I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 101 การทดสอบง่ายๆ
หลิงหลานรอไม่ถึงสองนาทีเท่านั้นก็ได้ยินอาจารย์คนนั้นพูดว่า “หลิงหลาน ถึงตาเธอแล้ว”
หลิงหลานแตะประตูเทเลพอร์ตภายใต้การชี้บอกของอาจารย์ทดสอบ มือของหลิงหลานเพิ่งจะสัมผัสไปก็รู้สึกถึงแรงดูดมหาศาลดึงดูดทั่วทั้งร่างของเธอเข้าไป
นี่ย่อมเป็นเพียงความรู้สึกของหลิงหลานเท่านั้น สำหรับคนนอกแล้ว หลิงหลานแค่เดินเข้าไปในประตูเทเลพอร์ต หลังจากนั้นก็หายตัวไป
“หวังว่าเด็กคนนี้จะสามารถรับมรดกของเขาได้นะ” จู่ๆ ความคิดนี้ก็พุ่งขึ้นมาในใจของทหารหนุ่ม
อย่างไรก็ตาม ไม่นานเขาก็ได้ข่าวที่ส่งมาจากผู้ตรวจสอบลับว่าเด็กเมื่อสักครู่นี้ก็ถูกปฏิเสธเช่นกัน เขาถูกส่งกลับไปที่จุดล็อกอิน
เด็กที่อัจฉริยะระดับปีศาจขนาดนี้ก็ไม่ยอมรับเหรอ? หลิงเซียว ผู้สืบทอดที่นายอยากได้เป็นแบบไหนกันแน่? ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ในใจทหารหนุ่มรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง เขาหวังไว้กับเด็กคนนั้นมากจริงๆ บางทีต่อไปอาจจะมีโอกาสช่วยเหลือเด็กคนนั้น
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบลับตรวจดูการเคลื่อนไหวของหลิงหลานในโลกเสมือนจริงมาตลอดทาง เห็นเธอเดินเข้าไปในหอสมุดหลังจากนั้นเริ่มนั่งเรียนอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นเธอไม่เคลื่อนที่ไปไหนเลยก็ค่อยลดการจับตามองหลิงหลานลง
ทหารหนุ่มไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเหล่านี้ทำตามคำสั่งเขาเพียงแต่ในนาม ความจริงแล้วพวกเขายังมีอีกภารกิจ เบื้องบนบอกว่าขอเพียงเด็กที่ชื่อหลิงหลานลองทำภารกิจมรดกก็ให้ตรวจสอบดูทั่วทุกด้าน
…
เมื่อหลิงหลานเข้าไปในมิติส่วนตัวของภารกิจมรดกก็พบว่าเสี่ยวซื่อกำลังซ่อนอยู่ตรงมุมรอคอยเธออยู่ เธอแปลกใจมาก ในตอนที่กำลังคิดจะสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น เสี่ยวซื่อที่อยู่ตรงนั้นก็ชูนิ้วที่ขอบปากด้วยท่าทีลึกลับส่งเสียง “ชู่” ออกมาดังๆ บอกหลิงหลานว่าอย่าเอ่ยปากพูด
หลิงหลานมองเสี่ยวซื่ออย่างหงุดหงิดแวบหนึ่ง ถ้าอยากจะซ่อนตัวจริงๆ ต้องส่งเสียงชู่ดังขนาดนั้นด้วยเหรอ? แต่หลิงหลานไม่ได้ขัดเสี่ยวซื่อ เธอรอให้เขาอธิบายเอง
“ลูกพี่ มีคนจับตามองมิตินี้อยู่” เสี่ยวซื่อบอกข่าวที่น่าประหลาดใจมากตามที่คาดไว้จริงๆ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” หลิงหลานพูดด้วยความไม่เข้าใจ
“มิตินี้ยังไม่ใช่มิติที่แท้จริงของภารกิจมรดก มันเป็นจุดส่งต่อที่โลกเสมือนจริงสงวนไว้ให้กับมิติมรดก ดังนั้นถึงสามารถให้คนตรวจสอบได้” เสี่ยวซื่ออธิบาย “ฉันตามรอยแล้ว มันมีความเกี่ยวข้องกับทางกองทัพ”
หลิงหลานขมวดคิ้ว “งั้นนายยังกล้าอยู่ที่นี่อีกเหรอ?” อีกฝ่ายจะพบเสี่ยวซื่อหรือเปล่า พวกเขาพูดกันแบบนี้จะไม่มีปัญหาเหรอ?
เสี่ยวซื่อกลอกตาใส่หลิงหลาน ไม่พอใจที่เธอไม่เชื่อเขา “ฉันคือใคร? ฉันเป็นเทพของโลกเสมือนจริงนะ อยากให้พวกเขาเห็นอะไรก็จะเห็นอย่างนั้น รวมถึงตอนนี้ด้วย พวกเขาจะเห็นแค่ภาพเธอยืนตรวจสอบอย่างจริงจังอยู่ตรงหน้าคริสตัลรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเท่านั้น” เสี่ยวซื่อกล่าวถึงตรงนี้ก็ดูภาคภูมิใจอยู่รางๆ
“เมื่อตะกี้นี้ใครทำท่าเหมือนกับเจอศัตรูที่ร้ายกาจ ไม่ให้ฉันส่งเสียงยะ?” หลิงหลานเหลือบมองเสี่ยวซื่อด้วยสายตาเย็นเยียบทำเอาความลำพองใจของเสี่ยวซื่อที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อสักครู่นี้ไม่เหลือแล้ว
เสี่ยวซื่อที่รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ถูกอยู่บ้างก็ลดคิ้วต่ำลงทำสีหน้าอ่อนน้อมทันที ท่าทีน่าเอ็นดูของเขาทำให้หลิงหลานอารมณ์ดีและก็รู้สึกขบขัน สุดท้ายหลิงหลานก็ได้แต่ปล่อยเรื่องนี้ไปแล้วเปลี่ยนเป็นถามคำถามที่เธอสนใจมาก
“นายรู้เรื่องภารกิจมรดกมากเท่าไหร่?” ในเมื่อเสี่ยวซื่อมาเร็วขนาดนี้ เขาก็น่าจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้างแหละ
แต่ความเป็นจริงกลับไม่ได้เรียบง่ายเหมือนกับที่หลิงหลานคิดไว้ พอเสี่ยวซื่อได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าก็ตกลง ทำท่าเหมือนได้รับการโจมตีอย่างใหญ่หลวง เขาก้มศีรษะลงเอ่ยด้วยความหม่นหมองว่า “ขอโทษด้วย ลูกพี่ ฉันเข้าไปสถานที่นั้นไม่ได้” เสี่ยวซื่อชี้ไปที่ด้านหน้า คริสตัลรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ หมุนวนอยู่ช้าๆ
“นั่นคืออะไร? ประตูเทเลพอร์ตเหรอ?” หลิงหลานเดินไปถึงเบื้องหน้าคริสตัล เอ่ยถามด้วยความสงสัย
เสี่ยวซื่อเอ่ยด้วยความหดหู่ว่า “ก็เป็นประตูเทเลพอร์ตอย่างหนึ่ง แต่ว่าคริสตัลนี้เป็นผลึกจิตวิญญาณของผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง ฉันคิดว่ามิติทดสอบอยู่ในนั้น เดิมทีฉันอยากเข้าไปตรวจสอบสักหน่อย ไม่นึกเลยว่าฉันเพิ่งจะเข้าไปใกล้ก็ถูกพลังจิตรอบๆ คริสตัลนี้ดีดออกมา มันเกือบจะทำให้ฉันได้รับบาดเจ็บแล้วนะ” เสี่ยวซื่อตบหน้าอกน้อยๆ ของตัวเองด้วยความนึกกลัว เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บ สติปัญญาของเขาก็จะเกิดความสับสนขึ้นมา อาจจะทำให้เขาไม่สามารถปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าหลิงหลานได้เป็นเวลานานมาก
“อ้อ? งั้นฉันควรทำไง?” หลิงหลานได้ยินเสี่ยวซื่อกล่าวขนาดนี้ก็เริ่มระมัดระวังขึ้นมาเช่นกัน
“ขอแค่แตะคริสตัลนั้นก็ได้แล้ว ฉันเห็นนักเรียนมากมายทำแบบนี้” เสี่ยวซื่อพูด “หลังจากที่พวกเขาแตะคริสตัลแล้ว ก็หายตัวไปจากในโลกเสมือนจริงแห่งนี้ แล้วพอผ่านไปหนึ่งถึงสองนาที พวกเขาก็โผล่ขึ้นมาที่โลกเสมือนจริงอีกครั้ง แต่ว่าสถานที่คือจุดล็อกอินที่พวกเราล็อกอินเข้ามาเป็นครั้งแรก”
“หายไปจากโลกเสมือนจริง? หรือว่าเป็นมิติใหม่?” หลิงหลานฟังแล้วก็เข้าใจความหมายที่เสี่ยวซื่อสื่อ พูดอีกอย่างก็คือพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปที่มิติอีกแห่งของโลกเสมือนจริง หากแต่หายตัวไปจากในโลกเสมือนจริงโดยตรงเลย
เสี่ยวซื่อใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยพูดว่า “ข้อมูลที่นี่บางส่วนของฉันยังไม่สมบูรณ์ ดูเหมือนพอคนแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งแล้ว เขตแดนก็จะปรากฏขึ้น แต่ว่าเขตแดนของแต่ละคนต่างเป็นมิติอิสระที่สร้างขึ้นเอง”
หลิงหลานได้ยินถึงตรงนี้ก็อดนึกถึงวิถีขึ้นมาไม่ได้ ปราณของวิถีสามารถลดทอนความสามารถของคู่ต่อสู้ มันก็เป็นเขตแดนอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่เขตแดนนี้เป็นเขตแดนที่ไม่สมบูรณ์ใช่หรือเปล่า?
ความคิดนี้แค่แล่นวาบขึ้นมา หลิงหลานก็ถอนหายใจเอ่ยถามต่ออีกว่า “นักเรียนพวกนั้นทำภารกิจล้มเหลวกันหมดเลยใช่ไหม?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคนต่อไปก็จะเข้าไปไม่ได้ ภารกิจมรดกนี้น่าสนุกมากนะ อนุญาตให้เข้าไปข้างในแค่คนเดียว มีเพียงการล้มเหลวเท่านั้นถึงจะอนุญาตให้คนถัดไปเข้ามา ยังดีเวลาทดสอบรวดเร็วมาก ปกติแล้วสองสามนาทีก็รู้ผล คนที่เร็วที่สุดยังทนได้ไม่ถึงสามสิบวินาทีก็ถูกโยนไปที่จุดล็อกอินแล้ว โง่ชะมัดยาดจริงๆ” เสี่ยวซื่อรู้สึกดีในความโชคร้ายของคนอื่นอยู่บ้าง
“บางทีฉันเองไปที่นั่นไม่ได้เหมือนกัน” หลิงหลานคัดค้าน ไม่รู้ว่าการทดสอบด้านในคือสิ่งใด ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ารับรองได้ว่าตัวเองจะทำได้แน่นอน
“ลูกพี่ต้องไม่มีปัญหาอยู่แล้ว จะต้องคว้าภารกิจมรดกนี้มาได้แน่” เสี่ยวซื่อไม่พอใจ ในความคิดเขา หลิงหลานเป็นคนที่ชาญฉลาด
“เสี่ยวซื่อ ขอบใจนะ” หลิงหลานรู้สึกซาบซึ้งใจมากต่อความเชื่อมั่นอย่างไร้เหตุผลของเสี่ยวซื่อ เธอลูบศีรษะน้อยๆ ของเสี่ยวซื่อ ในสมองกลับใคร่ครวญการเลือกครั้งต่อไปของเธอ
หลิงหลานลังเลอยู่บ้าง “เสี่ยวซื่อ ฉันอยากทิ้งภารกิจนี้ นายเข้าใจนะ ฉันไม่อยากให้ทางกองทัพสนใจ” ไม่สำเร็จก็ยังดี ถ้าเกิดโชคดีทำสำเร็จขึ้นมาจริงๆ ละก็ เกรงว่าจะมีผลเสียในภายหลังได้
เสี่ยวซื่อกล่าวด้วยความไม่เข้าใจว่า “งั้นก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งก็ได้นี่นา? ฉันสร้างภาพปลอมได้นะ ไม่ว่าลูกพี่ทำสำเร็จหรือไม่ ฉันก็จะทำให้เธอถูกขับไล่ออกไปหลังจากสามนาที”
“เสี่ยวซื่อ นายสร้างภาพปลอมได้ด้วยเหรอ?” หลิงหลานตื่นเต้นยินดีมาก เวลานี้เธอนึกได้ว่าเสี่ยวซื่อสามารถเปลี่ยนแปลงคลื่นสมองมนุษย์ได้ แน่นอนว่ามันย่อมเลียนแบบคลื่นสมองของมนุษย์ สร้างหลิงหลานตัวปลอมให้โผล่ขึ้นในโลกเสมือนจริงได้เช่นกัน
“แต่ถ้าเกิดฉันอยู่ข้างในตลอด คนข้างนอกเข้าไปไม่ได้ มันก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกัน” หลิงหลานนึกปัญหาได้อีกอันก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งกล่าวออกมา
“นั่นง่ายนิดเดียว ฉันจะสร้างมิติใหม่ขึ้นมาแห่งหนึ่งแล้วให้พวกเด็กด้านหลังเข้าไปในมิติใหม่ หลังจากนั้นฉันก็จะตั้งค่าไว้ ฉันจะสุ่มโยนพวกเขาไปที่จุดล็อกอินในช่วงเวลาหนึ่งถึงสามนาทีก็ได้แล้ว” เสี่ยวซื่อไม่คิดว่านี่เป็นปัญหาเลย
“งั้นเนื้อหาการทดสอบล่ะ?” ถึงยังไงก็มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยเคยเข้ามาทดสอบมิติมรดกที่แท้จริงแล้ว ถ้าเกิดถูกพบว่าเนื้อหาการทดสอบไม่เหมือนกันขึ้นมาก็ย่ำแย่แล้ว
“ชิ ปัญหาของลูกพี่เยอะแยะจริงๆ ไม่ใช่ว่าเธอเข้าไปแล้วเหรอ? ขอเพียงเธออยู่ข้างใน พอถึงเวลาที่เธอทดสอบ ฉันก็สามารถรู้เนื้อหาการทดสอบได้แล้ว พอถึงตอนนั้นฉันก็จะลอกมัน…แล้วก็ถ้าเกิดลูกพี่ไม่ผ่าน ถูกโยนออกมา ฉันก็ไม่จำเป็นต้องสร้างมิติใหม่แล้ว ดังนั้นลูกพี่ เธอก็เข้าไปเถอะ ทุกอย่างมอบให้ฉันจัดการเอง”
เสี่ยวซื่ออดทนไม่ไหวแล้ว เขาดันหลิงหลานบอกให้เธอเข้าไปได้แล้ว ถึงแม้ว่าเสี่ยวซื่อสามารถสร้างภาพลวงตาให้พวกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ แต่เขาก็ไม่สามารถให้หลิงหลานยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงหน้าคริสตัลตลอดไปได้หรอก นั่นก็จะทำให้คนสงสัยได้เหมือนกัน
หลิงหลานวางใจในที่สุด เธอเอามือของตัวเองไปวางบนคริสตัลที่อยู่กลางอากาศ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อเธอสัมผัสคริสตัลลูกนั้นก็เกิดความรู้สึกสนิทสนมอย่างอธิบายไม่ได้ ทำให้คนรู้สึกถึงความอบอุ่นมาก….
หลังจากนั้นเธอก็ถูกพลังจิตที่อบอุ่นนี้นำพาเข้าไปสู่สถานที่มีหมอกขมุกขมัว รอบด้านไม่มีอะไร นอกจากหมอกที่เหมือนมีเหมือนไม่มี
ในขณะที่หลิงหลานกำลังงุนงงอยู่นั้น หมอกพวกนั้นก็เกาะกลุ่มกันขึ้นมาฉับพลันกลายเป็นร่างคนสีเทา ร่างคนผู้นี้ดูตัวเล็กเตี้ยมากๆ สูงคล้ายคลึงกับตัวหลิงหลานในตอนนี้ แล้วร่างนั้นก็เริ่มแสดงวิชาการต่อสู้ออกมาชุดหนึ่ง
หลิงหลานเห็นแล้วหน้าผากก็ขึ้นขีดดำทันที นี่เป็นการทดสอบเหรอ? นี่มันจะไม่ง่ายมากเกินไปหน่อยเหรอ ที่แท้กระบวนท่าที่เงาร่างเล็กนั้นแสดงออกมาก็คือวิชาการต่อสู้พื้นฐานที่ลูกเสือทุกคนจะได้เล่าเรียนกันในปีหนึ่ง
“วิชาการต่อสู้พื้นฐานของลูกเสือ?” หลิงหลานลองหยั่งเชิงตอบดู ก่อนจะพบว่าร่างเล็กนั้นยังคงออกท่วงท่าไม่ได้หยุดนิ่ง
หรือว่าจะไม่ได้ทดสอบชื่อท่าต่อสู้? หลิงหลานเกิดความคิดแล่นวาบขึ้นมา เธอเริ่มตั้งท่าและร่ายกระบวนท่าวิชาการต่อสู้พื้นฐานชุดนี้ตามร่างสีเทาด้วยกัน อย่างไรก็ตาม หลิงหลานอยากพิสูจน์การคาดเดาของเธอตั้งแต่ที่เริ่มทำท่าแรก
หลิงหลานพบว่าเป็นอย่างที่คาดคิดไว้จริงๆ ตั้งแต่ที่เธอเริ่มทำท่า ร่างเล็กนั้นก็ออกท่าใหม่อีกครั้งตามการเคลื่อนไหวของหลิงหลาน มันเป็นการทดสอบภาษากายอย่างที่คิดเอาไว้ แน่นอนว่าการทดสอบชื่อท่าต่อสู้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หลิงหลานตัดสินใจจับปลาสองมือ รับประกันว่าเธอจะผ่านด่านไปได้อย่างปลอดภัย
หลิงหลานทำท่าไปพลางบอกชื่อแต่ละท่าไปไปพลาง จนกระทั่งทำท่าครบพร้อมกับร่างสีเทาแล้ว เมื่อหลิงหลานออกกระบวนท่าทั้งหมดของวิชาการต่อสู้พื้นฐานชุดนี้แล้ว ร่างสีเทาก็หายไป ส่วนหลิงหลานยังคงยืนอยู่ในมิตินี้ ไม่ได้ถูกโยนออกไป ดูเหมือนว่าการทดสอบรอบแรกนี้จะถือว่าผ่านแล้ว
หลิงหลานถอนใจด้วยความโล่งอก ยังดีที่เดาถูก วิชาการต่อสู้เมื่อสักครู่นี้ว่ายังไงก็ใช้เวลาสักสองสามนาทีอยู่เหมือนกัน พูดก็คือ นักเรียนพวกนั้นต่างก็ถูกคัดออกในรอบที่สอง ถ้าอย่างนั้นรอบที่สองจะทดสอบอะไรกันแน่? ถึงทำให้นักเรียนทุกคนตกกันระนาว
หลิงหลานกังวลใจอยู่บ้าง เวลานี้หมอกก่อตัวเป็นร่างคนอีกครั้ง ร่างคนคราวนี้ไม่ได้เป็นเด็กเล็กอีกต่อไป หากแต่เป็นผู้ใหญ่ร่างกำยำ ร่างนี้แสดงวิชาต่อสู้ชุดหนึ่งออกมาติดๆ ทว่าวิชาต่อสู้ชุดนี้กลับทำให้สีหน้าของหลิงหลานเปลี่ยนไป
……………………………..