I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 380 แตกแยก!
พวกถังอวี้ที่อยู่แนวหลังคอยทำการโจมตีระยะไกลสนับสนุนแนวหน้ามาตลอด เนื่องจากพวกเขาต่างเป็นหุ่นรบระดับพิเศษและไพ่ราชาเลยได้ล่วงรู้ว่าบนฟ้ามีหุ่นรบศัตรูกลุ่มใหม่ร่อนลงมาอีกครั้งก่อนหน้าหุ่นรบทั่วไปก้าวหนึ่ง
ถังอวี้ล็อกเป้าหุ่นรบศัตรูตัวหนึ่งอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาซูมภาพหุ่นรบศัตรูและเห็นรูปลักษณ์ภายนอกของหุ่นรบที่ดูคุ้นเคยดี สีหน้าของถังอวี้ก็อดเปลี่ยนไปไม่ได้ เขาสุ่มเลือกหุ่นรบอีกหลายตัวทันทีแล้วซูมภาพอย่างเร็วไว ก่อนจะพบว่าหุ่นรบเหล่านี้ส่วนมากต่างเป็นหุ่นรบไพ่ราชาและหุ่นรบระดับพิเศษ อัตราเกือบสี่ต่อหนึ่ง…จำนวนมากกว่าห้าร้อยตัว!
ถังอวี้รู้ว่านี่น่าจะเป็นไพ่ตายสุดท้ายของศัตรูแล้ว หมายความว่าศึกตัดสินสุดท้ายของการรบในครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
“อาจารย์ของโรงเรียนทหารที่มีระดับตั้งแต่ผู้ควบคุมหุ่นรบระดับพิเศษขึ้นไปรีบเข้ามาหาฉันเดี๋ยวนี้…” ในฐานะที่ถังอวี้มียศสูงสุดในหมู่อาจารย์ เขาตัดสินใจเชื่อมต่อช่องสื่อสารของภายในอาจารย์โรงเรียนทหารแล้วออกคำสั่งลงไปอย่างเฉียบขาด
บรรดาอาจารย์ของโรงเรียนทหารที่เดิมทีกระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ ได้ยินคำสั่งของถังอวี้ก็พากันหยุดการยิงโจมตีในมือ ก่อนจะขับหุ่นรบเข้าไปหาถังอวี้ ไม่ถึงหนึ่งนาที อาจารย์ที่มีประสบการณ์โชกโชนเหล่านี้ต่างรวมกลุ่มกันที่ข้างกายถังอวี้
ถังอวี้แบ่งปันข้อมูลบนฟ้าส่งไปให้อาจารย์ทุกคน ในเวลาเดียวกันก็แบ่งพวกอาจารย์ออกไปกลุ่มจำนวนหนึ่ง และบอกว่าขอเพียงหุ่นรบศัตรูเข้ามาในขอบเขตการบินระดับต่ำของของดาวซินสิงแล้ว พวกเขาจะต้องออกไปรับศึก
คนที่ปกป้องเขตที่พักอยู่บนพื้นต่างเป็นหน่วยรบหุ้มเกราะภาคพื้นดินของสหพันธรัฐ เมื่อไฟสงครามลุกโชนขึ้นบนผืนดิน คนที่โชคร้ายก่อนก็คือทหารเหล่านี้ นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมที่ถังอวี้ตัดสินใจวางสนามรบไว้บนฟ้า ยิ่งไปกว่านั้น ด้านหลังหน่วยรบหุ้มเกราะก็คือเขตที่พัก คนที่อยู่ด้านในทั้งหมดคือบรรดานักเรียนทหารที่ไม่มีความสามารถต้านทานเลยสักนิดเดียว ถึงอวี้จึงไม่ยอมให้การหุ่นรบทำการต่อสู้บนพื้นได้เพื่อความปลอดภัยของพวกนักเรียน
อาจารย์ทุกคนรู้ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ไม่เอื้อต่อพวกเขาสุดขีด เนื่องจากกองกำลังภาคพื้นดินที่คุ้มกันดาวซินสิงมีผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาน้อยมากเกินไป ต่อให้บวกอาจารย์อย่างพวกเขาเข้าไปด้วยก็ยังด้อยกว่านิดหน่อย เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาของข้าศึกที่บุกมา
เวลานี้เอง เฉียวถิงที่สังเกตเห็นสถานการณ์แล้วรีบเข้ามาก็เอ่ยถามด้วยความร้อนใจว่า “อาจารย์ถังอวี้ พวกเราควรทำยังไงดีครับ?”
“ร่วมมือกับกองกำลังภาคพื้นดินต่อไป ทำการสนับสนุนระยะไกล!” ถังอวี้ไม่กล้าให้เฉียวถิงต่อสู้กับพวกเขา ควรรู้เอาไว้ว่าหากต่อสู้กับหุ่นรบไพ่ราชาจำนวนมาก ต่อให้เป็นเขาก็ไม่อาจรับประกันความปลอดภัยของตัวเองได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปกป้องเฉียวถิงเลย เพื่อความปลอดภัยของพวกนักเรียนแล้ว เขาคิดว่าอยู่ด้านหลังกองกำลังภาคพื้นดินยังจะดีเสียกว่า
คำสั่งของถังอวี้ทำให้เฉียวถิงไม่พอใจมาก เขาเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชานะ แถมยังแข็งแกร่งกว่าพวกอาจารย์ที่เป็นผู้ควบคุมหุ่นรบระดับพิเศษนิดหน่อย ในเมื่อพวกเขาสามารถเข้าไปในสนามรบได้ ทำไมเขาถึงเข้าไปไม่ได้ล่ะ? เขายังคิดจะประท้วงก็ได้ยินถังอวี้ตะโกนเสียงดังว่า “เฉียวถิง เชื่อฟังคำสั่งฉัน!”
เฉียวถิงที่เข้าใจนิสัยของถังอวี้ดี รู้ว่าถังอวี้ตัดสินใจไม่ให้เขาเข้าไปในสนามรบแล้ว เขาขอร้องต่อไปก็ไม่มีความหมาย ดังนั้นเขาจึงกัดฟัน ตอบเสียงคลุมเครือว่า “เข้าใจแล้วครับ อาจารย์ถังอวี้!”
ความเร็วในการร่อนลงมาของศัตรูไม่ได้เร็วแต่ก็ไม่ได้ช้าเหมือนกัน ห้านาทีให้หลัง ศัตรูเข้าสู่ขอบเขตการบินระดับต่ำอย่างเป็นทางการแล้ว ถังอวี้เห็นแบบนั้นก็รีบสั่งการว่า “โจมตี!”
หลังจากเสียงคำสั่ง ถังอวี้ก็พุ่งออกไปเป็นคนแรก เขาเร่งเครื่องยนต์ไอพ่นหลัก บังคับหุ่นรบให้บินขึ้นไปบนฟ้าทันใด และด้านหลังเขา พวกอาจารย์ทยอยกันพุ่งไปหาศัตรูที่ร่วงลงมาจากฟ้าภายใต้การนำของเขา จากนั้นก็เห็นหุ่นรบสองกลุ่มจากบนฟ้าและผืนดินเผชิญหน้ากันกลางท้องฟ้าที่สูงหนึ่งร้อยเมตรในที่สุดแล้วเริ่มการต่อสู้ของพวกเขา…
“หัวหน้ากลุ่ม ตอนนี้พวกเราควรทำยังไงดี?” เมื่อเห็นเฉียวถิงไม่ได้เชื่อฟังคำสั่งของอาจารย์กลับไปที่แนวหลังของกองกำลังภาคพื้นดิน ยังคงยืนอยู่ที่เดิม สมาชิกกลุ่มคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายเขาก็อดเอ่ยถามไม่ได้
“ช่วงเวลาวิกฤติแบบนี้ พวกเราจะหลบอยู่หลังอาจารย์ได้ยังไงกันเล่า” เฉียวถิงกล่าวอย่างฮึกเหิม “ฉันอยากไปสู้ ฉันอยากปกป้องโรงเรียนของเรา คนที่อยากตามฉันไปต่อสู้ก็ตามฉันไป คนที่อยากเชื่อฟังคำสั่งของอาจารย์ให้อยู่ที่นี่ก็อยู่ที่นี่ไป ฉันจะไม่ฝืนใจบังคับ!”
คำพูดของเฉียวถิงทำให้สมาชิกกลุ่มข้างกายเงียบไปทันที ผู้สนับสนุนที่จงรักภักดีต่อเฉียวถิงมากที่สุดมาโดยตลอดก็เด้งตัวออกมาเอ่ยสนับสนุนอีกครั้งว่า “หัวหน้ากลุ่มพูดถูก ตอนนี้เป๋นช่วงเวลาวิกฤติที่สุดของโรงเรียน พวกเราจะเป็นคนขี้ขลาดตาขาวหลบอยู่หลังพวกอาจารย์ได้ยังไง? ฉันตัดสินใจไปกับหัวหน้า”
เมื่อเห็นพวกสมาชิกกลุ่มยังคงเงียบกริบ เขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “พวกนายลืมคำสาบานต่อธงทหารตอนที่เข้าโรงเรียนไปแล้วหรือไง? คนที่ไม่มีความกล้าปกป้องแม้กระทั่งโรงเรียนตัวเอง ไม่คู่ควรกับการขับหุ่นรบเลย!”
คำพูดประโยคนี้ทำให้สมาชิกกลุ่มหลายคนทนรับไม่ไหว พากันเอ่ยปากภายใต้ความฮึกเหิมว่า “ฉันไป!” “ฉันไปด้วย!” “ยังมีฉันอีกคน!” สมาชิกกลุ่มสิบเอ็ดคนตะโกนแทบจะพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ท้ายที่สุดเหลืออีกสามคนที่ยังไม่ส่งเสียงออกมา เฉียวถิงถามอย่างเย็นชาว่า “พวกนายตั้งใจจะอยู่ที่นี่แล้วเหรอ?”
ทั้งสามคนเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็มีคนหนึ่งเปิดปากตอบว่า “อาจารย์ถังอวี้ให้เราอยู่ที่นี่ ฉันคิดว่าควรเชื่อฟังคำสั่งของอาจารย์นะ บทเรียนแรกที่พวกเราเรียนก็คือต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา และจะเคลื่อนไหวพลการไม่ได้เด็ดขาด”
เฉียวถิงได้ยินคำกล่าวสายตาก็หรี่ลง ทั่วทั้งร่างเย็นยะเยือก ทำให้สมาชิกกลุ่มคนอื่นๆ อีกหลายคนรู้สึกว่าท่าไม่ดีอยู่บ้าง ขณะที่หนึ่งในนั้นกำลังคิดจะเอ่ยปากโน้มน้าวสามคนนั้น ก็ได้ยินเฉียวถิงกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกนายสามคนก็อยู่ที่นี่เถอะ” เขากล่าวจบก็หันหน้าไปเอ่ยกับสมาชิกกลุ่มสิบสองคนที่อยากไปกับเขาว่า “คนอื่นๆ ตามฉันไป!”
สิ้นเสียงคำพูด เฉียวถิงก็ขับหุ่นรบวิ่งไปยังส่วนลึกของโรงเรียนทหารเป็นคนแรก สมาชิกกลุ่มทั้งสิบสองคนไม่กล้าพูดอะไร รีบขับหุ่นรบตามไปติดๆ ไม่นานกลุ่มเฉียวถิงสิบสามคนก็ถูกความมืดยามราตรีกลืนหายไป ออกไปจากรัศมีเขตที่พักแล้ว
สามคนที่ถูกทิ้งไว้มองเงาหลังของเฉียวถิงหายไป หุ่นรบที่ตอบเฉียวถิงตัวนั้นพลันผ่อนคลายไปทั่วทั้งร่าง แทบจะยืนไม่อยู่ สองคนที่อยู่ข้างกายประคองอีกฝ่ายไว้ตามจิตใต้สำนึก ถึงค่อยป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายล้มลงไปได้
“เมื่อตะกี้ฉันนึกว่าหัวหน้ากลุ่มจะเป็นบ้าไปแล้ว” สมาชิกกลุ่มที่ยืนไม่อยู่คนนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่น
“ฉันก็ด้วย!” หุ่นรบสองตัวที่อยู่ข้างๆ รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน
“ฉันกังวลว่าต่อไปหัวหน้ากลุ่มจะมาคิดบัญชีย้อนหลังหรือเปล่า?” หุ่นรบหนึ่งในนั้นเอ่ยด้วยความกังวลใจอยู่บ้าง
“ถ้าเกิดพวกเรารอดกันหมด จะต้องโดนแน่ๆ หัวหน้าไม่มีทางปล่อยพวกคนที่ขัดคำสั่งของเขาอย่างเราไปอยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดโชคดีรอดไปได้จริงๆ ละก็ ฉันตั้งใจว่าจะถอนตัวออกจากเหลยถิง” สมาชิกกลุ่มที่ตอบเฉียวถิงคนนั้นเอ่ยอย่างแน่วแน่
คำพูดของเขาทำให้หุ่นรบข้างกายสองตัวตกตะลึงไป ควรรู้เอาไว้ถ้าหากถอนตัวออกจากเหลยถิงก็หมายความว่าพวกเขาจะถูกกลุ่มหุ่นรบเหลยถิงมองเป็นคนทรยศ ย่อมยากจะเดินอยู่ในโรงเรียนทหาร
“ถึงยังไงก็สอบสิ่งที่ต้องสอบเสร็จหมดแล้ว ถึงเวลานั้นฉันยื่นคำขอไปฝึกปฏิบัติจริงบุกเบิกพื้นที่ พอกลับมาก็เป็นเวลาสมัครสอบเข้ากองทัพแล้ว…” คนผู้นั้นไม่ได้ตัดสินใจอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ เขาวางแผนการในอนาคตเรียบร้อยแต่แรกแล้ว นี่ก็เลยทำให้เขามีความมั่นใจที่จะขัดคำสั่งของเฉียวถิง
“หัวหน้ากลุ่มจะไปกองทัพที่สาม นี่เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้แล้ว เข้าได้เลยโดยไม่ต้องสอบ ได้ยินว่าจอมพลที่สามสั่งการด้วยตัวเองเลยนะ” สมาชิกกลุ่มอีกคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูอิจฉา นี่ย่อมเป็นเรื่องที่มีเกียรติ ว่ากันว่า ปีนั้นมีเพียงนายพลหลิงเซียวที่ได้รับเกียรตินี้เช่นกัน ตอนนั้นยังเป็นจอมพลที่สอง ปัจจุบันนี้เป็นจอมพลที่หนึ่งแล้วที่ถูกใจนายพลหลิงเซียว พิจารณาสั่งการด้วยตัวเอง เลือกชื่อนายพลหลิงเซียวโดยตรงว่าเข้ากองทัพของเขาได้ทันทีเลยโดยไม่ต้องสอบ
“นายสมัครสอบเข้ากองทัพที่สามไม่ได้อีกแล้ว ถึงขนาดที่สมัครสอบเข้ากองทัพที่มีไมตรีกับกองทัพที่สามด้วยไม่ได้” ต่อให้เป็นนักเรียนทหารก็รู้เหมือนกันว่ากองทัพก็มีแบ่งฝ่ายเหมือนกัน ถ้าหากเฉียวถิงตั้งมั่นอยู่ในกองทัพที่สาม พวกเขาสมัครเข้ากองทัพฝ่ายเดียวกันย่อมไม่เป็นผลดี
“ฉันจะสมัครเข้ากองทัพที่ยี่สิบสาม” คนผู้นั้นเอ่ยอย่างเฉียบขาด “กองทัพอื่นๆ ฉันไม่แน่ใจ แต่กองทัพที่ยี่สิบสาม กองทัพของนายพลหลิงเซียวไม่มีความเกี่ยวข้องกับกองทัพที่สามแน่นอน นอกจากนี้พวกลูกพี่ฮั่วก็อยู่ในกองทัพที่ยี่สิบสามด้วยเหมือนกัน บางทีหัวหน้ากลุ่มอาจจะกลายเป็นนายพลหลิงเซียวคนที่สองในอนาคต กลายเป็นลูกรักของสวรรค์ในอนาคต แต่ฉันยังคงรู้สึกว่าติดตามลูกพี่ฮั่วมั่นคงปลอดภัยมากกว่า”
หัวหน้ากลุ่มเฉียวถิงทระนงตนมากเกินไป เมื่อทำการตัดสินใจก็แทบจะไม่สนในคำแนะนำของใครเลย ถึงแม้ว่านี่คือความมั่นใจที่ผู้ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมี แต่เขายังคงรู้สึกว่า เฉียวถิงมั่นใจในตัวเองมากเกินไป นี่ไม่ดีต่ออนาคตของกลุ่มมากนัก นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมเขายืมคำสั่งของอาจารย์ถังอวี้มาปฏิเสธในการติดตามเฉียวถิงออกไปปฏิบัติการ
คำพูดของเขาทำให้สองคนที่เหลือเงียบไป ผ่านไปหลายวินาทีหนึ่งในนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนว่า “ฉันจะดูต่ออีกหน่อย ถึงยังไงนั่นก็เป็นเรื่องราวในภายหลัง ตอนนี้คิดว่าจะเอาชีวิตรอดต่อไปยังไงกันดีกว่า”
คำพูดของเขามีเหตุผลมาก ทั้งสามคนไม่มีอารมณ์พูดคุยอีกแล้วเหมือนกัน ถ้าเกิดพวกเขาไม่สามารถเอาชีวิตรอดในสงครามนี้ไปได้ เรื่องทุกอย่างในอนาคตก็ไม่มีประโยชน์ให้พูดแล้ว แป๊บเดียว พวกเขาก็ขับหุ่นรบกลับมาที่แนวหลังของกองกำลังภาคพื้นดินอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มทำภารกิจก่อนหน้านี้ของพวกเขา ยิงลำแสงโจมตีระยะไกล ช่วยเหลือกองกำลังแนวหน้าต้านข้าศึกที่บุกโจมตี
ขณะที่ต่อสู้ สมาชิกกลุ่มอีกคนที่เงียบไม่ส่งเสียงสักแอะมาตลอดลอบเชื่อมต่อช่องสื่อสารของสมาชิกกลุ่มที่อยากสมัครกองทัพที่ยี่สิบสามคนนั้น แล้วเอ่ยกับเขาว่า “ตอนที่สมัครเข้ากองทัพที่ยี่สิบสาม เรียกฉันด้วยนะ”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ สมาชิกกลุ่มที่ต่อต้านเฉียวถิงคนนั้นก็เผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา ดูเหมือนว่าคนที่สังเกตเห็นว่าเฉียวถิงมีปัญหาจะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น…
…..
เวลานี้ ทางฝั่งเฉียวถิงกำลังพาสมาชิกกลุ่มสิบสองคนวิ่งออกไปจากเขตที่พักอย่างรวดเร็ว ถึงแม้เฉียวถิงมีความมั่นใจในตัวเอง แต่เขาก็รู้ดีว่า เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่มืดฟ้ามัวดิน นักเรียนทหารที่ขาดประสบการณ์ต่อสู้อย่างพวกเขาอยากจะคว้าความได้เปรียบนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย ถ้าเกิดอยากให้นักเรียนทหารอย่างพวกเขาแสดงกำลังรบที่ควรมีออกมา พวกเขาจำเป็นต้องออกห่างจากสนามรบหลักในการต่อสู้กับศัตรู
เฉียวถิงเชื่อว่า สถานที่แห่งอื่นๆ ของโรงเรียนทหารจะต้องมีหุ่นรบศัตรูอยู่กันอย่างกระจัดกระจายแน่นอน และเป้าหมายของเฉียวถิงก็คือหุ่นรบศัตรูพวกนี้ นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมเขาต้องพาสมาชิกกลุ่มทั้งสิบสองคนย้ายสนามรบ
ทีมหุ่นรบที่เฉียวถิงนำทีมนั้นอยู่บนเส้นทางเดียวกับทีมหุ่นรบที่มีหลิงหลานนำทีมถอยทัพชั่วคราวโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่ทีมหนึ่งเข้าไปใกล้เขตที่พักเพื่อรับรองความปลอดภัย ส่วนอีกทีมอยากได้ผลการรบเลยเลือกออกห่างจากเขตที่พัก…
สงครามยังคงดำเนินต่อไป นอกจากนี้ยิ่งรบยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นทหารสหพันธรัฐ หรือว่าอาจารย์ของโรงเรียนทหารล้วนตกอยู่ในท่ามกลางวังวนสงคราม นอกจากสู้ สู้ และก็สู้แล้ว ขอเพียงพวกเขาไม่บาดเจ็บล้มตาย พวกเขาก็ต่อสู้ไปเรื่อยๆ ไม่หยุดนิ่ง ทุกคนไม่รู้เลยว่าสงครามนี้จะยุติลงเมื่อไหร่…