I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 99 ไปยังเส้นทางของตัวเอง
“ไม่ใช่น่า ภารกิจมรดกเป็นภารกิจที่ขึ้นอยู่กับพรหมลิขิตไม่ใช่เหรอ? ทำไมคราวนี้ถึงเปิดการทดสอบสาธารณะอย่างชัดเจนล่ะ?” ปฏิกิริยาตอบสนองในตอนแรกของหลิงหลานคือเป็นเรื่องล้อเล่นหรือเปล่า แต่พอคิดว่าถึงแม้ฉีหลงจะมีนิสัยไม่สนใจใยดีอะไร แต่เขาไม่เคยล้อเล่นกับเรื่องใหญ่มาก่อน เธอก็เลยสอบถามว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ฉันเองก็ไม่แน่ใจเรื่องนี้เหมือนกัน ผู้แข็งแกร่งที่ตั้งภารกิจมรดกคนนี้อาจจะชอบใช้วิธีคัดออกเป็นวงกว้างในการเลือกลูกศิษย์ แต่ฉันก็ชอบนะ” ฉีหลงเอ่ยอย่างมีความสุข เขาคิดว่าตัวเองไม่น่าจะมีพรหมลิขิตอะไรกับพวกมรดกที่ให้ความสำคัญกับจังหวะ ดังนั้นเขาเลยดีใจมากที่สุดที่ได้เห็นภารกิจมรดกที่ใช้รูปแบบเปิดเป็นสาธารณะดั่งเช่นในวันนี้ นอกจากนี้ยังคิดว่ามรดกแบบนี้ค่อนข้างจะยุติธรรมด้วย
ฉีหลงคิดแบบนี้ก็เกี่ยวพันกับนิสัยของเขา คนที่ชอบความตรงไปตรงมาอย่างเขาเห็นของบางอย่างที่อ้อมไปอ้อมมา เขาก็รู้สึกปวดหัว
“ที่แท้ก็เป็นการเฟ้นหานี่เอง!” หลิงหลานเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แน่นอนว่าคำพูดของหลิงหลานทำให้ฉีหลงที่อยู่ปลายสายของอุปกรณ์สื่อสารอุทานด้วยความตื่นเต้นติดต่อกัน คิดว่าคำนี้มันชัดเจนมากเกินไปจริงๆ
ตอนนี้หนังหน้าของหลิงหลานหนาขั้นสุดยอดแล้ว พวกคำในอินเตอร์เน็ตหรือคำสแลงที่คุ้นเคยในชาติก่อนตกเป็นของเธอไปแล้ว เธอบอกว่าตัวเองจะรีบไปทันทีด้วยความสงบนิ่งมาก
ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะไม่ค่อยกระตือรือร้นกับภารกิจมรดกเปิดเป็นสาธารณะนี้อยู่บ้าง แต่ถึงยังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่หลิงหลานได้สัมผัสถึงสิ่งที่เรียกว่าภารกิจมรดก มันทำให้เธอสงสัยใคร่รู้มาก ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจหยุดภารกิจในมือชั่วคราวและไปตรงที่ฉีหลงอยู่เพื่อดูสักหน่อย
เสี่ยวซื่อเห็นด้วยกับเรื่องนี้มากเช่นกัน เขาไม่พอใจมากที่ตัวเองปล่อยให้ภารกิจมรดกนี้ตกหล่นไป ดังนั้นเขาเลยตัดสินใจทำความเข้าใจเกี่ยวกับภารกิจมรดกแบบนี้ ต่อไปจะได้ไม่มีทางทำพลาดตกหล่นอีก เขาจะเอาภารกิจมรดกออกมาให้ลูกพี่ของเขาทั้งหมด…จำเป็นต้องพูดว่าเสี่ยวซื่อละโมบมาก เขาอยากจะเอาภารกิจมรดกในโลกออนไลน์เสมือนจริงมาทั้งหมดโดยไม่ปล่อยให้หลุดรอดไปสักอันเดียว โชคดีที่หลิงหลานไม่สังเกตเห็นความคิดของเสี่ยวซื่อในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นหน้าผากเธอต้องขึ้นขีดดำนับไม่ถ้วนแน่นอน มรดกนี้ไม่ใช่ผักกาดขาวที่พวกเขาจะทานกันได้ทุกวันนะ
…
ถนนหุ่นรบ ดูจากชื่อก็บ่งบอกว่าเป็นถนนที่มีแต่ร้านค้าหุ่นรบ เพียงแต่ของที่ขายในหมู่บ้านมือใหม่ อ้อไม่สิ ในเมืองของสถาบันลูกเสือที่ปิดตายแห่งนี้ต่างก็เป็นแบบจำลองหุ่นรบขนาดแตกต่างกันไป ให้พวกนักเรียนที่มีความสงสัยมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาวุธนักรบเดี่ยวที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกใบนี้ บางทีของอย่างอื่นอาจจะขายไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง ขอเพียงมีเงินเท่านั้นก็สามารถซื้อแบบจำลองหุ่นรบที่ตัวเองชอบได้แน่นอน
แบบจำลองหุ่นรบทำออกมาได้สมจริงมาก ความจริงแล้ววัสดุที่ใช้ก็เป็นโลหะประเภทเดียวกับหุ่นรบของจริง เพียงแต่วัสดุที่หุ่นรบของจริงใช้เป็นวัสดุที่มีระดับสูงสุด ทว่าของที่แบบจำลองใช้นั้นเป็นวัสดุระดับรองลงมา บวกกับผลิตด้วยของเบ็ดเตล็ดบางอย่างที่ใช้การไม่ได้ แต่ว่าทุกส่วนของหุ่นรบต่างสร้างได้สมบูรณ์มาก เหมือนกับของจริงไม่ผิดเพี้ยน ทุกอย่างสามารถเปิดและถอดชิ้นส่วนได้เหมือนกับของจริง อุปกรณ์ควบคุมในห้องคนขับก็ไม่ขาดไปสักชิ้น สามารถทำให้พวกเด็กๆ เข้าใจโครงสร้างภายในหุ่นรบรวมไปถึงวิธีการควบคุมง่ายๆ บางอย่างได้อย่างกระจ่างแจ้ง
เมื่อหลิงหลานมาถึงถนนหุ่นรบ เธอก็เห็นนักเรียนกำลังพุ่งไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง หลิงหลานไม่ต้องสอบถามทิศทางของฉีหลงก็รู้ว่าควรเดินไปทางไหน เธอเดาว่านักเรียนพวกนี้ต่างก็รีบมาหลังจากที่ได้รับข่าว
ในที่สุดหลิงหลานก็ตามคลื่นมวลชนไปถึงจุดหมายได้ พอเห็นฝูงชนอัดแน่นยาวไปหนึ่งร้อยเมตร หลิงหลานก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เธอมองไปแวบเดียวก็ประเมินได้ว่านักเรียนที่ค้างเติ่งอยู่ตรงนี้น่าจะเกือบหมื่นคนแล้ว
หลิงหลานได้แต่ติดต่อฉีหลงอีกครั้ง เนื่องจากพวกเขามาถึงก่อนเลยติดอยู่ด้านหน้าไปประมาณหกสิบเจ็ดสิบเมตร พวกเขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเป็นแบบนี้ ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่นาทีก็มีนักเรียนเกือบหมื่นคนทะลักเข้ามา ตอนนี้จะขึ้นหน้าหรือถอยก็ยากทั้งนั้น ทำได้แต่ติดอยู่นั้นรอคอยการทดสอบไป
หลิงหลานเห็นแบบนี้แล้วก็ตัดสินใจหันหลังกลับโดยไม่ลังเล เตรียมตัวที่จะไปทำภารกิจเมื่อสักครู่นี้ คนมากมายขนาดนี้ไม่รู้ว่าต้องรอเดือนไหนปีไหนกว่าจะถึงตาเธอ หลิงหลานไม่ชินกับการเสียเวลา ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีเวลาของเธอก็แน่นมากแล้ว
แต่เสี่ยวซื่อกลับห้ามเธอไว้ บอกให้เธอรออีกหน่อย หลังจากนั้นก็วิ่งหายไปทันที
หลิงหลานนึกถึงความสามารถของเสี่ยวซื่อก็อดทนรอคอย เพียงแต่เธอไม่ชอบติดอู่ในฝูงคน หลิงหลานมองไปที่สองฝั่ง…
เดิมทีร้านค้าของถนนหุ่นรบต่างเป็นอาคารสูงสามชั้น และชั้นล่างสุดก็สูงกว่าชั้นอาคารทั่วไปครึ่งหนึ่ง เนื่องจากแบบจำลองของหุ่นรบชั้นแรกต่างสูงใหญ่มาก ถึงขนาดที่มีบางตัวสูงเกือบจะถึงสามเมตรสามารถให้คนนั่งอยู่ในห้องคนขับสัมผัสการควบคุมด้วยตัวเอง ราคาของหุ่นรบประเภทนี้ย่อมสูงลิ่ว ถ้าหากไม่มีการช่วยเหลือจากด้านนอก อาศัยแค่เงินที่พวกนักเรียนสะสมเพียงอย่างเดียวย่อมไม่มีทางซื้อได้ถ้าไม่สะสมถึงเจ็ดแปดปี แน่นอนว่าหลิงหลานเองก็อยากได้ เธอใช้เวลามากสุดสองปีก็ซื้อได้แล้วภายใต้การช่วยเหลือของเสี่ยวซื่อ
ชั้นสองของร้านค้าคือที่ตั้งแบบจำลองหุ่นรบรุ่นเล็กที่ทำออกมาได้ประณีต ให้นักเรียนที่ชอบเก็บสะสมไปเลือกซื้อ ส่วนชั้นที่สามก็เป็นที่คิดเงินและที่สั่งจองแบบจำลองหุ่นรบล่วงหน้า ถึงยังไงหุ่นรบบางตัวมีราคาแพงมากๆ ทางร้านไม่อยากกักเงินทุนหมุนเวียนของพวกเขาไว้ในมือ
หน้าร้านค้าหุ่นรบทุกแห่งต่างตกแต่งมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป มีบางร้านที่ตกแต่งไปทางไซไฟ และก็มีตกแต่งเรียบง่าย มีแบบคลาสสิค ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแบบสมัยนิยมด้วย…หลิงหลานพุ่งความสนใจไปที่ร้านค้าซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าสามเมตร กำแพงของมันติดป้ายผ้าใบที่ดูโบราณงดงาม รวมไปถึงโคมไฟสีแดงเล็กๆ ที่ห้อยเรียงร้อยลงมาจากด้านบนตึกชั้นสาม
แววตาหลิงหลานส่งประกายวูบหนึ่ง บางทีนี่อาจจะใช้ประโยชน์ได้
หลิงหลานที่ยังไม่ได้ติดอยู่ในท่ามกลางผู้คนจนขยับเยื้อนตัวไม่ได้ก็ซอยเท้าวิ่งออกมาสองก้าวก่อนจะกระทืบเท้าทีหนึ่งก็กระโดดขึ้นมาจากพื้น
“โอ๊ย! ใครเหยียบหัวฉัน!” นักเรียนตัวเล็กที่ถูกทางด้านหน้าดึงดูดความสนใจอยู่นั้นก็พลันรู้สึกว่าศีรษะของตัวเองถูกคนเหยียบ เขารีบเงยหน้าขึ้นมองไปด้านบนแล้วก็เห็นร่างเล็กจิ๋วผ่านจากเหนือหัวเขาไปอย่างรวดเร็ว
“มีคนกระโดดอยู่ด้านบน” มีคนไม่น้อยสังเกตเห็นการกระทำของหลิงหลานและทยอยกันตะโกนขึ้นมา
หลิงหลานทะยานขึ้นไปบนกำแพงร้าน มือข้างหนึ่งดึงโคมไฟติดเอาไว้ก่อนจะกระโดดแฉลบขึ้นไปอีกครั้ง ฝีมือของหลิงหลานคล่องแคล่วว่องไวสุดขีดราวกับลิงปราดเปรียวที่พลิกตัวขึ้นไปบนหลังคาในชั่วพริบตา
“เชี่ย ยังมีวิธีไปแบบนี้ด้วยเหรอ” คนที่เห็นก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าอยากจะขึ้นหน้าไป ไม่จำเป็นต้องเดินบนพื้นเท่านั้น คนที่มีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วก็เริ่มปีนร้านค้าตามหลิงหลาน อย่างไรก็ตาม ไม่นานทุกคนที่อยู่ด้านหลังต่างก็ตระหนักขึ้นมาได้และทยอยพุ่งไปที่โคมไฟนั้น แต่ผลสุดท้ายก็ดูน่าอนาถและเป็นที่คาดการณ์ได้เช่นกัน โคมไฟสีแดงที่ร้อยเรียงนี้จะทนรับน้ำหนักคนมากมายขนาดนี้ได้ที่ไหนกัน มันขาดลงมาจากกึ่งกลาง นักเรียนมากมายที่อยู่ด้านล่างต่างร่วงลงมา
ถ้าหากสิ้นสุดลงตรงนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนั้นเองทุกคนต่างกรูกันไปที่ร้านค้าตรงนั้นจนเกิดเหตุการณ์เหยียบย่ำกันอย่างวุ่นวาย เล่ากันว่ามีนักเรียนนับไม่ถ้วนถูกไล่ออกจากโลกเสมือนจริงเนื่องจากเหตุการณ์เหยียบย่ำกันนี้ เมื่อพวกเขาล็อกอินเข้ามาอีกก็ถูกเตือนว่าร่างเสมือนจริงของพวกเขาถูกทำลายเนื่องจากต้านทานไว้ไม่ไหว จำเป็นต้องผ่านไปถึงสามวันถึงจะสามารถล็อกอินเข้าไปในโลกเสมือนจริงได้
นี่ทำให้นักเรียนมากมายตีอกชกหัวตัวเองและเสียใจไม่หยุด ถ้ารู้แต่แรกว่าเป็นแบบนี้ ทำไมต้องไปเรียนใช้ทางลัดตามคนชั่วนั่นด้วย? ถ้าหากต่อแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย คาดว่าหลังจากหนึ่งวันหนึ่งคืนก็ถึงตาพวกเขาแล้ว
หลิงหลานไม่รู้ว่าการกระทำตามใจชอบของเธอจะทำให้โลกเสมือนจริงเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้ เธอวิ่งตะบึงอยู่บนหลังคา ไม่นานก็เห็นพวกฉีหลงที่ติดแหงกไม่ขยับอยู่ทางด้านล่าง หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า…เก้าคน อืม ไม่ขาดสักคน ทุกคนติดอยู่ข้างในกันหมดเลย
หลิงหลานต่อสายตรงไปที่อุปกรณ์สื่อสารของฉีหลงและกล่าวด้วยความลำพองใจว่า “สหายน้อยฉีหลง ฉันเห็นนายแล้วนะ” หายากที่เธอมีความคิดอยากจะหยอกล้อพวกเขา หลิงหลานนั่งอยู่บนหลังคาเห็นหลายคนที่อยู่ด้านล่างทำท่าทางหันไปมองดูรอบๆ เนื่องจากข่าวนี้
“ลูกพี่ นายอยู่ที่ไหนกันแน่? ทำไมฉันถึงไม่มองเห็นนายเลย” ฉีหลงประหลาดใจมาก เขาติดอยู่ตรงนี้ขยับเขยื้อนไม่ได้ ลูกพี่ใช้วิธีอะไรกันแน่ถึงมาหาพวกเขาที่อยู่ห่างอออกไปหนึ่งร้อยเมตรได้?
หานจี้จวินก้มหน้าครุ่นคิด ทันใดนั้นเขาก็เหมือนกับคิดอะไรออก เขาเงยหน้าขึ้นมาฉับพลันแล้วก็เห็นหลิงหลานอยู่ด้านบนกำลังโบกมือให้พวกเขาด้วยรอยยิ้มเริงร่า
เป็นเด็กฉลาดตามที่คาดไว้จริงๆ สามารถนึกถึงจุดสำคัญได้ทันที หลิงหลานยืนยันอีกครั้งว่าหานจี้จวินฉลาดมากจริงๆ ขอเพียงให้บอกเล็กน้อย เขาก็นึกถึงจุดสำคัญได้
พวกฉีหลงเองก็มองเห็นหลิงหลานอยู่บนหลังคาด้วยท่าทีลำพองใจภายใต้การบอกเตือนของหานจี้จวิน ฉีหลงเอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “ทำไมฉันนึกเรื่องนี้ไม่ได้นะ” ในเมื่อโลกเสมือนจริงถูกเรียกว่าสมจริงเกือบจะหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แน่นอนว่าสามารถเดินทางบนหลังคาได้เช่นกัน น่าเสียดายที่ตอนนี้มันสายไปแล้ว พวกเขาถูกเบียดอยู่ท่ามกลางฝูงชน ไม่มีที่ว่างให้พวกเขากระโดดไปที่กำแพงของร้านค้าเลย
สุดท้ายพวกเขาก็ได้แต่ให้หลิงหลานช่วยพวกเขาไปตรวจสอบเนื้อหาของภารกิจก่อนด้วยความเสียใจ หลิงหลานย่อมไม่ปฏิเสธ เธอโบกมือให้พวกเขาอย่างผ่าเผย หลังจากนั้นก็หายตัวไป
หานจี้จวินถอนหายใจ “ลูกพี่หลิงหลานก็สมกับเป็นลูกพี่ สามารถคิดเรื่องที่เราคิดไม่ถึงเสมอ พวกเราเทียบกับเขาแล้วยังห่างชั้นอยู่มากนัก” หานจี้จวินนับถือสติปัญญาของหลิงหลานมากกว่าพลังยุทธ์ นี่เป็นจุดที่คนฉลาดให้ความสนใจมากที่สุด
ฉีหลงพยักหน้าติดต่อกัน และกล่าวด้วยความหดหู่ว่า “ใช่แล้ว พวกเราเรียนทักษะการต่อสู้พร้อมกัน สุดท้ายเราก็ยังได้แต่ใช้มันเป็นกระบวนท่าแลกเปลี่ยนความรู้กันเอง แต่ว่าลูกพี่สามารถใช้มันเปลี่ยนเป็นอาวุธสังหารที่มีประสิทธิภาพได้”
ฉีหลงรบเร้าหลิงหลานให้ต่อสู้กันบ่อยๆ ถ้าหลิงหลานอารมณ์ดีก็จะตอบรับ กระบวนท่าที่พวกเขาสองคนใช้ต่างก็เป็นพวกทักษะการต่อสู้ทั่วไปที่ทางสถาบันสอน แต่ว่ากระบวนท่าเดียวกัน ตอนที่ฉีหลงยังเลียนแบบทำตามอยู่นั้น หลิงหลานก็ทำการหลอมรวมมันให้ใช้ง่ายๆ เปลี่ยนมันให้กลายเป็นทักษะการต่อสู้ของหลิงหลานเอง
คนที่ชมการต่อสู้อาจจะไม่เข้าใจสถานการณ์การต่อสู้ของพวกเขา แต่ฉีหลงที่เป็นคนในเหตุการณ์กลับรู้ดีมาก หลิงหลานน่ากลัวมากจริงๆ พลังยุทธ์ของเขาอยู่เหนือกว่าพวกเขามากนักมาตั้งนานแล้ว เขาถึงขนาดมีภาพหลอนว่าความกดดันที่หลิงหลานมอบให้เขาเหมือนกับพ่อที่น่ากลัวของเขาเลย
เนื่องจากทุกครั้งที่พวกเขาต่อสู้กัน หลิงหลานจะยั้งมือตอนที่กำลังจะโจมตีจุดสำคัญของเขาตลอด คนนอกเห็นแล้วก็ดูเหมือนกับทั้งสองคนต่อสู้ได้พอฟัดพอเหวี่ยงกัน แต่ความจริงแล้วหลิงหลานโยนเกม ถึงขนาดที่ชี้แนะอยู่รางๆ ในตอนที่ต่อสู้เพื่อให้ฉีหลงเข้าใจว่าจะต่อสู้ยังไงให้ถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น
แต่ต่อให้หลิงหลานโยนเกมแบบนี้ เขายังคงรู้สึกได้ว่าลมอัดที่มาจากกำปั้นของหลิงหลานแฉลบผ่านตัวเขาจนแทบจะตัดผิวหนังของเขาได้ พละกำลังนี้น่ากลัวมาก ขอเพียงโจมตีโดน เขาย่อมไม่มีโอกาสรอดชีวิตและ Over ไปโดยสิ้นเชิง
เวลานี้สามารถมองเห็นถึงจิตใจที่มั่นคงหนักแน่นจากนิสัยของฉีหลง เขาไม่ได้รู้สึกหดหู่หมดหวังที่หลิงหลานแข็งแกร่งจนน่ากลัว แต่เขากลับนับถือหลิงหลานมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันเขาก็พยายามฝึกฝนตัวเองอย่างสุดชีวิต ตัดสินใจว่าไม่อนุญาตให้ตัวเองด้อยกว่าลูกพี่มากเกินไป นี่ก็คือเกียรติของลูกน้องคนหนึ่ง
…………………………………………….