I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 390 เสียงแห่งความเสื่อมโทรม!
หานจี้จวินเองก็ตระหนักได้เช่นกัน จำเป็นต้องพูดว่า ‘ค่ำคืนแห่งความเงียบงัน’ เป็นเพลงอมตะอย่างแท้จริง นักร้องหลี่อินเฟยทะยานขึ้นมาจากนักร้องที่ไร้ชื่อเสียงกลายเป็นนักร้องที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของสหพันธรัฐ เรียกได้ว่าเป็นการทะยานขึ้นฟ้าในก้าวเดียว สิ่งที่ทำให้ผู้คนนับถือชื่นชมมากยิ่งขึ้นคือ เธอแค่อยากร้องเพลงส่งวิญญาณเพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณผู้ที่เสียชีวิตเท่านั้น ดังนั้นเริ่มแรกจึงมีเพียงเสียงเพลงของเธอ ไม่ได้เปิดเผยหน้าตาที่แท้จริง
“เธอเลือกมาโรงเรียนเราทำไม?” หานจี้จวินเองก็อยากรู้เรื่องของหลี่อินเฟยมากเช่นกัน
เซี่ยอี๋ตอบ “ก่อนหน้านี้ ชาวสหพันธรัฐเรียกร้องให้หลี่อินเฟยปรากฏตัวมากเลยไม่ใช่เหรอ? เอเจนซี่ของหลี่อินเฟยถูกกดดัน ในที่สุดก็เลยเลือกโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงให้หลี่อินเฟยเปิดเผยตัวเป็นครั้งแรก เพราะงั้นวันที่เก้าเดือนหน้าก็คือเวลาที่หลี่อินเฟยขึ้นเวทีปรากฏตัวขึ้นในโรงเรียนทหาร พวกเราก็คือผู้ชายกลุ่มแรกที่ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเธอด้วย…” เซี่ยอี๋กล่าวถึงตรงนี้ก็ยากจะระงับความตื่นเต้น อดกู่ร้องขึ้นมาไม่ได้
คำพูดของเขาได้รับความเห็นชอบจากฉีหลง เวลานี้ฉีหลงไม่มีใจจะทานอาหารเช้าต่อแล้ว เขาทิ้งอาหารเช้าที่ทานลงไปได้ครึ่งหนึ่ง ก่อนจะวิ่งขึ้นไปข้างบนล็อกอินเข้าสู่โลกเสมือนจริง และค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหลี่อินเฟย
บทสนทนาของพวกฉีหลงทำให้หลิงหลานที่งุนงงในตอนแรกตระหนักขึ้นมาได้แล้วเช่นกัน เธอเคยฟัง ‘ค่ำคืนแห่งความเงียบงัน’ มาก่อน มันเป็นเพลงที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ เสี่ยวซื่อเคยทำการวิเคราะห์มาก่อน นักร้องที่ร้องเพลงนี้น่าจะเป็นผู้ปลุกพรสวรรค์คนหนึ่ง พรสวรรค์ที่ตื่นขึ้นมาของเธอก็คือ เสียงแห่งความเสื่อมโทรม สามารถทำให้ผู้ฟังตกเข้าไปอยู่ในห้วงบทเพลงที่เธอร้องง่ายดายมากยิ่งขึ้น ความสำเร็จของหลี่อินเฟยย่อมเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าเนื้อร้องและท่วงทำนองก็ชั้นเอกเช่นกัน เมื่อรวมปัจจัยต่างๆ เข้าด้วยกันจึงทำให้หลี่อินเฟยเป็นตำนาน
“เป็นกลุ่มเด็กอ่อนหัดจริงๆ” หลิงหลานลอบทอดถอนใจ ถึงแม้ภายใต้มนต์สะกดพรสวรรค์เสียงแห่งความเสื่อมโทรมของหลี่อินเฟยในบทเพลง ‘ค่ำคืนแห่งความเงียบงัน’ จะไพเราะน่าฟังและซาบซึ้งกินใจมากจริงๆ แต่เนื่องจากพลังจิตของหลิงหลานแข็งแกร่งสุดขีด เลยไม่ได้หลงใหลและคลั่งไคล้เหมือนพวกฉีหลง
ในไม่ช้า คอนเสิร์ตครั้งแรกของหลี่อินเฟยก็เปิดม่านอย่างเป็นทางการในสนามกีฬาของโรงเรียนทหารภายใต้ความคาดหวังอย่างแรงกล้าของฉีหลง เซี่ยอี๋และคนอื่นๆ ฉีหลงกับเซี่ยอี๋สองคนตัดสินใจซื้อตั๋วคอนเสิร์ตให้ทุกคนในทีมโดยพลการ ไม่ได้แจ้งลูกพี่ตนล่วงหน้า ควรรู้ว่าหลิงหลานไม่มีความสนใจไปคอนเสิร์ตไล่ตามนักร้องสาวกับกลุ่มผู้ชายเลย…
แน่นอนว่า หลังจากที่พวกฉีหลงกับเซี่ยอี๋กระทำเรื่องโง่เง่านี้ไปแล้ว พวกเขาก็กลัวว่าลูกพี่ตนจะคิดบัญชีย้อนหลังเหมือนกัน ดังนั้นเลยเอ่ยอย่างตลบตะแลงว่านี่คือกิจกรรมของทีมสำหรับทีมหลิงหลานที่พวกเขาสองคนออกเงินทุนทำกิจกรรม หลิงหลานที่เป็นลูกพี่จึงต้องพาทีมไปเข้าร่วม ไม่อาจทำร้ายหัวใจที่เปราะบางดวงน้อยๆ ของพวกลูกทีมได้
หลิงหลานครุ่นคิด วันนั้นเธอไม่มีธุระอะไร กอปรกับไม่เคยเห็นคอนเสิร์ตของโลกนี้มาก่อนว่าเป็นแบบไหน ก็เลยตอบตกลงด้วยความอยากรู้อยากเห็น นำพาสมาชิกทีมทั้งหมดไปสัมผัสคอนเสิร์ตด้วยตัวเอง
จำเป็นต้องพูดว่า การทำงานของฉีหลงกับเซี่ยอี๋ยอดเยี่ยมมาก ไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนใช้วิธีการอะไรถึงได้ตำแหน่งดีอย่างแถวที่ห้าจากทางด้านหน้าเวที ขณะเดียวกันหลายแถวด้านหน้าพวกเขาต่างเป็นบุคคลระดับสูงของกลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ ในโรงเรียนทหาร ราชันสายฟ้าเฉียวถิงของกลุ่มหุ่นรบเหลยถิงเองก็เข้าร่วมและนั่งอยู่ตรงแถวที่สอง
ส่วนแถวแรกย่อมเป็นพวกอาจารย์กับระดับสูงของโรงเรียนทหาร หลี่อินเฟยเลือกโรงเรียนทหารในการแสดงคอนเสิร์ต ครั้งแรก พวกระดับสูงของโรงเรียนทหารต้อนรับอย่างมีความสุขมาก ถึงอย่างไรทุกคนล้วนรู้ว่า บทเพลง ‘ค่ำคืนแห่งความเงียบงัน’ นี้ก็เป็นบทเพลงที่แต่งเพื่อเหล่านักเรียนทหารผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิตไป การที่หลี่อินเฟยเลือกที่นี่ก็แสดงถึงความให้เกียรติของเธอต่อโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง
หลิงหลานเพิ่งจะนั่งลง หลี่หลานเฟิงที่ตามหลังหลิงหลานมาตลอดมีปฏิกิริยาไวมากที่สุดแย่งที่นั่งข้างกายหลิงหลานทันที ลั่วล่างไม่ยอมด้อยกว่า ถึงแม้ว่าเขาจะช้าไปก้าวหนึ่ง แต่ยังคงแย่งที่นั่งข้างกายหลิงหลานอีกที่มาได้ ทั้งสองคนยึดตำแหน่งซ้ายขวาของหลิงหลานไว้มั่นประหนึ่งขุนพลเฮิงและฮา[1]
ถึงแม้ฉีหลง เซี่ยอี๋และคนอื่นๆ ก็อยากอยู่ข้างหลิงหลานเหมือนกัน ทว่าสุดท้ายพวกเขาที่ช้ากว่าหลี่หลานเฟิงและลั่วล่างไปจังหวะหนึ่งก็ได้แต่ขยี้จมูกด้วยความจนปัญญา เลือกนั่งลงบนตำแหน่งอื่นด้วยความหงุดหงิด
มีเพียงหลี่ซื่ออวี๋กับฉางซินหยวนสองคนที่ติดตามรั้งท้ายทีมด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ทั้งคู่ต่างเป็นพวกบ้าการวิจัย ไม่สนใจสิ่งที่เรียกว่านักร้องเลย สำหรับพวกเขาแล้ว มีเวลาว่างมาเสียเวลาที่นี่ยังไม่สู้อยู่ในห้องวิจัยของตัวเอง ทำการศึกษาวิจัยหัวข้อของพวกเขาเลย
อย่างไรก็ตาม หลิงหลานบอกว่านี่คือภารกิจกลุ่มของทีมห้ามใครขาด ดังนั้นพวกเขาสองคนเลยจำต้องยอมประนีประนอม ฝืนบังคับตัวเองให้เดินออกมาจากในห้องทดลอง ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ความไม่ยินยอมพร้อมใจที่มีอยู่เต็มเปี่ยมทำให้พวกเขารั้งอยู่ด้านหลังสุดของทีม รอจนทุกคนนั่งลงแล้วถึงค่อยเลือกนั่งลงบนที่นั่งว่างสองตัวสุดท้ายซึ่งอยู่ติดกัน แต่ไม่นานพวกเขาก็ขลุกอยู่กับการวิจัยอีกครั้ง ถึงแม้จะออกจากห้องทดลอง สภาพแวดล้อมก็เลวร้ายมากจริงๆ แต่นี่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการคำนวณสูตรบางอย่างของพวกเขาเลย…
ทั่วทั้งสนามเงยหน้ารอคอยหลี่อินเฟยขึ้นเวทีคอนเสิร์ต ในที่สุดเมื่อเวลามาถึง ดวงไฟพลันมืดลง ทุกคนอดร้องเชียร์อย่างบ้าคลั่งไม่ได้ เพราะทุกคนรู้ว่าคอนเสิร์ตกำลังจะเปิดม่านขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว…
‘ในค่ำคืนแห่งความเงียบงัน…’ เสียงกระจ่างใสค่อยๆ ดังก้องขึ้นมาในสนามกีฬา ไม่มีดวงไฟ ท่ามกลางความมืดมิดกลับทำให้เสียงนี้ยิ่งซึมลึกลงไปในจิตวิญญาณของทุกคน เสียงเชียร์ที่เดิมทีคึกคักเริ่มเบาลง จนกระทั่งท้ายที่สุดก็เปลี่ยนเป็นความเงียบกริบ นักเรียนทหารทุกคนคล้ายกับหวนกลับไปยังค่ำคืนนั้นอีกครั้งตามเสียงเพลงนี้ สงครามที่รุนแรงโหดร้าย ความรู้สึกที่ไร้ความสามารถในตอนนั้นมาเยือนอีกครั้ง ทั้งสนามเปลี่ยนเป็นความเงียบงัน ทุกคนต่างยืนสงบนิ่งไว้อาลัยให้กับเพื่อนและเพื่อนร่วมโรงเรียนผู้บริสุทธิ์ที่ล่วงลับไปในค่ำคืนนั้น…
“ฟังหลี่อินเฟยร้องเพลงสดๆ แล้วยิ่งรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของเสียงแห่งความเสื่อมโทรมอีกฝ่ายเลย” ในที่สุดเสี่ยวซื่อก็อดโผล่หัวออกมาไม่ได้ เขายังไม่เคยเห็นความสามารถของพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อน ไม่นึกเลยว่าสามารถควบคุมอารมณ์ของผู้คนสี่หมื่นห้าหมื่นคนจากทั้งสนามได้
“แข็งแกร่งมากจริงๆ ไม่มีทางป้องกันเสียงแห่งความเสื่อมโทรมได้เลย!” ถึงแม้หลิงหลานรู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายใช้ความสามารถของพรสวรรค์ แต่เธอยังคงรู้สึกว่าไพเราะมาก ไม่อยากต่อต้าน ความรู้สึกแบบนี้ทำให้หลิงหลานลอบขมวดคิ้ว ถ้าเกิดมีคนใช้ประโยชน์จากความสามารถแบบนี้พยายามส่งผลต่อการตัดสินใจของเธอละก็ เธอจะหลงกลหรือเปล่านะ?
“เพราะว่าเสียงแห่งความเสื่อมโทรมไม่ใช่ความสามารถโจมตี เธออยู่สายธรรมชาติ ขอเพียงผู้ปลุกพรสวรรค์ไม่มีเจตนาร้ายก็ไม่มีใครทำการป้องกัน” เสี่ยวซื่อค้นเจอข้อมูลที่เกี่ยวข้องในคลังข้อมูลของตัวเองพลางอธิบายว่า “ก็เหมือนชีตาห์ของเธอที่มีพรสวรรค์คล้ายคลึงกัน ทำให้คนอดเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อเขาเองไม่ได้ ขอเพียงเขาไม่มีเจตนาร้ายต่อเธอ ทุกอย่างก็ไม่ใช่ปัญหา”
คำพูดของเสี่ยวซื่อทำให้หลิงหลานเผลอจ้องมองไปที่หลี่หลานเฟิง แต่กลับพบว่าหลี่หลานเฟิงขมวดคิ้วแน่น ราวกับไม่ชอบเสียงร้องของหลี่อินเฟยมากๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หลิงหลานมึนงงสุดขีด ควรรู้เอาไว้ว่า ต่อให้เป็นหลี่ซื่ออวี๋กับฉางซินหยวนที่ตอนแรกหมกมุ่นอยู่ในการวิจัย พอเสียงเพลงของหลี่อินเฟยดังขึ้นมาก็หยุดการศึกษาวิจัยของตัวเองอย่างควบคุมไม่อยู่ และจมเข้าสู่เสียงเพลงของเสียงแห่งความเสื่อมโทรม
เสี่ยวซื่อรู้สึกได้ถึงความสงสัยของหลิงหลานทันที เขาเองก็รู้สึกว่าแปลกพิกลอยู่บ้างเหมือนกันเลยค้นข้อมูลในคลังข้อมูลอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง สามวินาทีให้หลัง ในที่สุดก็เจอสิ่งที่เรียกว่าสมมติฐานทางการวิจัยว่า “ลูกพี่ ในคลังข้อมูลบอกว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าพรสวรรค์ที่คล้ายคลึงกันจะมีการต่อต้าน ถึงแม้เสียงแห่งความเสื่อมโทรมของหลี่อินเฟยกับพรสวรรค์ของชีตาห์เธอจะแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ผลสะท้อนในตอนสุดท้ายกลับใกล้เคียงกันมาก พรสวรรค์ของพวกเขาก็มีการต่อต้านกันแบบนี้หรือเปล่า?”
“เป็นไปได้สูง แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยที่สุดถ้าเจอคนแบบนี้อีก ต้องมีสักคนในทีมที่สามารถคงสติไว้ได้” หลิงหลานคิดว่านี่เป็นเรื่องดี เธอไม่อยากให้อารมณ์ความรู้สึกได้รับผลกระทบจากศัตรูโดยไร้เหตุผล ถึงขนาดที่เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของตัวเองอย่างสาเหตุไม่ได้ พูดถึงตรงนี้ หลิงหลานพลันนึกถึงฉากแวบแรกที่พ่อของเธอเห็นชีตาห์ มุมปากอดยกขึ้นมาไม่ได้ แววตาเผยร่องรอยความขบขัน
ต่อให้มีพรสวรรค์แข็งแกร่งอีกสักแค่ไหน ก็มีคนที่ไม่ติดกับเช่นกัน พรสวรรค์ของหลี่หลานเฟิงสามารถทำให้ผู้คนอดผ่อนคลายความระแวดระวังและรู้สึกสนิทสนมกับเขาเองไม่ได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหลิงเซียวพ่อของเธอ พรสวรรค์นี้กลับไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ถึงขนาดที่ยังให้ผลตรงกันข้ามด้วย เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่นพวกหลี่ซื่ออวี๋ พ่อของเธอสามารถปฏิบัติต่อพวกเขาได้อย่างสุภาพอ่อนโยน แต่พอเห็นหลี่หลานเฟิง สีหน้าของพ่อเธอกลับเต็มไปด้วยความเย็นเยียบ ไม่สนใจใยดีทันที นี่ทำให้หลี่หลานเฟิงเสียใจไม่หยุด ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่ได้รับความชื่นชอบจากนายพลหลิงเซียวขนาดนี้…
หรือว่าพ่อของเธอก็มีพรสวรรค์ที่ตื่นขึ้นมาคล้ายคลึงกับชีตาห์เหมือนกัน? ดังนั้นทั้งคู่เลยมีการต่อต้านกัน? หลิงหลานนึกได้ว่าพ่อของเธอคือไอดอลของประชาชน ก็พบว่าสมมติฐานนี้มีความเป็นไปได้มากเลย…
เวลานี้หลิงหลานคิดไม่ถึงเลยว่า สาเหตุที่หลิงเซียวไม่ชอบหลี่หลานเฟิง ทั้งหมดเป็นเพราะว่าตอนนั้นหลี่หลานเฟิงปีนออกมาจากข้างในหุ่นรบของหลิงหลาน ไม่ว่าพ่อคนไหนก็ไม่สามารถทำหน้าดีๆ ใส่ผู้ชายที่ปรากฏตัวอยู่ข้างกายลูกสาวตัวเองอย่างอธิบายไม่ได้แถมยังแสดงท่าทีสนิทสนมอีกด้วย
“ความจริงแล้ว ความสามารถแบบนี้เป็นแค่การชี้นำนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบที่ชี้ขาดอะไรอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นรัฐบาลสหพันธรัฐก็คงไม่ปล่อยให้นักร้องกับนักแสดงที่มีความสามารถพรสวรรค์เหล่านี้ทำกิจกรรมที่ใกล้เคียงกันหรอก เห็นได้ว่ารัฐบาลคิดว่าคนพวกนี้ปลอดภัย” เสี่ยวซื่อใช้ความเป็นจริงบอกลูกพี่ตัวเองว่า ผู้มีความสามารถพวกนี้ไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่เธอคิดไว้ขนาดนั้น
“สงครามมักจะนำความเจ็บปวดอย่างใหญ่หลวงมา และผู้ปลุกพรสวรรค์พวกนี้สามารถช่วยปลอบประโลมความโศกเศร้าเหล่านี้ได้ สหพันธรัฐต้องการพวกเขา” คำอธิบายของเสี่ยวซื่อทำให้หลิงหลานเข้าใจทันทีว่า ทำไมรัฐบาลถึงผลักดันนักร้องกับนักแสดงพวกนี้ออกมา พวกเขาลดทอนความคิดต่อต้านสงครามของประชาชนได้ดีมาก ควรพูดว่า วิธีการของรัฐบาลสหพันธรัฐยุคนี้เหนือชั้นอย่างยิ่ง มันใช้ประโยชน์จากทุกคนอย่างเต็มกำลัง ทำให้ทุกคนคอยรับใช้เป็นเครื่องจักรสงคราม
บทเพลง ‘ค่ำคืนแห่งความเงียบงัน’ ที่ไพเราะโศกเศร้าสิ้นสุดลง บรรดานักเรียนทหารยังคงจมอยู่ในห้วงของมัน เวลานี้เอง แสงไฟพลันส่องขึ้นมาตรงกลางเวที ร่างอรชรอ้อนแอ้นหนึ่งค่อยๆ ขึ้นมาจากตรงกลางเวที ไม่ต้องบอกเลย เธอก็คือหลี่อินเฟยที่ผู้คนนับหมื่นเฝ้าคอย ทุกคนได้สติกลับมาฉับพลัน ร้องตะโกนขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ นักเรียนทหารที่เดิมทีเยือกเย็น ในที่สุดเวลานี้ก็กลับไปยังอายุที่พวกเขาควรมี เปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งขึ้นมา
“ขอบคุณทุกคนที่มาดูคอนเสิร์ตของฉันนะคะ ฉันดีใจมาก เดิมทีฉันแค่อยากปลอบประโลมให้กับดวงวิญญาณของเหล่านักเรียนทหารผู้บริสุทธิ์ที่ล่วงลับไปเท่านั้น ดังนั้นถึงมีเพลง ‘ค่ำคืนแห่งความเงียบงัน’ นี้ ไม่นึกเลยว่าเพลงนี้จะได้รับความชื่นชอบจากทุกคน ทำให้ฉันได้รับการชื่นชมโดยไม่คาดฝัน ต่อไปฉันขอมอบเพลงใหม่ของฉันให้ทุกคน ‘ไม่มีวันยอมแพ้!’”
เสียงของหลี่อินเฟยไพเราะน่าฟังมาก อ่อนละมุนแฝงไปด้วยร่องรอยความอบอุ่น เหมือนกับเสียงเพลง ‘ค่ำคืนแห่งความเงียบงัน’ ต่อให้ปวดร้าวแต่ก็มีความอบอุ่นที่ไม่มีทางดับ แน่นอนว่าเวลานี้เสียงของหลี่อินเฟยไม่ได้มีความโศกเศร้าจากในเพลงแล้ว ความอบอุ่นนี้แสดงออกมาอย่างแรงกล้ามากยิ่งขึ้น
——————————-
[1] สองขุนพลที่เป็นเทพารักษ์เฝ้าประตูวัด