้ว นักเรียนปีเจ็ดในจัตุรัสรื่อเย่ว์แยกย้ายกันไปซ่อนตัวทั่วทั้งสถาบันอย่างรวดเร็วภายใต้การจัดการของพวกอู่จย่งกับฉีหลง
การต่อสู้ประจัญบานเป็นวิธีการต่อสู้แบบไล่ล่าสังหารกันเองอย่างหนึ่ง นอกจากเขตหอพักแล้ว สถานที่อื่นๆ ทั่วทั้งสถาบันต่างก็เป็นสนามล่าของพวกเขา ต่อให้ทั้งสองชั้นมีคนเกือบสองหมื่นคน เมื่อพวกเขาแยกย้ายกันไปบริเวณต่างๆ ของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ ก็จะเหมือนน้ำที่ตกลงไปในมหาสมุทร ไม่ก่อให้เกิดคลื่นใหญ่เลยสักนิด
สุดท้ายทีมของอู่จย่งก็บอกลากับพวกหลิงหลานและจากไป ทั่วทั้งจัตุรัสรื่อเย่ว์เหลือแค่ทีมหลิงหลานแล้วเท่านั้น เวลานี้เอง เสียงประกาศของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักก็ดังขึ้นมาอีกครั้งในสถาบัน
“ปีเจ็ด Vs ปีสิบ การต่อสู้ประจัญบานจะเริ่มต้นหลังจากการนับถอยหลัง ระยะเวลาคือ 24 ชั่วโมง การตัดสินแพ้ชนะคือ ชั้นปีที่รักษาจำนวนคนในตอนสุดท้ายไว้ได้ 40% และมีคะแนนต่อสู้สะสม 60%! จำนวนคนในตอนนี้คือ 9212 ต่อ 9374! คะแนนสะสม 0 ต่อ 0 เริ่มต้นนับถอยหลัง ณ บัดนี้ 10 9 8…3 2 1 การต่อสู้ประจัญบานเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ!”
หลังจากที่เสียงคำว่า ‘เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ’ ของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลัก เขตที่พักอาศัยก็ถูกปกคลุมด้วยโดมแสงทันที มีนักเรียนปีสิบหลายคนที่กำลังรออยู่ด้านข้างเขตที่พักอาศัยเห็นฉากนี้ก็ตกตะลึงสุดขีด พวกเขาอยากลองทดสอบเข้าไปในเขตที่พักก็ถูกพลังมหาศาลสายหนึ่งดีดออกมา
……………………………..