I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 215 การเลือกของแต่ละคน!
เมื่อเห็นพื้นที่เดิมทีสะอาดเรียบร้อยถูกเลือดที่กระอักออกมาจากปากของอีกฝ่ายย้อมจนแดงฉาน หลิงหลานก็ขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ เธอดึงแขนเสื้อขึ้นด้วยความเย็นชา เอ่ยด้วยท่าทีเหมือนกับสั่งให้ทิ้งขยะก็ไม่ปาน “กลิ่นเลือดนี้น่าขยะแขยงจริงๆ หลินจงชิง เอาขยะนี้ไปโยนทิ้งให้ฉันหน่อย อย่าให้แปดเปื้อนดวงตาฉัน”
หลิงหลานกล่าวอย่างเย็นชาตามอารมณ์ เพียงพอที่จะยืนยันว่าเธอมีความเลือดเย็นอำมหิตและเหยียดหยามต่อชีวิต ต่อให้หลินจงชิงที่คุ้นเคยกับหลิงหลานเห็นหลิงหลานมีท่าทีแบบนี้ก็อดใจสั่นไม่ได้ ดวงหน้าของเขาแทบจะเปลี่ยนสี
ยังดีที่ช่วงเวลาหลายปีมานี้ทำให้หลินจงชิงเรียนรู้การใช้รอยยิ้มมาปกปิดความคิดที่แท้จริงของตัวเองไว้ เขายังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้า ตอบกลับด้วยท่าทีผ่อนคลายว่า “ครับ หัวหน้า!” ท่าทีของเขาเหมือนกับว่าเขาคุ้นชินกับคำพูดเหล่านี้ของหลิงหลานแล้ว เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงแบบนี้ไม่ได้มีแค่ครั้งสองครั้งแน่นอน นี่ทำให้พวกเจ้าหน้าที่ตื่นตระหนกขึ้นมา
หลิงหลานลอบผงกศีรษะ สามปีมานี้หลินจงชิงก็เติบโตไม่น้อยเช่นกัน สามารถรับมือกับเหตุการณ์กะทันหันแบบนี้ได้อย่างไหลลื่น ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ได้พูดคุยกันมาก่อน แต่พวกเขาร่วมมือได้อย่างรู้ใจกันสุดขีด บรรลุถึงสภาพการณ์ที่หลิงหลานต้องการอย่างง่ายดาย
หลินจงชิงเดินขึ้นมาข้างหน้าด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ความจริงแล้วในใจเขาก็อดไม่ไหวรู้สึกตกตะลึงอยู่บ้างเหมือนกัน ท่าทีกำกวมของลูกพี่หลานทำให้เขาไม่แน่ใจว่าหัวหน้าผู้คุ้มกันคนนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้วกันแน่…นี่ทำให้หลินจงชิงอดสงสัยไม่ได้ว่าลูกพี่หลานสังหารหัวหน้าผู้คุ้มกันไปแล้วจริงๆ หรือเปล่า?
ในใจเขารู้สึกสงสัยอย่างยิ่งยวด แต่สีหน้ากลับสงบนิ่ง เขาเดินไปที่ข้างกายหัวหน้าผู้คุ้มกันจากนั้นก็ก้มตัวลงจับชุดเครื่องแบบตรงหน้าอกของอีกฝ่ายไว้ ทว่าเขาใช้การเคลื่อนไหวที่ช่ำชองสุดขีดแตะไปที่หน้าอกของฝ่ายตรงข้าม…
“ตึก ตึก ตึก….” เสียงหัวใจเต้นอ่อนๆ สะท้อนกลับมาจากฝ่ามือ หลินจงชิงพลันตระหนักขึ้นในใจว่า นี่น่าจะเป็นละครฉากหนึ่งที่หลิงหลานจงใจแสดงขึ้นมาเพื่อที่จะข่มขวัญพวกเจ้าหน้าที่ของห้องควบคุมหลัก
ถึงแม้ว่าหลินจงชิงคิดไม่ออกว่าทำไมหลิงหลานต้องสิ้นเปลืองความคิดขนาดนี้ แต่เขาเชื่อว่าลูกพี่หลานทำแบบนี้จะต้องมีเหตุผลของเขาแน่นอน
ส่วนลูกพี่หลานจะรู้สภาพของอีกฝ่ายดีหรือไม่ หลินจงชิงไม่มีความคิดนี้อยู่เลย เขารู้ดีว่าจากความสามารถของลูกพี่หลาน เขาย่อมรู้ความเป็นความตายของอีกฝ่ายดีอยู่แล้ว สาเหตุที่ท่าทีดูคลุมเครือย่อมต้องเป็นการจัดฉากแน่นอน
หัวหน้าผู้คุ้มกันที่มีความเป็นความตายที่ไม่แน่ชัดทำให้เจ้าหน้าที่ในห้องควบคุมหลักรู้สึกโศกเศร้าเป็นทุกข์ต่อชะตากรรมของพวกเดียวกัน ความโศกเศร้าจางๆ ตลบอบอวลภายในห้องควบคุมหลักอย่างเงียบเชียบ พวกเขากังวลเรื่องความปลอดภัยของหัวหน้าผู้คุ้มกันและก็หวาดกลัวจุดจบของตัวพวกเขาเอง เวลานี้พวกเขาไม่เหลือความใจเย็นในตอนแรกแล้ว และก็ไม่คิดอีกต่อไปแล้วว่าเด็กหนุ่มพวกนี้ไม่กล้าทำอะไรพวกเขาจริงๆ เพราะว่าเด็กหนุ่มชุดดำโหดร้ายเย็นชาที่เป็นผู้นำของพวกเขาเป็นบุคคลที่โหดเหี้ยมอำมหิตอย่างแน่นอน
หลิงหลานเห็นความไม่สงบในตอนแรกถูกระงับเอาไว้ในที่สุดก็รีบตัดสินใจฉวยโอกาสโจมตีซ้ำ ดังนั้นเธอจึงกล่าวพลางถลึงตาด้วยความโมโหว่า “มัดพวกเขาไว้!”
สุดท้ายนักเรียนใหม่กลุ่มนี้ยังคงอ่อนหัดอยู่นิดหน่อย ไม่ได้ครุ่นคิดเรื่องกักตัวเจ้าหน้าที่พวกนี้เลย
หลิงหลานกล่าวจบก็ทอดสายตามองหลินจงชิง หลินจงชิงเห็นลูกพี่หลานมองด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้งก็รู้แจ้งขึ้นมาฉับพลัน เขานึกถึงวิธีการมัดคนที่เมื่อก่อนหลิงหลานเคยสอนทีมพวกเขา วิธีการอเนกประสงค์ที่สามารถใช้ของในพื้นที่โดยไม่จำเป็นต้องกังวลว่าวัสดุในการมัดคนจะไม่พอ นั่นก็คือใช้เข็มขัดมัดคน ควรรู้ไว้ว่าในโลกปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้คุ้มกันหรือว่าเจ้าหน้าที่บนยานบินต่างก็สวมเข็มขัดไว้หนึ่งเส้นเพื่อแบกปืนพกเลเซอร์ติดตัว
หลินจงชิงที่เข้าใจแล้วก็พยักหน้าให้หลิงหลานแล้วเดินไปข้างกายเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่อยู่ใกล้เขามากที่สุดทันที จากนั้นเขาก็ปลดเข็มขัดของฝ่ายตรงข้ามท่ามกลางการดิ้นรนของอีกฝ่ายและดึงมันออกมา
ปืนพกเลเซอร์ถูกกำจัดทิ้งไปตั้งแต่ตอนแรกที่พวกนักเรียนพุ่งเข้ามาควบคุมเจ้าหน้าที่ ดังนั้นเจ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่มีอาวุธร้อนมาต่อสู้กับพวกนักเรียน นอกเสียจากใช้มือเปล่าต่อสู้ ทว่าทักษะการต่อสู้ของคนเหล่านี้จะเทียบนักเรียนหัวกะทิที่ออกมาจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือเหล่านี้ได้ยังไงเล่า
“อย่าขัดขืนเลยครับ ยิ่งคุณขัดขืน คุณก็ยิ่งทรมาน…” รอยยิ้มตรงมุมปากของหลินจงชิงเปลี่ยนเป็นลึกล้ำขึ้นมา นี่ทำให้ความหวาดกลัวในใจเจ้าหน้าที่สลักลึกลงไปมากยิ่งขึ้น หรือว่าพวกเขายังอยากทำการข่มเหงเพื่อหาความสุขเหรอ? เจ้าหน้าที่ถูกขู่ขวัญจนไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นได้อีก เขาเริ่มดิ้นรนอย่างรุนแรง แทบจะสลัดหลุดออกจากการควบคุมของนักเรียนบางคนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของเขาตรงด้านข้าง
“เหอะ!” หลินจงชิงยิ้มอย่างเย็นชา เขาปราดเข้าไปกดอีกฝ่ายลงกับพื้นทันที จากนั้นก็ใช้เข็มขัดในมือพันแขนสองข้างของอีกฝ่ายไว้ที่ด้านหลังแน่นๆ สุดท้ายก็พันคอของอีกฝ่ายแล้วดึงกลับมาล็อกตรงแขนอย่างแน่นหนาอีกครั้ง
วิธีการที่หลินจงชิงมัดเจ้าหน้าที่เป็นวิธีการไขว้แปดแบบ วิธีการมัดเช่นนี้ต้องใช้ฝีมือสุดขีด ต่อให้ทำตามหลายครั้งก็ไม่สามารถเรียนรู้วิธีการที่ยากมากแต่กลับนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงอย่างยิ่งยวด มันเป็นทักษะที่หลิงหลานใช้คะแนนเกียรติยศแลกออกมาจากในมิติการเรียนรู้
ถ้าหากวิธีการมัดแบบนี้ไม่ได้ทำอย่างถูกต้องก็มีความเป็นไปได้ในระดับหนึ่งที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามสลัดหลุดออกมาได้ แต่ถ้าเชี่ยวชาญอย่างสมบูรณ์แบบแล้วละก็ ยิ่งฝ่ายตรงข้ามดิ้นรน ปมที่ไขว้กันแปดแบบก็จะยิ่งดึงแน่นขึ้น ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถใช้การดิ้นรนสลัดหลุดได้เลย
แน่นอนว่าวิธีการแบบนี้ไม่มีประโยชน์เมื่อจัดการกับคนที่อยู่ระดับขัดเกลาขึ้นไป ถึงยังไงพลังของระดับขัดเกลาก็เพียงพอที่จะดิ้นรนทำลายความเหนียวทนทานของเข็มขัดได้ แต่ว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้กลับไม่สามารถดิ้นรนออกมาได้เลย เพราะว่ามากสุดความสามารถของพวกเขาก็อยู่ในระดับสำแดงตนเท่านั้น
หลินจงชิงยังจำได้ว่าตอนนั้นทีมพวกเขาสิ้นเปลืองกำลังอย่างมากในการเรียนรู้การมัดปมนี้ โดยเฉพาะหัวหน้าฉีหลง เขาที่เป็นคนตรงๆ ไม่คิดอะไรมากไม่ชอบทำงานละเอียดลออแบบนี้เสมอ ทำไปหลายร้อยครั้งก็ไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง นี่ทำให้ลูกพี่หลานโมโห หิ้วหัวหน้าฉีหลงกลับไปที่ห้องประลองส่วนตัวแล้วรังแกเขาหนักๆ ถึงค่อยหยุด
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าสุดท้ายตอนนั้นหัวหน้าฉีหลงถูกรังแกจนอยู่ในสภาพน่าอนาถอย่างไร ถึงอย่างไรพอหัวหน้าฉีหลงรักษาบาดแผลหายดีกลับมาแล้ว เขาก็เรียนรู้การมัดปมอย่างระมัดระวังอย่างยิ่ง จนถึงตอนนี้ท่าทีระมัดระวังด้วยความหวาดกลัวนั้นต่างสลักลึกในภาพความทรงจำของพวกเขา นับตั้งแต่นั้นมา เหล่าสมาชิกทีมยิ่งไม่กล้ายั่วโทสะลูกพี่หลาน…เพราะไม่มีใครอยากประสบโศกนาฎกรรมอย่างหัวหน้าฉีหลงเช่นกัน
หลินจงชิงมัดปมเสร็จอย่างรวดเร็วมากแล้วก็ผลักเจ้าหน้าที่คนนั้นไปอยู่ที่มุมห้อง จากนั้นก็เดินไปอยู่ข้างกายเจ้าหน้าที่อีกคนภายใต้การชี้บอกของหลิงหลานก่อนจะใช้วิธีการแบบเดียวกันดึงเข็มขัดของอีกฝ่ายออก แต่คราวนี้เขาเอ่ยกับหัวหน้าทีมหลายคนในนี้ว่า “รบกวนหัวหน้าทีมทั้งหลายจับตามองสถานการณ์ด้วย ลูกทีมคนอื่นๆ มาผูกปมกับฉัน มัดเจ้าหน้าที่พวกนี้ให้เรียบร้อย”
เหล่านักเรียนเริ่มทำตามท่าผูกปมภายใต้การสาธิตของหลินจงชิงเช่นนี้เอง หลินจงชิงตรวจสอบทีละจุด เมื่อเขาพบว่าไม่ถูกต้องก็รีบแก้ไขทันที เขาไปกลับแบบนี้สามครั้งก็มัดเจ้าหน้าที่ในนี้ได้จนหมด แน่นอนว่าพวกนักเรียนต่างก็ใคร่ครวญรายละเอียดการมัดปมก่อนจะพบว่าพวกเขาสับสนมึนงง ไม่แน่ใจเลยว่าต้องเริ่มต้นตรงไหน….
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้ตัดนักเรียนที่มีความจำเป็นเลิศว่าเรียนรู้วิธีการมัดปมนี้ได้แล้วออกไป หลิงหลานก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน มิติการเรียนรู้มีวิธีการมัดคนที่ดีกว่านี้อีก ถ้าเกิดวิธีการนี้ถูกทุกคนเรียนรู้แล้ว เธอก็แลกวิธีการมัดคนระดับสูงมากขึ้นมาให้พวกฉีหลงอีกก็แค่นั้น
แน่นอนว่าหลิงหลานไม่เคยขบคิดเลยว่า นับตั้งแต่นี้ไปการเรียนรู้การมัดคนอีกครั้งจะทำให้ฉีหลงอยู่ไม่สู้ตายอีกหรือเปล่า? บางทีไม่แน่ว่าหลิงหลานกำลังอยากฉวยโอกาสสั่งสอนฉีหลงก็ได้…
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ห้องควบคุมหลักมาถึงตอนจบ ต่อจากนี้ไปก็ไม่ใช่เรื่องของเธอแล้ว หลิงหลานปลดภาระลงอย่างเด็ดขาด เธอหันหน้ามองไปที่หานจี้จวินและกล่าวว่า “จี้จวิน นายอยู่รักษาการณ์ ดูแลห้องควบคุมหลักไว้” เธอกวาดสายตามองนักเรียนทุกคนในห้องควบคุมหลักทันทีและเอ่ยว่า “คนที่แข็งแกร่งที่สุดห้าคนตามฉันไปที่ห้องกัปตันห้องสุดท้าย!”
หลินจงชิงก้าวเท้าขึ้นมาเป็นคนแรกโดยไม่ครุ่นคิดเลยสักนิดเดียวและพูดว่า “หัวหน้า พาฉันไปด้วย!”
หลิงหลานผงกศีรษะกล่าวว่า “ได้ อีกสี่คน!”
พวกหัวหน้าทีมอยากจะแย่งชิงโควตาสี่คนนี้ หลิงหลานจึงเรียกสี่คนที่มีความสามารถแข็งแกร่งที่สุดให้เดินตามเธอไปทันทีเพื่อประหยัดเวลา เนื่องจากเป็นการอิงตามความสามารถ หัวหน้าทีมคนอื่นๆ ที่ไม่ได้รับเลือกก็ไม่มีคำบ่นอะไรเช่นกัน
แน่นอนว่าหลิงหลานเองก็เตือนทุกคนว่าห้องควบคุมหลักเป็นแพลตฟอร์มควบคุมที่สำคัญที่สุดของยานบิน พวกเขาต้องอยู่ที่นี่รักษาความปลอดภัยของห้องควบคุมหลักไว้ ไม่อาจให้พวกลูกเรือของยานบินที่ตระหนักขึ้นมาได้แย่งชิงมันกลับไปอีกครั้งโดยเด็ดขาด
ในตอนที่หานจี้จวินส่งหลิงหลานออกจากห้องควบคุมหลัก หลิงหลานเอ่ยกับเขาเสียงเบาว่า “นี่เป็นโอกาสดีในการเรียนรู้ว่าจะควบคุมชุดการทำงานของยานบินยังไง”
“แต่พวกเรารู้เรื่องนี้แค่ผิวเผินเองนะ” พวกเขายังไม่เคยเรียนการควบคุมยานบินอย่างเป็นระบบมาก่อนเลย ถึงแม้ว่านี่เป็นโอกาสดี แต่หานจี้จวินไม่คิดว่าพวกเขาสามารถคลำหาอะไรออกมาเองได้ เกรงว่าครั้งนี้พวกเขาจะคว้าประสบการณ์ดีๆ ไม่ได้แล้ว นี่ทำให้หานจี้จวินอดไม่ไหวถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง
หลิงหลานกวาดตามองห้องควบคุมหลักแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเตือนว่า “ตรงนั้นไง ไม่ใช่ว่ามีคนชี้แนะพวกนายอยู่เหรอ?”
ดวงตาของหานจี้จวินส่องประกาย เข้าใจเจตนาของหลิงหลานทันที เขาเปลี่ยนความคิดและรีบถามว่า “หัวหน้าผู้คุ้มกันคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือเปล่า?” ถึงแม้เขาคิดว่าหลิงหลานไม่มีทางฆ่าคนโดยไร้เหตุผล แต่เขาก็ต้องการได้รับคำตอบที่แน่ชัดเหมือนกัน เพราะเขาคิดวิธีได้แล้วว่าจะให้เจ้าหน้าที่ควบคุมหลักลงมือสอนพวกเขาเองยังไง
หลิงหลานพยักหน้าบ่งบอกหานจี้จวินคาดเดาถูกต้อง “จะใช้ประโยชน์เขายังไงก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของนายแล้ว” เธอทำได้ถึงแค่ขั้นนี้เท่านั้น สุดท้ายจะได้ตามที่หวังหรือไม่ ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของหานจี้จวินแล้ว
สาเหตุสำคัญที่สุดที่หลิงหลานสิ้นเปลืองความคิดแบบนี้เป็นเพราะว่าในตอนที่สมัครสอบโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งนั้น หานจี้จวินไม่ได้สมัครสอบภาควิชายุทธศาสตร์ที่ตัวเองเชี่ยวชาญ หากแต่สมัครสอบภาควิชาควบคุมยานรบ นี่หมายความว่าต่อไปหานจี้จวินจะกลายเป็นกัปตัน ถ้าหากแย่หน่อยก็เป็นต้นหนที่สำคัญที่สุดของยานรบ
บางทีคนมากมายอาจจะรู้สึกเสียดายที่หานจี้จวินทิ้งจุดเด่นของตัวเองแล้วไปเลือกภาควิชาที่อนาคตไม่ค่อยดี แต่หานจี้จวินรู้ดีว่าเขากำลังทำอะไร
ควรรู้เอาไว้ว่าภาควิชาที่หลิงหลาน ฉีหลง ลั่วล่างและเซี่นอี๋เลือกคือควบคุมหุ่นรบ ส่วนภาควิชาที่หลินจงชิงเลือกกลับเป็นพลาธิการที่ทุกคนมองข้าม ถึงขนาดที่ต้องจนปัญญาทุกวิถีทางถึงจะเลือกมัน
อันที่จริง จากพรสวรรค์ของหลินจงชิงเขาสามารถไปสมัครสอบควบคุมหุ่นรบได้แน่นอน แต่สุดท้ายเขายังคงเลือกภาควิชาที่ไม่โดดเด่นสะดุดตานี้ หานจี้จวินเข้าใจดีว่าเป็นเพราะอะไร เขาทำเพื่ออนาคตของทีม ทีมสามารถขาดกำลังรบที่แข็งแกร่งไปหนึ่งคนได้ แต่ขาดพลาธิการที่ยอดเยี่ยมไม่ได้