I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 69 ปัญหาของหลิงหลาน
หลินจงชิงพลิกตัวกระโดดขึ้นมาด้วยสีหน้าย่ำแย่ เขาเอ่ยด้วยท่าทางหดหู่ว่า “ฉันแพ้แล้ว” ทว่าไม่นานเขาก็เชิดหน้าขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเบิกกว้าง กล่าวด้วยใบหน้าที่ไม่ยอมแพ้ว่า “แต่ว่าครั้งต่อไปฉันจะไม่แพ้นายอีกแล้ว” ความมุ่งมั่นในการต่อสู้ยังคงมีอยู่ภายในดวงตา เขาไม่ได้สูญเสียความมั่นใจเพราะความพ่ายแพ้ในครั้งนี้เลย
หลิงหลานมองเขาด้วยความใคร่ครวญแวบหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ พูดว่า “ฉันจะรอ” เด็กนี่ไม่ธรรมดาเลย เกรงว่าการกระทำของเขาอาจจจะดึงดูดความสนใจของอาจารย์ประจำชั้นได้แล้ว
เป็นไปตามที่คาดไว้จริงๆ เฉิงหย่วนหังปรบมืออยู่ด้านล่างเวที ใบหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชม เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เลว หลิงหลาน เธอสมกับเป็นนักเรียนอันดับค่อนข้างสูงของห้องพิเศษของเรา” เขาหันหน้ามองไปที่หลินจงชิง ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความชื่นชอบคนมีความสามารถ รู้ได้ว่าใครคือคนที่เฉิงหย่วนหังชื่นชมอย่างแท้จริง “หลินจงชิง เธอทำได้ดีมาก ความพ่ายแพ้คือมารดาของความสำเร็จ พยายามต่อไป ต้องมีสักวันที่เธอจะทำสำเร็จ”
หลิงหลานได้ยินคำพูดนี้ หน้าผากก็ขึ้นขีดดำ อาจารย์เฉิงคะ อาจารย์เฉิง อย่าอยู่ต่อหน้าเธอตอนที่พูดประโยคนี้ได้หรือเปล่า? นี่ไม่ใช่เป็นการแช่งว่าสุดท้ายต้องมีวันหนึ่งที่เธอพ่ายแพ้ให้กับหลินจงชิงเหรอ? ตอนนี้หลิงหลานเต็มไปด้วยความรู้สึกเดือดดาลจริงๆ
เมื่อเผชิญหน้ากับการชมเชยของเฉิงหย่วนหัง หลินจงชิงก็ฝืนข่มกลั้นความตื่นเต้นในใจ พูดออกมาว่า “เข้าใจแล้วครับอาจารย์ ผมจะพยายามให้มากๆ”
เยี่ยมเกินไปแล้ว เขาทิ้งความประทับใจดีๆ ไว้ในใจของอาจารย์ประจำชั้นได้สำเร็จ! หลินจงชิงปลุกเร้าใจตัวเอง เขาหันหน้ามองไปยังหลิงหลานที่กำลังยืนเอามือไพล่หลังทำหน้านิ่งอยู่ ในใจก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย
เขากวาดตามองไปที่ด้านล่างเวทีด้วยความเผลอไผล แล้วก็เห็นหลี่อิงเจี๋ยทำหน้าโกรธเกรี้ยวโดยที่ไม่ปกปิดเลยสักนิดเดียวเนื่องจากหลิงหลานทำตัวโดดเด่นมาก หัวใจของเขาก็มั่นคงทันที
คนที่ไม่ทำเพื่อตัวเอง ฟ้าดินประหัตประหาร[1]!
เวลานี้เสี่ยวซื่อสังเกตเห็นเจตนาของหลินจงชิงแล้ว เขากระทืบเท้าอย่างฉุนเฉียวในมิติแห่งจิต อยากให้หลิงหลานสั่งสอนเด็กน่ารังเกียจคนนั้น ทางที่ดีคืออัดมันจนกระทั่งแม่มันก็จำไม่ได้ แม่งเอ๊ย ไม่นึกเลยว่าจะวางแผนใส่ลูกพี่ของเขา ลูกพี่เขาเป็นคนที่วางแผนใส่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้นเลยเหรอ?
ตอนนี้หลิงหลานกำลังเปิดอ่านไฟล์เกี่ยวกับหลินจงชิงที่เสี่ยวซื่อส่งมาให้เธอ รู้ว่าหลินจงชิงเป็นเด็กชาวบ้าน ข้อมูลบรรพบุรุษหลายรุ่นของเขาที่สืบค้นได้มาต่างก็เป็นลูกหลานชาวบ้านธรรมดาสุดขีด การที่หลินจงชิงสามารถไปถึงร่างกายระดับ S- พลังจิตระดับหนึ่งได้นั้นย่อมเป็นเพราะการกลายพันธุ์ของยีน เด็กคนนี้น่าสงสารมากเหมือนกัน พ่อแม่ส่งเขาให้กับทางกองทัพ กลายเป็นข้อมูลในการวิจัยของกองทัพเพื่อรับผลประโยชน์ที่มากขึ้น
เพียงแต่ว่า หลังจากที่วิจัยมาหกปี หลินจงชิงก็เป็นเพียงแค่การกลายพันธุ์ของยีนที่ผิดพลาดในรูปแบบโชคดีเท่านั้น ไม่มีค่าอะไรให้วิจัยเกี่ยวกับการกระตุ้นการกลายพันธุ์ของยีนเลย และสำหรับข้อมูลที่ไม่มีค่าให้วิจัย ทางกองทัพจึงไม่สนใจความเป็นอยู่ของเขา ดังนั้นหลินจงชิงก็เลยกลายเป็นสมาชิกของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือในปีนี้
สำหรับคนที่ขาดแคลนสามอย่างแบบนี้ (ขาดครอบครัว ขาดเงิน ขาดอำนาจ) สิ่งที่กระตุ้นให้เขาท้าประลองเธอคืออะไรล่ะ? ควรทราบว่าขอเพียงหลินจงชิงเก็บตัว ไม่ให้คนสนใจ เขาก็สามารถจบหลักสูตรสิบปีของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือได้อย่างราบรื่น หลังจากนั้นก็สามารถเลือกอนาคตที่ตัวเองต้องการได้อย่างอิสระ
ทว่าเขากลับทำตัวโดดเด่นขนาดนี้ เขาดึงดูดความสนใจของอาจารย์ประจำชั้นได้จริงๆ แต่เห็นได้ชัดว่าเสียผลประโยชน์มากกว่าได้ และหลินจงชิงดูไม่เหมือนคนที่หุนหันพลันแล่นเลย
หลิงหลานคิดถึงตรงนี้ก็พูดว่า “เสี่ยวซื่อ ตรวจสอบต่อไปอีก ฉันคิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้เรียบง่ายแบบนั้นแน่”
เสี่ยวซื่อตบหน้าอกเล็กๆ ของตัวเองเบาๆ และกล่าวว่า “ลูกพี่ วางใจได้เลย ฉันจะคอยจับตามองรอบตัวหลินจงชิง จะต้องขุดความลับของเขาออกมาได้แน่นอน” เสี่ยวซื่อไปเขียนแผนการสอดแนมของเขาด้วยความความกระตือรือร้น เป็นไปได้มากกว่าเขาจะไม่หยุดพักถ้าไม่อาจตรวจสอบหลินจงชิงได้จนหมด เวลานี้หลิงหลานยืนไว้อาลัยให้หลินจงชิงที่จะถูกเสี่ยวซื่อจับตามอง เพื่อพิสูจน์ว่าจริงๆ แล้วคนผู้นี้ไม่มีความลับอะไร
การต่อสู้ของหลิงหลานกับหลินจงชิงก็จบลงเช่นนี้เอง อย่างไรก็ตามความซาบซ่านที่หลงเหลืออยู่ในใจของเรื่องนี้ยังคงไม่สิ้นสุดลง ในหมู่นักเรียนห้องพิเศษชั้นปีสูงต่างรู้ว่าปีหนึ่งห้องสเปเชียลเอมีเด็กที่ร้ายกาจมากๆ อยู่หนึ่งคน เพื่อนร่วมชั้นห้องเอที่แข็งแกร่งเป็นอันดับที่ห้าสิบก็ไม่อาจต้านทานได้ท่าเดียว
ทุกคนต่างเฝ้ารอศึกจัดอันดับในอีกครึ่งปีข้างหน้า ควรทราบว่าทุกปีอันดับหนึ่งของห้องเอต่างมีสิทธิท้าประลองข้ามชั้น ไม่รู้ว่าเด็กปีหนึ่งห้องเอคนนี้จะสามารถท้าประลองไปถึงระดับชั้นไหน (พวกเขาไม่ได้คิดถึงปัญหาเรื่องหลิงหลานอาจจะไม่ได้อันดับหนึ่งเลย) เมื่อคิดถึงจุดนี้ เด็กปีหนึ่งก็ตื่นเต้นขึ้นมา เด็กชั้นปีสูงเองก็อยากลองเหมือนกัน พวกเขาเตรียมตัวสั่งสอนเด็กอวดดีคนนี้ (ข่าวลือส่งต่อไปมา สุดท้ายเรื่องก็บิดเบี้ยวไปหมด จากปากของทุกคนหลิงหลานกลายเป็นเด็กที่แข็งแกร่ง แต่ว่ามีท่าทีอวดดีสุดขีด)
………….
ห้องสเปเชียลเอชั้นปีสี่ เด็กหนุ่มที่ดูแจ่มใสเอ่ยพลางหัวเราะกับเพื่อนที่อยู่ข้างกายว่า “ซื่ออวี๋ ปีหนึ่งมีเด็กร้ายกาจขนาดนี้ ตำแหน่งอันดับหนึ่งของลูกพี่ลูกน้องนายอันตรายมากแล้วนะ”
“ไอ้หนูอิงเจี๋ย ถ้าไม่ตกเป็นเบี้ยล่างสักหน่อย เขาก็ยังคงนึกว่าตัวเองเป็นหนึ่งในใต้หล้าจริงๆ” หลี่ซื่ออวี๋ทำหน้าเหยียดหยาม ราวกับว่าเขาดูถูกญาติผู้น้องของตัวเองมากๆ
“ตระกูลหลี่ของพวกนายนี่เหลือเกินจริงๆ ในเมื่อญาติผู้พี่คนโตของนายไม่มีพรสวรรค์ แล้วทำไมยังให้เขาเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งด้วยล่ะ ทำให้พี่น้องในตระกูลพวกนายต่อสู้กันเอง วุ่นวายมากไปแล้ว” เด็กหนุ่มที่ดูแจ่มใสรู้สึกดีใจที่ตัวเองเกิดในตระกูลอวิ๋น ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องวุ่นวายอยู่บ้างเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับตระกูลหลี่แล้ว เรื่องพวกนั้นก็ไม่นับว่าเป็นอะไรเลยจริงๆ พูดได้ว่าสะอาดหมดจดเลย
“อวิ๋นซิว นายดูถูกญาติผู้พี่ของฉันเหรอ?” หลี่ซื่ออวี๋มองเขาด้วยสีหน้าแปลกพิกลอยู่บ้างแวบหนึ่ง
อวิ๋นซิวส่งตาค้อนให้เขา “ไม่ใช่เหรอ? เขาแก่กว่านายกี่เดือนเชียว ขนาดสถาบันศูนย์กลางลูกเสือก็ยังเข้าไม่ได้ ได้ยินมาว่าเขาถูกปู่ของนายส่งไปที่ดาวเว่ยหลานดาวต้นกำเนิดตระกูลหลี่ของพวกนายเพื่อเรียนในสถาบันลูกเสือแล้วนี่นา? ดูท่าปู่ของนายก็ไม่ได้คาดหวังผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของตระกูลนายเหมือนกัน”
ดาวเว่ยหลานเป็นดาวระดับสาม เป็นดาวที่ทรัพยากรค่อนข้างล้าหลัง ไม่อาจเทียบกับโดฮาที่เป็นดาวเมืองหลวงระดับพิเศษ ปกติแล้วเด็กที่มีพรสวรรค์อยู่บ้างไม่มีทางถูกเนรเทศไปอยู่ที่นั่น
“ใครจะไปรู้ล่ะ…” สีหน้าของหลี่ซื่ออวี๋ดูงุนงงอยู่บ้าง เขามีโอกาสเจอญาติผู้พี่ไม่มาก หลังจากที่ญาติผู้พี่เกิดก็ถูกคุณปู่พาไปอบรมสั่งสอนด้วยตัวเอง ตั้งแต่เล็กจนโต จำนวนครั้งที่พวกเขาเจอกันน้อยยิ่งกว่าน้อย สามารถนับได้ด้วยมือข้างเดียว แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ เขากลับมีความประทับใจต่อญาติผู้พี่ของตัวเองอย่างลึกซึ้งมาก ความประทับใจลึกซึ้งนี้ไม่ใช่เพราะสถานะผู้สืบทอด หากแต่เป็นความรู้สึกที่ญาติผู้พี่ให้เขา
บนตัวญาติผู้พี่มีกลิ่นอายอ่อนโยนที่ทำให้คนอยากจะเข้าใกล้มากๆ ดึงดูดให้คนรอบข้างเข้าใกล้เขาอย่างน่าประหลาด ต่อให้ทุกคนในตระกูลหลี่ต่างบอกว่าญาติผู้พี่ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่ง แต่เขาก็ไม่เคยเห็นร่องรอยความโกรธและความไม่พอใจบนตัวญาติผู้พี่เลย ใบหน้ายิ้มแย้มอบอุ่นไม่เคยเปลี่ยนทำให้คนอดรู้สึกสบายใจไม่ได้
ถึงแม้ว่าเขาก็เป็นผู้ท้าชิงอำนาจที่แข็งแกร่งเหมือนกัน แต่ทุกครั้งหลังจากที่เขาเจอญาติผู้พี่ ความปรารถนานี้ก็ลดลงไปหนึ่งส่วน บางครั้งเขาถึงขนาดคิดว่าให้ญาติผู้พี่เป็นผู้นำตระกูลก็ไม่เลวเหมือนกัน เขายินดีเป็นแหวกโค่นดงหนาม[2]เพื่อญาติผู้พี่ กำจัดคนในตระกูลหลี่ทุกคนที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์เขา….
หลี่ซื่ออวี๋ส่ายหน้าพยายามทิ้งความคิดแบบนี้ไป พ่อแม่ของเขาไม่มีทางอนุญาตให้เขาทำแบบนี้เด็ดขาด เขาอดไม่ไหวถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “ญาติผู้พี่ของฉัน เข้าใจยากมาก…มองเขาเป็นศัตรูเป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ”
ตั้งแต่ที่ญาติผู้พี่ไปดาวเว่ยหลานไม่ได้กลับมาสี่ปีแล้ว หลี่อิงเจี๋ยก็อาจจะไม่มีความประทับใจอะไรเกี่ยวกับญาติผู้พี่ ดังนั้นเขาถึงได้สนใจตำแหน่งผู้สืบทอดขนาดนั้น ถ้าหากเขาได้เจอญาติผู้พี่จริงๆ ละก็ เกรงว่าเขาก็น่าจะค่อยๆ สูญเสียความปรารถนาในอำนาจนี้ไปเหมือนกัน
“ถึงยังไงร่างกายของคุณปู่นายก็แข็งแรงดี อยากจะชิงตำแหน่งนั้นจริงๆ ก็ยังต้องรออีกหลายปีให้หลัง ตอนนี้เร็วมากเกินไปที่จะคิดเรื่องพวกนี้ แต่ฉันอยากรู้มากๆ ว่าถ้าเกิดญาติผู้น้องที่มองตัวเองไว้สูงของนายถูกคนแย่งตำแหน่งอันดับหนึ่งไปจริงๆละก็ เขาจะมีสีหน้ายังไง” อวิ๋นซิวยิ้มร้าย เขาชอบดูสีหน้าพวกเด็กที่เชื่อว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะถูกคนเหยียบย่ำมากที่สุด
“เฮ้อ รสนิยมน่ารังเกียจของนายยังไม่เปลี่ยนไปเลย อีกครึ่งปีนายก็จะรู้แล้ว” หลี่ซื่ออวี๋ทำหน้าผ่อนคลาย หลี่อิงเจี๋ยไม่ใช่ญาติผู้พี่ที่เขาไม่อยากเป็นศัตรูด้วย ดังนั้นเขายินดีที่จะเห็นเรื่องน่าขันของเขาอย่างยิ่ง เอาเถอะ เดิมทีตระกูลหลี่ก็ขาดสิ่งที่เรียกว่าความผูกพันฉันพี่น้องอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า รุ่นนี้กลับให้กำเนิดคนน่าอัศจรรย์อย่างญาติผู้พี่คนนี้ออกมา
“พอเลย ไม่ต้องพูดถึงฉันแล้ว นายชั่วยิ่งกว่าฉันอีกไม่ใช่เหรอ? นั่นเป็นญาติผู้น้องของนายนะ” อวิ๋นซิวตีไหล่ของหลี่ซื่ออวี๋ด้วยความไม่สบอารมณ์ หลี่ซื่ออวี๋ก็สนใจอยากเห็นเรื่องน่าขันของหลี่อิงเจี๋ยไม่น้อยไปกว่าเขา เขาเป็นคนของตระกูลหลี่จริงๆ
หลี่ซื่ออวี๋ยิ้มให้กับอวิ๋นซิว เขาไม่ต้องการเพื่อนมากนัก บางครั้งต้องการแค่คนรู้ใจเพียงคนเดียวที่เข้าใจคุณก็พอแล้ว
………..
ชีวิตการเรียนของหลิงหลานเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ ควรพูดว่าหลิงหลานใช้ชีวิตเอ้อระเหยได้ดีมาก ถึงแม้ว่าวันแรกอาจารย์ประจำชั้นเฉิงหย่วนหังจะแสดงอำนาจใส่เธอ แต่เพราะว่าเธอแสดงออกได้โดดเด่นทำให้เฉิงหย่วนหังเปลี่ยนความคิดแต่เดิมของเขา ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่เธอเป็นพิเศษอีก นี่เป็นหนึ่งในข้อดีที่เธอได้รับหลังจากที่ต่อสู้กับหลินจงชิง….
ยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ เธอได้รับการต้อนรับจากนักเรียนห้องเอมาก นักเรียนห้องเอต่างก็เป็นผู้ชายทั้งหมด (ตอนนี้สถานะของหลิงหลานคือผู้ชาย สามารถมองข้ามคนผิดปกติคนนี้ไปได้เลย) พวกเขาปฏิบัติตามแนวคิดเรื่องเคารพผู้แข็งแกร่ง หลิงหลานใช้กระบวนท่าเดียวก็เอาชนะหลินจงชิงที่อยู่อันดับท้ายสุดของห้องเอได้ ทำให้เด็กพวกนี้เลื่อมใสอย่างยิ่ง พวกเขาต่างยินดีคบหากับเธอ เพราะว่าพวกเขาต่างก็คิดว่าตัวเองไม่สามารถล้มหลินจงชิงได้เหมือนกับหลิงหลาน
แน่นอนว่าก็มีบางคนไม่พอใจหลิงหลานเหมือนกัน กลุ่มเล็กๆ ที่มีหลี่อิงเจี๋ยเป็นหัวหน้าก็ต่อต้านเธอรางๆ ถึงขนาดที่ปะทะกันเล็กน้อย
หลิงหลานไม่แยแสกับเรื่องนี้มา เธอไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่าตัวเองจะเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์สุดยอดไร้เทียมทานทั้ง 360 องศาไม่มีมุมอับ ดอกไม้เห็นดอกไม้ก็บานใครเห็นใครก็หลงรักจนฟ้าดินสะเทือนลั่นภูตผีร่ำไห้หรอกนะ (ผู้หญิงที่หลิงหลานคิดแบบนี้ย่อมไม่ใช่คนแน่นอน) ดังนั้นมีศัตรูที่ชิงชังก็เป็นเรื่องที่ปกติมากจริงๆ นอกจากนี้ เจ้าเด็กหลี่อิงเจี๋ยก็ไม่เข้าตาเธอเหมือนกัน ท่าทีหยิ่งยโสนั้นเหมือนกับนกยูงที่หลงตัวเอง ไม่น่ารักเลยสักนิดเดียว
เอาเถอะ ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะไม่ใช่คนที่คลั่งหน้าตาโดยสิ้นเชิง แต่ว่าเป็นคนที่คลั่งไคล้ความน่ารักแน่นอน เธอชอบแค่เด็กที่สวยน่ารักเท่านั้น….
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ไม่เพียงแต่นำข้อดีมาให้หลิงหลาน มันก็นำปัญหาใหญ่มาให้เธอด้วยเหมือนกัน
นั่นก็คือหลินจงชิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มาโดยไม่รับเชิญ ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะปฏิเสธการรับใช้ข้างกายหนึ่งเดือนหลังจากที่เขาท้าประลองล้มเหลวแล้ว แต่หลินจงชิงไม่ยอมรับ เขายังคงดึงดันทำเรื่องนี้ด้วยความจริงจังไปจนถึงที่สุด จากคำพูดของหลินจงชิง เมื่อยินดีเดิมพันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ นี่ถึงจะนับว่าเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง
…………………………………………
[1] หมายถึง คนเราต้องทำเพื่อตัวเอง
[2] หมายถึง กำจัดอุปสรรคต่างๆ นานาเพื่อให้ก้าวเดินไปข้างหน้า