I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 243 ความต่างของทั้งสองฝ่าย
มีเพียงจ้าวจวิ้นที่อยู่ข้างกายเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เห็นท่าทีของหลี่หลานเฟิงอย่างชัดเจน จ้าวจวิ้นงุนงงกับท่าทีเช่นนี้อยู่บ้างจึงถามว่า “ทำไม นายมีความเห็นอย่างอื่นเหรอ?”
หลี่หลานเฟิงเงยหน้ามองจ้าวจวิ้นแวบหนึ่งและเอ่ยถามอย่างใคร่ครวญว่า “กลุ่มนักเรียนใหม่ทำตัวเด่นรับจดหมายท้าแบบนี้ เห็นชัดว่าพวกเขามั่นใจในตัวเองมากเลย”
จ้าวจวิ้นเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า “นักเรียนของสถาบันศูนย์กลางโดฮามองว่าตัวเองสูงส่งมาตลอด ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอยู่บ้าง ตอนนั้นจางจิงอันก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือไง มาถึงก็ไปยั่วโมโหราชันสายฟ้า ตอนนี้พอเขาเห็นราชันสายฟ้าก็เก็บหางไม่กล้าส่งเสียงแล้ว…”
จ้าวจวิ้นลูบคาง “ตอนนี้ฉันล่ะอยากเห็นสีหน้าของนักเรียนใหม่พวกนั้นหลังจากที่โดนเหลยถิงรังแกมากๆ เลย มันต้องน่าสนใจมากแน่นอน”
หลี่หลานเฟิงพรูลมหายใจเบาๆ เอ่ยถามเสียงเบาว่า “ปีศาจอัจฉริยะที่ทำให้จางจิงอันยังคงกังวลในอีกสามปีให้หลัง จะเป็นคนแบบจางจิงอันได้เหรอ?”
จ้าวจวิ้นได้ยินคำพูด สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเองก็นึกถึงข่าวลับที่ขุดมาได้จากในกลุ่มจางจิงอัน ปีศาจอัจฉริยะคนนั้นทำให้จางจิงอันกัดฟันด้วยความแค้นเคือง ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ จางจิงอันยังไม่กล้าทำบุ่มบ่าม ฝืนข่มกลั้นโทสะมองกลุ่มนักเรียนใหม่ตั้งขึ้นมาด้วยสายตาเย็นชาอยู่ด้านข้างมาตลอด…
“ปีศาจอัจฉริยะคนนั้นเป็นใครกันแน่? ได้ยินว่าคนที่ออกหน้ารับจดหมายท้าคราวนี้คือเด็กที่ชื่ออู่จย่ง เขาเรียกตัวเองว่าหัวหน้าอู่ของกลุ่มนักเรียนใหม่…จะเป็นเขาหรือเปล่า?” จ้าวจวิ้นไม่เชี่ยวชาญเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล
“หัวหน้าอู่? นายเคยได้ยินหัวหน้าที่แท้จริงใช้แซ่เหรอ? มีแค่อันดับสองอันดับสาม พวกรองหัวหน้าถึงจะเพิ่มแซ่เข้าไปในคำเรียกขานเพื่อให้แยกแยะง่ายเท่านั้น!” หลี่หลานเฟิงกล่าวเรียบๆ
แววตาของจ้าวจวิ้นมีแสงเย็นเยียบพาดผ่าน “หรือพูดอีกอย่างก็คือ จริงๆ แล้วหัวหน้าที่แท้จริงของกลุ่มนักเรียนใหม่ไม่ได้ออกหน้าเอง”
“แสดงไพ่ตายออกมาหมดตั้งแต่แรกถึงจะเรียกว่าโง่เง่า” หลี่หลานเฟิงตอบ “ดังนั้นฉันเลยเก็บความคิดเรื่องผลลัพธ์ของการกระทำของเหลยถิงในครั้งนี้ไงล่ะ”
ตอนนี้ในสมองของหลี่หลานเฟิงผุดข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนใหม่กลุ่มนี้ที่เขาเจอในระดับ S ของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักโรงเรียนทหาร…นั่นไม่ใช่นักเรียนใหม่ธรรมดาเลย! ถ้าหากคนของเหลยถิงดูถูกอีกฝ่ายโดยที่ไม่มีราชันสายฟ้าคอยหนุนหลังไว้ละก็ มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะทำผิดพลาดโดยไม่คาดฝันได้จริงๆ
แน่นอนว่าเขาย่อมยินดีเห็นราชันสายฟ้าพลาดท่าเสียที!
…………
เวลานี้หลิงหลานที่กำลังพยายามเลื่อนระดับในโลกหุ่นรบเสมือนจริงอย่างสุดชีวิตไม่รู้เลยว่าจดหมายท้าของเหลยถิงถูกส่งมาถึงมืออู่จย่งแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อสองวันก่อนหลิงหลานให้หัวหน้าแต่ละคนบอกสมาชิกทุกคนอย่างลับๆ แต่แรกแล้วว่าเรากำลังสู้กับเหลยถิง
สาเหตุที่เปิดเผยออกไป ประการแรกคือ เพื่อทำให้พวกสมาชิกรับรู้การตัดสินใจของกลุ่มนักเรียนใหม่ ประการที่สองก็เพื่อรู้ให้แน่ชัดว่าสมาชิกคนไหนในกลุ่มที่ปรับตัวไปตามสถานการณ์อยากใช้ประโยชน์จากกลุ่มนักเรียนใหม่เพื่อฉวยโอกาสยืนหยัดให้มั่นคง หลิงหลานคิดว่ากลุ่มอำนาจไม่ได้อยู่ที่มีคนมากมาย หากแต่อยู่ที่ความสามัคคี ยินดีร่วมทุกข์ร่วมสุขถึงจะสามารถไปได้ไกล เธอคิดว่าการบีบบังคับของเหลยถิงในครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่จะตรวจสอบเจตนารมณ์ของสมาชิกกลุ่มนักเรียนใหม่
ส่วนกลุ่มของหลิงหลาน พวกฉีหลงย่อมติดตามลูกพี่อย่างแน่วแน่อยู่แล้ว ขณะเดียวกันอู่จย่งก็เชื่อมั่นหลิงหลานอย่างยิ่งยวด การตัดสินใจที่กล้าหาญหลายครั้งของหลิงหลานทำให้เขาได้ลิ้มรสผลประโยชน์มาไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงชีวิตที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาสิบปีทำให้อู่จย่งรู้ดีว่าหลิงหลานเป็นคนที่คู่ควรให้เชื่อใจ เขาไม่มีทางทอดทิ้งเพื่อนที่ติดตามเขาไปง่ายๆ ดังนั้นอู่จย่งยินดีเดิมพันอนาคตที่งดงามด้วยกันกับหลิงหลาน ต่อให้สุดท้ายต้องพ่ายแพ้ยับเยินเขาก็ไม่กลัว คนเราถ้าไม่บ้าดีเดือดก็สิ้นเปลืองวัยหนุ่มไปเปล่าๆ สิ!
ส่วนหลี่อิงเจี๋ย ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่พอใจหลิงหลานกับฉีหลงมาตลอด แต่ความสามารถของหลิงหลานทำให้หลี่อิงเจี๋ยไร้คำพูดจริงๆ กอปรกับหลิงหลานไม่ได้จำกัดนิสัยใจคอของเขา ถึงขนาดที่พูดชัดเจนว่าให้เขารับผิดชอบงานด้านกำเริบเสิบสาน ทำให้หลี่อิงเจี๋ยรู้สึกว่าในที่สุดก็หาคนที่เข้าใจเขาเจอแล้ว เมื่อหลิงหลานถามเขาภายใต้สถานการณ์แบบนี้ว่าจะถอนตัวเพราะเรื่องนี้หรือเปล่า หลี่อิงเจี๋ยจึงปฏิเสธทันที
หลี่อิงเจี๋ยไม่ได้ใคร่ครวญเรื่องอื่นๆ เลย เขาคิดแค่ว่า ในเมื่อหลิงหลานเชื่อใจเขา ไว้วางใจเขา เขาก็จะไม่ทำผิดต่อความไว้วางใจนี้ ยิ่งไปกว่านั้น หลี่อิงเจี๋ยที่ลำพองตนจะกลัวใครกันเล่า? กลุ่มอำนาจอันดับหนึ่งของโรงเรียนทหาร? นับเป็นอะไรได้อีก? หลี่อิงเจี๋ยไม่มีทางยอมศิโรราบเด็ดขาด นี่เป็นความทะนงตนของคนที่มาจากตระกูลอันดับหนึ่งของสหพันธรัฐ
ส่วนนักเรียนคนอื่นๆ ของสถาบันศูนย์กลาง เนื่องจากการตัดสินใจของหลิงหลานไม่เคยทำให้พวกเขาผิดหวังมาก่อน ดังนั้นถึงแม้ว่าคราวนี้ในใจพวกเขาจะไม่มีความมั่นใจ แต่พวกเขาก็ยังตัดสินใจร่วมเดินหน้าถอยกลังไปกับลูกพี่หลาน เพราะพวกเขารู้ดีว่า ถ้าหากพวกเขาไม่ต่อต้านก็ยังคงกลายเป็นเป้าหมายในการเป็นทาสของกลุ่มอื่นตามเดิม แทนที่จะเป็นแบบนี้ ไม่สู้พยายามเดิมพันอย่างสุดความสามารถ ถึงยังไงในสายตาของพวกเขา ลูกพี่หลานก็เก่งกาจอย่างยิ่งยวด และไม่เคยทำให้พวกเขาผิดหวังมาก่อน
ในทางตรงกันข้าม การตัดสินใจของพวกนักเรียนจากสถาบันอื่นๆ ของโดฮากลับทำให้พวกหลิงหลานประหลาดใจอยู่บ้าง เดิมทีพวกเขาคิดว่าคนเหล่านี้จะถอนตัวออกจากกลุ่มนักเรียนใหม่สักส่วนใหญ่ เลือกรักษาตัวรอด ไม่นึกเลยว่าคนส่วนใหญ่ไม่คิดจะถอนตัว ยินดีเดินหน้าถอยหลังร่วมกันกับกลุ่มนักเรียนใหม่ มีเพียงคนส่วนน้อยมากๆ ที่เลือกถอนตัวออกจากกลุ่มนักเรียนใหม่ จำนวนคนมีไม่ถึงสามสิบคนเลยด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้เอง จำนวนคนของกลุ่มนักเรียนใหม่ยังคงเกือบถึงห้าร้อยคนอย่างไร้ขีดจำกัด ไม่ได้ลดลงเท่าไหร่เลย และก็ทำให้กลุ่มอำนาจมากมายที่อยากเห็นกลุ่มนักเรียนใหม่ล่มสลายแตกกระจายรู้สึกผิดหวัง…โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จางจิงอันที่อยากฉวยโอกาสรับคนเข้ากลุ่ม
แน่นอนว่าการที่นักเรียนเหล่านี้ไม่ถอนตัวยินดีเดิมพันตามหลิงหลานสักครั้ง ต้องพูดว่ามีคนผู้หนึ่งจากในกลุ่มนั้นได้ลงแรงไปเยอะมาก นั่นก็คือเกาจิ้นอวิ๋น พี่สามที่ประกบกลุ่มของหลิงหลานตรงกลางทางในยานบิน
เกาจิ้นอวิ๋นสร้างบารมีในหมู่เหล่านักเรียนที่ไม่ได้มาจากสถาบันศูนย์กลางขึ้นมาไม่น้อยในช่วงเวลานี้ ถึงยังไงเขาเป็นหัวหน้าทีมเพียงกลุ่มเดียวที่ไม่ได้มาจากสถาบันศูนย์กลางแต่กลับเข้าร่วมแผนการชิงยาน ภาพลักษณ์ของหลิงหลานเปลี่ยนเป็นสูงส่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ในใจนักเรียนใหม่ภายใต้คำประกาศเผยแพร่ของเขา ถึงแม้ว่าเหลยถิงจะเป็นกลุ่มอำนาจอันดับหนึ่ง แต่ว่าในสายตาของนักเรียนใหม่เหล่านั้น หลิงหลานที่เก่งกาจจนถึงขั้นสามารถ ‘เอาชนะ’ กัปตันคนนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าราชันสายฟ้าหัวหน้ากลุ่มเหลยถิงตรงไหนเลย นี่ก็เป็นเหตุผลใหญ่ที่สุดที่พวกเขายินดีต่อต้านร่วมกับหลิงหลาน
ความคิดของพวกเขาใสซื่อมากโดยไม่ต้องสงสัย เหมือนกับมือใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ…แต่ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ บางครั้งมักจะกระทำการที่ดูหุนหันพลันแล่น บางครั้งก็สามารถเปลี่ยนโชคชะตาทั้งชีวิตของเขาได้เลย
……..
คืนนั้น พวกอู่จย่งนำจดหมายท้าประลองมา เมื่อพวกเขามาถึงบ้านพักของหลิงหลานก็ส่งจดหมายท้าให้หลิงหลานทันที
หลิงหลานนั่งอยู่บนโซฟาในห้องโถง เปิดจดหมายท้าประลองอย่างเยือกเย็น เมื่อเธออ่านเนื้อหาการท้าประลองบนจดหมาย มุมปากก็อดยกขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ “เป็นไปตามที่คาดไว้จริงๆ การประลองที่พวกเขาท้าคือการต่อสู้มือเปล่า! นี่เป็นโอกาสของพวกเรา”
สีหน้าของอู่จย่งไม่ได้ผ่อนคลายลงเท่าไหร่นัก “พวกเขาต้องส่งยอดฝีมือด้านการต่อสู้ของชั้นปีสูงมาแน่นอน ถึงขนาดที่อาจจะเป็นรุ่นพี่ปีหกเลยก็ได้ พวกเขาโตกว่าเราห้าปี ช่วงเวลาห้าปีเพียงพอที่จะเพิ่มช่องว่างห่างจากพวกเราหนึ่งขั้นเลยนะ” ตอนนี้อู่จย่งเพิ่งจะถึงระดับขัดเกลาขั้นสูงสุด ถ้าคนของฝ่ายตรงข้ามที่มาเป็นระดับพลังปราณทั้งหมด พวกเขาก็พ่ายแพ้เหมือนกันถ้าหากพวกเขาพึ่งพาแค่ฉีหลงกับหลิงหลานเพียงอย่างเดียว
“ยังไม่แน่หรอก!” หลิงหลานตอบกลับอย่างเด็ดขาด
“หมายความว่าไง?” อู่จย่งเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ
“จี้จวิน นายตรวจสอบหลักสูตรที่จัดเตรียมสำหรับปีหกภาควิชาควบคุมหุ่นรบของเราได้หรือเปล่า?” หลิงหลานหันหน้าไปถามหานจี้จวินทันที
ถึงแม้หานจี้จวินไม่แน่ใจว่าหลิงหลานถามแบบนี้ทำไม แต่เขายังคงพยักหน้า หลังจากนั้นก็ค้นหาข้อมูลหลักสูตรของโรงเรียนทหารในอุปกรณ์สื่อสารของตัวเอง ท้ายที่สุดเขาก็เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ฉายภาพเสมือนจริงที่ใหญ่ที่สุดบนผนังของบ้านพัก ฉายเนื้อหาทั้งหมดออกมา
“อู่จย่ง นายดูสิว่า พวกเราต้องเรียนอะไรตอนปีหก?” หลิงหลานชี้ไปที่ข้อมูลบนหน้าจอและกล่าวกับอู่จย่ง
อู่จย่งมองหลิงหลานอย่างมึนงงแวบหนึ่ง แต่ยังไม่ได้ทำการคัดค้านออกมาล่วงหน้า เขาดูผ่านๆ อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เข้าใจแล้ว “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ชั้นปีหกของโรงเรียนทหารไม่มีหลักสูตรการต่อสู้มือเปล่ามากมายเลย!”
“ถูกต้อง สิ่งที่ปีหกโรงเรียนทหารเน้นอบรมสั่งสอนคือการควบคุมหุ่นรบของพวกเรา ไม่ใช่การต่อสู้มือเปล่า ดังนั้น หลายปีมานี้รุ่นพี่ปีสูงไม่ได้ให้ความความสนใจด้านการต่อสู้มือเปล่าเป็นหลัก เพราะฉะนั้นความต่างชั้นด้านการต่อสู้มือเปล่าระหว่างเรากับรุ่นพี่ปีสูงไม่ได้มากอย่างที่นายจินตนาการไว้ขนาดนั้น…” หลิงหลานเอ่ยความคิดของตัวเองออกมา “นี่ก็เป็นเหตุผลที่ฉันคิดว่าพวกเรามีโอกาสไง เรื่องการต่อสู้มือเปล่า ฉันเชื่อว่านักเรียนที่มาจากสถาบันศูนย์กลางของเราเก่งมากที่สุดแน่นอน” หลิงหลานเอ่ยอย่างเด็ดขาด
“อื้อ ลูกพี่พูดถูก” ฉีหลงตอบด้วยความฮึกเหิมเป็นคนแรก ถึงแม้ว่าคนอื่นจะไม่ได้ส่งเสียงออกมา แต่สายตาของพวกเขาเปลี่ยนจากความเคร่งขรึมและความกังวลในตอนแรกมาเป็นสุกสว่างอย่างหาใดเปรียบ
สาเหตุที่พวกฉีหลงฟื้นคืนความมั่นใจรวดเร็วขขนาดนี้ได้เป็นเพราะคำพูดของหลิงหลานไม่ได้เป็นการปลอบใจล้วนๆ หากแต่เป็นความจริง เมื่อเทียบกับสถาบันของดวงดาวอื่นๆ แล้ว สถาบันศูนย์กลางลูกเสือเป็นหนึ่งในสถาบันที่ให้ความสำคัญด้านการต่อสู้มือเปล่ามากที่สุด กล่าวได้ว่า เวลานี้ยอดฝีมือด้านการต่อสู้ที่โดดเด่นเหนือใครในโรงเรียนทหาร ส่วนใหญ่แล้วก็คือนักเรียนที่มาจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ…มีเพียงนักเรียนจำนวนน้อยมากๆ ที่มาจากสถาบันอื่นของดวงดาวอื่นๆ
แน่นอนว่า ต่อสู้มือเปล่าเก่งไม่ได้หมายความว่าควบคุมหุ่นรบก็เก่งไปด้วย ก็เหมือนที่กล่าวไว้ในตอนแรก พรสวรรค์ในการควบคุมหุ่นรบต่างจากพรสวรรค์ด้านการต่อสู้มือเปล่า ดังนั้นคนที่มีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ดีก็ไม่แน่ว่าจะกลายเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบที่ยอดเยี่ยมได้ นี่ก็เป็นเหตุผลที่พวกจางจิงอันใช้ชีวิตในโรงเรียนทหารแย่ลงเรื่อยๆ
ควรรู้เอาไว้ว่า เมื่อเข้าสู่ปีสองของโรงเรียนทหาร กลายเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบที่แท้จริงแล้ว การแข่งขันระหว่างนักเรียนไม่ใช่การต่อสู้มือเปล่าอีกต่อไป หากแต่เป็นการประลองบังคับหุ่นรบ
“แต่ว่าต่อให้พวกเราแบกรับเรื่องในครั้งนี้ไปได้ ถ้ากลุ่มอื่นๆ มาอีกจะทำยังไง?” ถึงแม้ว่าอู่จย่งมีความมั่นใจแล้ว แต่เขายังคงกังวลเรื่องอนาคตของกลุ่มนักเรียนใหม่อยู่ดี ถ้ากลุ่มอำนาจพวกนั้นเวียนกันเข้ามาละก็ ต่อให้พวกเขาเป็นคนเหล็กก็ถูกอัดจนล้มคว่ำได้เหมือนกัน
“วางใจเถอะ ถ้าพวกเราชนะคราวนี้แล้ว กลุ่มอำนาจอื่นๆ ไม่มีทางมาหาพวกเราแน่นอน” หลิงหลานเอ่ยอย่างเฉยชา
“เพราะอะไร?” อู่จย่งถาม
“ขนาดเหลยถิงที่เป็นกลุ่มอำนาจอันดับหนึ่งยังกินพวกเราไม่ลงในด้านการต่อสู้มือเปล่า แล้วคนพวกนั้นจะทำได้เหรอ?” หลิงหลานตอบ “ฉันคาดการณ์ดูแล้วว่าการท้าประลองอีกครั้งจะต้องมาตอนที่พวกเรากลายเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบที่แท้จริงแล้ว เวลานั้นถึงค่อยเป็นเวลาที่ยากลำบากมากที่สุดของเรา ไม่เพียงต้องรับมือการแก้แค้นของเหลยถิง กลุ่มอำนาจอื่นๆก็จะจ้องทำร้ายพวกเราด้วยเหมือนกัน”
ราชันสายฟ้าไม่มีทางปล่อยให้กลุ่มนักเรียนใหม่ที่ทำให้เหลยถิงอับอายคงอยู่ต่อไปแน่นอน หลิงหลานไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอดันนึกถึงคำพูดที่จีอู๋ปู้ซิวบอกไว้อีกแล้วว่า ราชันสายฟ้าไม่ใช่คนที่พูดง่ายขนาดนั้น….
ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะพูดด้วยความเคร่งขรึมและฟังดูยากเย็นมาก แต่ว่าไม่เห็นความกดดันอะไรบนใบหน้าเธอเลย เธอยังคงเอ่ยอย่างนิ่งเรียบมากๆ ว่า “แต่ว่าเวลานั้น พวกเราก็ไม่ใช่นักเรียนใหม่อีกต่อไปแล้ว ช่วงเวลาสองปีเพียงพอให้พวกเราสั่งสมความสามารถ”
เวลานี้เองหลิงหลานค่อยมองไปที่อู่จย่ง “แน่นอนว่า พวกเราย่อมผ่านช่วงเวลานี้ไปไม่ง่ายเลย เราต้องเลื่อนความสามารถด้านการควบคุมหุ่นรบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่อย่างนั้นสองปีให้หลัง พวกเราที่มีความสามารถไม่เพียงพอก็ยังกลายเป็นเนื้อปลาบนเขียงที่ไม่ว่าใครก็ฆ่าแกงได้อยู่ดี”