I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 225 กลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ!
“ไม่รู้สิ จางจิงอันไม่เคยบอกไว้!” หานอวี้ตอบ “แต่ว่าจากที่คนของฉันรายงานมา วันนี้เขาจะไปเยี่ยมเยียนคนๆ นั้นด้วยตัวเอง” เขาดึงไพ่ใบหนึ่งออกมาตามใจชอบแล้วโยนลงบนโต๊ะ หลังจากนั้นก็ลูบคางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้ฉันอยากรู้มากๆ ว่า ถ้าเกิดปีศาจอัจฉริยะคนนั้นเข้าร่วมฝ่ายจางจิงอันขึ้นมาจริงๆ ใครจะเป็นผู้นำที่แท้จริงของฝ่ายสถาบันศูนย์กลางโดฮา” เขากล่าวจบก็มองไพ่บนโต๊ะแล้วพูดว่า “รอบนี้ฉันไม่เอา! จ้าวจวิ้น ถึงตานายแล้ว”
จ้าวจวิ้นมองไพ่แล้วก็ส่ายศีรษะ บ่งบอกว่าเขาก็ไม่เอาแล้วเช่นกัน จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้หลี่หลานเฟิงที่เป็นคนต่อไปทิ้งไพ่
หลี่หลานเฟิงดึงไพ่ใบหนึ่งออกมาจากในมือแล้ววางลงไป เขาเอ่ยว่า “พูดแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน บางทีเขาอาจจะยินดีรับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยของอีกฝ่ายก็ได้นะ…”
ชายหนุ่มที่ดูธรรมดามองหลี่หลานเฟิงแวบหนึ่งและถามกลับว่า “นายคิดว่าจางจิงอันใจกว้างเหรอ?”
หลี่หลานเฟิงรวบไพ่ ครุ่นคิดอย่างจริงจังสักพัก หลังจากนั้นก็พูดด้วยความชื่นชมว่า “เว่ยจี้ ดูเหมือนว่านายยังเป็นคนที่เข้าใจจางจิงอันดี!”
เว่ยจี้เผยรอยยิ้มออกมาเหมือนพอใจกับคำพูดของหลี่หลานเฟิงมาก “ฉันสู้กับเขามาสี่ปี ถ้ายังไม่เข้าใจอีก ฉันยังมีคุณสมบัติมานั่งอยู่ข้างๆ พวกนายเหรอ?”
หานอวี้หัวเราะ ถึงแม้ว่าพวกเขาสี่คนจะมาจากคนละดาว แต่หลังจากที่เข้าโรงเรียนทหารก็ร่วมมือกันเพื่อต่อต้านฝ่ายโดฮา การที่พวกเขาเหยียบฝ่ายสถาบันศูนย์กลางโดฮาไว้ใต้เท้าอย่างง่ายดายจวบจนถึงทุกวันนี้นั้นไม่อาจตัดการร่วมมือของพวกเขาสี่คนไปได้เลย
“ดังนั้น พวกเรายังต้องร่วมมือกันต่อไป จะให้จางจิงอันหาโอกาสอวดอ้างไม่ได้เด็ดขาด” หานอวี้กล่าว
จ้าวจวิ้นยักไหล่พูดว่า “เรื่องปัดแข็งปัดขากันไม่ต้องมาหาฉัน แต่ถ้าเป็นเรื่องต่อสู้ค่อยมาบอกฉัน”
เว่ยจี้ปรายตามองเขาและเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ก็ไม่ได้หวังให้นายวางแผนออกมาได้อยู่แล้ว นายรับหน้าที่ต่อสู้ไปก็พอ”
จ้าวจวิ้นถลึงตาใส่อย่างจุ่นเคือง ขณะที่กำลังอยากจะพูดอะไรออกมา หลี่หลานเฟิงก็เอ่ยปากพูดว่า “จ้าวจวิ้นเป็นคนที่บังคับหุ่นรบเก่งที่สุดในหมู่พวกเรา ไม่พึ่งเขาต่อสู้ แล้วยังจะพึ่งใครได้ล่ะ?” เขากล่าวจบทอดมองสายตาชื่นชม ทำให้ไฟโทสะในใจจ้าวจวิ้นหายไปจนหมดทันที เขาพลันตบหน้าอกกล่าวว่า “วางใจได้เลย เรื่องต่อสู้ก็มอบให้ฉันจัดการเถอะ!”
หานอวี้กับเว่ยจี้จ้องมองกันเองแวบหนึ่งตามจิตใต้สำนึก แววตาแฝงไปด้วยร่องรอยความหวาดกลัว อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว คนหนึ่งก็ทำตัวเรียบง่ายธรรมดา ส่วนอีกคนก็ยังคงยิ้มชั่วร้าย
หลี่หลานเฟิงคล้ายกับไม่สังเกตเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของทั้งสองคน เขามองไปที่หานอวี้กับเว่ยจี้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เอ่ยถามอย่างอบอุ่นว่า “ยังเล่นต่อไหม?”
หานอวี้ทิ้งไพ่ในมือลงบนโต๊ะก่อนจะเหยียดแขนเหยียดขากว้างๆ บิดขี้เกียจทีหนึ่ง หลังจากนั้นถึงค่อยลุกขึ้นมาพูดว่า “ช่างเถอะ ไม่เล่นแล้ว ถ้ายังไม่รู้สถานการณ์ฝั่งจางจิงอัน ฉันก็นั่งสบายใจอยู่ที่นี่ไม่ได้เหมือนกัน”
หนึ่งในนักเรียนทหารหลายคนที่กำลังคุยเล่นกันอยู่ไม่ไกลเห็นหานอวี้ลุกขึ้นมาก็รีบวิ่งเข้าไป “หัวหน้า?”
“กลับได้แล้ว!” หานอวี้พูดกับลูกทีมตัวเอง
“กลับเร็วขนาดนี้เลย? มีธุระเหรอ?” เว่ยจี้ขมวดคิ้วและลุกขึ้นมาเช่นกัน ถึงแม้เขาไม่ได้ต้องการออกไปมากๆ แต่ในเมื่อหานอวี้จะไปแล้ว เขาอยู่ต่อไปก็ไม่ความหมาย
หานอวี้เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ฉันต้องกลับไปจัดเตรียมคนเฝ้าดูจางจิงอันน่ะ…ต้องรู้ให้ได้ว่าปีศาจอัจฉริยะที่ทำให้จางจิงอันนับถือคนนั้นแข็งแกร่งมากขนาดไหนกันแน่ ฉันไม่อยากให้ฝ่ายสถาบันศูนย์กลางโดฮาลุกขึ้นมาอีกครั้ง!” ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะนำพาฝ่ายดาวอู๋จี๋สยบฝ่ายโดฮาได้ เขาไม่อยากออกจากตำแหน่งที่สามหรอกนะ
เว่ยจี้พยักหน้าพูดว่า “งั้นฉันไปกับนายละกัน!” เวลานี้ลูกทีมของเว่ยจี้ก็วิ่งเข้ามาเหมือนกัน ทั้งสองคนพาลูกทีมของตัวเองออกไปจากบ้านพักอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นร่างของพวกเขาหายไปจากคลองสายตา จ้าวจวิ้นค่อยแค่นเสียงเย็นทีหนึ่งและโยนไพ่ในมือลง “แม่ง เห็นฉันเป็นอันธพาลรับจ้างของพวกเขาจริงๆ เหรอวะ?”
หลี่หลานเฟิงโยนไพ่ในมือทิ้งเช่นกัน มุมปากเผยรอยยิ้มบางๆ “ในเมื่อเป็นการร่วมมือกันก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนบ้าง ค่าตอบแทนนี้ยังอยู่ในขอบเขตการควบคุมของพวกเราก็พอแล้ว”
จ้าวจวิ้นบิดคอตัวเอง ยืดเส้นยืดสายผ่อนคลายร่างกายที่นั่งจนตัวแข็งทื่ออยู่บ้าง เขากล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมตอนนั้นนายต้องเลือกเข้าร่วมกับพวกเขาด้วย เข้าร่วมฝ่ายอันดับหนึ่งหรืออันดับสองไม่ดีกว่าเหรอ?”
หลี่หลานเฟิงส่ายหน้าพูดว่า “ถ้าเข้าร่วมฝ่ายอันดับหนึ่งหรืออันดับสอง พวกเราก็ไม่มีสิทธิ์พูดแล้ว นั่นถึงเรียกว่าตกอับเป็นอันธพาลรับจ้างของจริงนะ…และที่เข้าร่วมกับพวกเขา เพราะว่าพวกเขาจำเป็นต้องพึ่งพาพวกเราอย่างมากเพื่อที่จะรักษาตำแหน่งที่สามของพวกเขาไว้ พวกเราที่มีสิทธิ์พูดถึงจะยืนอย่างมั่นคงในโรงเรียนทหารได้อย่างแท้จริง”
จ้าวจวิ้นรู้ว่าหลี่หลานเฟิงกล่าวได้ถูกต้อง เขามองหลี่หลานเฟิงด้วยความกังวลใจและพูดว่า “แต่พวกเขาเริ่มกลัวนายแล้วนะ”
หลี่หลานเฟิงยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ฉันอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายขนาดนี้ ต่อให้พวกเขากลัวก็กลัวได้ไม่มากหรอก ขอเพียงนายอย่าทำท่าสนิทสนมกับฉันมากเกินไปก็พอ”
“นายให้ฉันแสร้งทำตัวเป็นอันธพาลสมองทึบ ส่วนนายก็เป็นตัวไกล่เกลี่ยระหว่างพวกเรา ถ้าฉันไม่สนิทกับนาย แล้วจะให้สนิทกับใครล่ะ?” จ้าวจวิ้นพูดพลางแค่นเสียงเย็น ถ้าหากเขาไม่สนิทกับหลี่หลานเฟิงละก็ นั่นถึงเรียกว่ามีปัญหา
“อันที่จริงก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่มากเหมือนกัน ขอเพียงนายแสดงท่าทีใจร้อนชอบต่อสู้ไปเรื่อยๆ ให้พวกเขารู้สึกว่าควบคุมนายง่ายมาก พวกเขาก็ไม่กังวลเรื่องฉันมากเกินไปแล้ว” หลี่หลานเฟิงกล่าว
จ้าวจวิ้นแค่นเสียงเย็นพูดว่า “ตอนนี้มีใครในโรงเรียนทหารไม่คิดว่าฉันเป็นจ้าวป้าเทียน (ผู้เผด็จการแซ่จ้าว) ที่ใจร้อนชอบต่อสู้ล่ะ?”
หลี่หลานเฟิงได้ยินคำพูดก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นี่ดีมากเลยไม่ใช่หรือไง คนที่ไม่อยากก่อปัญหาก็จะไม่หาเรื่องนายก่อน?”
จ้าวจวิ้นเงียบไปครู่หนึ่ง ผ่านไปเนิ่นนานถึงค่อยเอ่ยปากถามว่า “เมื่อไหร่จะสู้กับราชันสายฟ้าคนนั้นได้?”
หลี่หลานเฟิงชะงักไปสักพัก จากนั้นทั่วทั้งร่างพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างยิ่งยวด เพียงแต่กลิ่นอายนี้เปลี่ยนไปแค่แวบเดียวเท่านั้น พริบตาเดียวเขาก็กลับคืนสู่กลิ่นอายอ่อนโยนดังเดิม เขาตอบออกมาทีละคำว่า “จะต้องมีโอกาสแน่นอน”
จ้าวจวิ้นมองหลี่หลานเฟิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ไอเย็นยะเยือกบนตัวเขารุนแรงขึ้น “ฉันจะรอ!”
เวลานี้เอง สายลมเย็นๆ โชยเข้ามาในสวนดอกไม้ พัดพาเส้นผมของคนทั้งสองขึ้นมา ท่าทีอบอุ่นและเย็นชาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างน่าประหลาดโดยที่ไม่เห็นความผิดปกติอะไรเลย
…………..
เมื่อนักเรียนใหม่เข้ามาในโรงเรียนทหาร สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือดำเนินขั้นตอนการลงทะเบียน ถือโอกาสรับชุดเครื่องแบบรวมถึงหอพักที่โรงเรียนทหารจัดเตรียมให้ หอพักของโรงเรียนทหารต่างเป็นบ้านพักที่แยกจากกัน บ้านพักหนึ่งหลังสามารถอยู่ได้หกคน กลุ่มของหลิงหลานถูกจัดให้อยู่ในบ้านพักหลังเดียวกันด้วยความบังเอิญอย่างยิ่ง
พวกฉีหลงย่อมประหลาดใจสุดขีด มีเพียงหลิงหลานที่รู้ว่า นี่ต้องเป็นฝีมือของพ่อเธอแน่นอน หลิงเซียวทุ่มเทความคิดจัดการให้หลิงหลานพักอยู่กับลูกน้องเหล่านี้ หวังว่าพวกเขาจะปกป้องหลิงหลานได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เพศของลูกสาวตัวเองถูกเปิดเผย
แน่นอนว่าหลิงเซียวจัดการออกมาเช่นนี้หลังจากที่แอบทำการตรวจสอบมากมาย เขารู้ว่าพวกฉีหลงนับถือหลิงหลานมาก เป็นพี่น้องที่สามารถยอมเสี่ยงอันตรายร่วมเป็นร่วมตายของหลิงหลาน นี่ทำให้หลิงเซียวรู้สึกภาคภูมิใจมากและก็อิจฉาเล็กน้อย เขารู้สึกมาตลอดว่าเด็กกลุ่มนี้มาเพื่อแย่งชิงลูกสาวที่รักของเขา….
โดยพื้นฐานแล้วนักเรียนจากโดฮาจะแยกไปอยู่ในเขตเดียวกัน หลินจงชิงกับเซี่ยอี๋ใช้ความสามารถของพวกเขาแต่ละคนฉวยโอกาสตอนลงทะเบียนทำความเข้าใจเรื่องราวบางอย่างภายในโรงเรียนทหาร ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการกระจายอำนาจของฝ่ายต่างๆ ของที่นี่และเรื่องจัดอันดับ
นักเรียนที่มาจากโดฮาเป็นนักเรียนที่มีจำนวนคนเยอะมากที่สุด แต่กลับแบ่งกลุ่มมากมายที่มีขนาดแตกต่างกัน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน กลุ่มของจางจิงอันใหญ่มากที่สุดในนี้ ถือว่าเป็นตัวแทนของฝ่ายสถาบันศูนย์กลางลูกเสือของโดฮา แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น กลุ่มของเขายังคงถูกกลุ่มอำนาจใหญ่สามแห่งกดหัวไว้ขยับเขยื้อนไม่ได้
พวกเขาแบ่งออกเป็นกลุ่มเหลยถิง กลุ่มอำนาจอันดับที่หนึ่ง กลุ่มเทียนจี กลุ่มอำนาจอันดับที่สอง และกลุ่มอู๋จี๋ กลุ่มอำนาจอันดับที่สาม
เมื่อพวกเขานำข่าวนี้ไปบอกพวกหลิงหลาน ฉีหลงก็โมโห คิดว่าจางจิงอันทำให้สถาบันศูนย์กลางลูกเสือของพวกเขาขายหน้า ควรรู้เอาไว้ว่าในแต่ละปีสถาบันศูนย์กลางลูกเสือเป็นสถาบันที่มีจำนวนคนเยอะมากที่สุดที่สอบเข้าโรงเรียนทหารได้จากทั่วทั้งสหพันธรัฐ
หลิงหลานสบตากับหานจี้จวิน แววตาของทั้งสองฝ่ายต่างเผยร่องรอยความเข้าใจออกมา หานจี้จวินเตือนว่า “ดูเหมือนว่า อีกไม่นานจางจิงอันก็คงจะมาหา” เขาหันหน้าไปถามหลิงหลาน “ลูกพี่หลาน พวกเราจะทำยังไงดี?” ร่วมมือหรือว่าปฏิเสธ
“มาก็มาสิ!” หลิงหลานเอ่ยโดยที่ไม่บอกอะไร
ดวงตาของหานจี้จวินเปล่งประกายขึ้นมาแวบหนึ่งราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง แล้วเขาก็ไม่ได้ส่งเสียงพูดอะไรอีก พวกฉีหลงที่เห็นฉากนี้ก็ไม่ได้ตั้งคำถามขึ้นมาอย่างชาญฉลาด พวกเขารู้ดีมานานแล้วว่า พวกเขาต้องคิดหลายตลบถึงจะเข้าใจคำพูดของลูกพี่หลานกับหานจี้จวินได้ ต่อให้พวกเขาถามไปก็ไม่มีประโยชน์
เมื่อหลิงหลานเพิ่งจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วนั่งลงพักผ่อนบนโซฟาห้องโถงผ่อนคลายร่างกาย จางจิงอันก็มาเยี่ยมถึงหน้าประตูตามที่คาดไว้จริงๆ จางจิงอันยังคงมีความสามารถในระดับหนึ่งถึงสามารถหาที่อยู่ของหลิงหลายได้ภายในช่วงเวลาสั้นๆ
จางจิงอันพาสมาชิกทีมหลายคนของเขาเข้ามาเยี่ยมเยียนด้วยกัน ฉีหลงได้รับคำสั่งของหลิงหลานมานานแล้ว เลยให้พวกเขาเข้ามาที่ห้องโถงโดยที่ไม่ได้เล่นแง่เลย
เมื่อจางจิงอันเห็นหลิงหลานนั่งอยู่บนโซฟา เขาก็เอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “หลิงหลาน ฉันดีใจมากๆ เลยที่เห็นนายสอบเข้าโรงเรียนทหารของพวกเราได้!”
จางจิงอันในตอนนี้ไม่มีความรู้สึกซึมเซาหลังจากที่พ่ายแพ้การต่อสู้ประจัญบานในปีนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะถูกกลุ่มอำนาจใหญ่ทั้งสามกดหัวไว้ แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นผู้นำของกลุ่มอำนาจอันดับที่สี่ ทั่วทั้งร่างของเขาดูกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาอย่างชัดเจน ต่อให้เขาทำหน้ายิ้มแย้ม ท่าทีเป็นมิตร แต่ก็แฝงไปด้วยร่องรอยความหยิ่งยโสของผู้ที่อยู่เหนือกว่าอยู่จางๆ
คำพูดประโยคนี้ของจางจิงอันและท่าทีของเขาทำให้ใบหน้าของพวกฉีหลงปรากฏร่องรอยความไม่พอใจเล็กน้อย พวกเขาไม่มีทางยอมให้ใครไม่เคารพลูกพี่หลานของพวกเขาเป็นอันขาด ต่อให้จางจิงอันเป็นรุ่นพี่ของพวกเขาในปีนั้นก็ไม่ได้เหมือนกัน
หลิงหลานได้ยินคำพูดก็เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ชี้ไปยังโซฟาตรงหน้าและเอ่ยเรียบๆ ว่า “รุ่นพี่จาง นั่งสิ!”
จางจิงอันปฏิบัติต่อเธอด้วยท่าทีของผู้อยู่เหนือกว่า หลิงหลานย่อมต้องโต้กลับ สั่งจางจิงอันตามใจชอบเหมือนเขาเป็นลูกน้องทันที
ท่าทีผ่อนคลายนี้ทำให้สีหน้าของลูกทีมหลายคนที่ตามจางจิงอันเข้ามาเปลี่ยนไป ในขณะที่หนึ่งในนั้นกำลังอยากจะออกหน้าตวาดเตือนหลิงหลาน ฉีหลงก็กวาดตามองไปด้วยแววตาเย็นเยียบทันทีและแค่นเสียงเหอะหนักๆ
เสียงเหอะที่เย็นชานี้เหมือนกับดังขึ้นที่ข้างหูเขา คนผู้นั้นรู้สึกแค่เพียงหัวใจสั่นสะท้าน เลือดลมปั่นป่วน เสียงที่เดิมทีอยู่ตรงลำคอเหมือนกับถูกกดเอาไว้ก็ไม่ปาน ไม่อาจพูดออกมาได้อีก สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปฉับพลัน มองฉีหลงที่ยืนอยู่ข้างกายหลิงหลานด้วยความตื่นตะลึง….
จางจิงอันหน้าเปลี่ยนสีไปเช่นกัน ความหยิ่งทระนงแต่เดิมของเขาหายไปแล้ว แทนที่ด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง เขามองไปที่ฉีหลงแวบหนึ่งด้วยสีหน้าซับซ้อน และให้ลูกทีมคนนั้นถอยไป